บทที่ 133 อีกด้านของฟากฟ้า สังหารศัตรูด้วยนิ้วเดียว

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 133 อีกด้านของฟากฟ้า สังหารศัตรูด้วยนิ้วเดียว

“อาจารย์ ตอนนี้ท่านอยู่ระดับใดหรือ ท่านจะบรรลุระดับมหายานเมื่อไร” หยางเทียนตงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

อย่ามองว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องเช่นพวกเขานี้มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่ง แต่ว่าพวกเขาต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ

หากพูดถึงเรื่องพรสวรรค์แล้ว พวกเขาเทียบหานเจวี๋ยไม่ได้เลย!

หลี่ชิงจื่อก็อาศัยอยู่กลางไหล่เขา จะมาพูดคุยกับพวกเขาเป็นครั้งคราว เขามักจะพูดถึงหานเจวี๋ยในตอนนั้นเสมอ

เขาเป็นผู้ที่เฝ้ามองหานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้น

หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “อาจารย์บรรลุระดับมหายานแล้ว”

ทันทีที่วาจานี้เอ่ยออกมา มู่หรงฉี่ อู้เต้าเจี้ยน สวินฉางอันและไก่คุกรัตติกาลต่างก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

ระดับมหายาน!

ขอบเขตพลังที่สูงที่สุดของโลกมนุษย์!

ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ หานเจวี๋ยก็หรี่ตาลง

โอกาสมาถึงแล้ว!

อีกด้านหนึ่งนั้น

ขณะที่จักรพรรดิมารจี้ไน่เหอกำลังบรรยายถึงความเป็นมาของมารด้วยความซาบซึ้ง กลิ่นอายพลังที่น่าหวาดกลัวหอบหนึ่งก็ปะทุขึ้นจากขอบฟ้า เกิดเป็นเสียงฟ้าร้องคำรามดังอื้ออึง เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายล้วนแต่เงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเพียงสายอัสนีจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นกำแพงสายฟ้าดูน่าสะพรึงกลัวทอดตัวยาวไปถึงปลายท้องฟ้าและผืนปฐพี โจมตีเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทาน

ท่ามกลางฟ้าแลบฟ้าร้อง จี้เซียนเสินย่างกรายเข้ามา อาภรณ์สีครามพลิ้วปลิวสะบัด

ใบหน้าเผยรอยยิ้มฮึกเหิม สายตาจดจ้องตรงไปที่จี้ไน่เหอแน่นิ่ง ก่อนหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “จักรพรรดิมาร! ครานี้ ข้าต้องฆ่าเจ้าให้จงได้!”

การปรากฏตัวของเขาทำให้ผู้บำเพ็ญทั้งหลายบนแท่นบูชาจิตใจฮึกเหิม

สงครามระหว่างสายหลักและสายมารยืดเยื้อมาเนิ่นนานหลายปีเพียงนี้ จี้เซียนเสินอาศัยพลังอันแข็งแกร่งสร้างชื่อเสียงระบือไกลไปทั่วใต้หล้า แม้กระทั่งเป็นอันดับหนึ่งในสายตาของพวกเขา!

การมาถึงของจี้เซียนเสินนั้น หมายความว่าจวนเซียนสวรรค์กำลังใกล้เข้ามา!

จี้ไน่เหอขมวดคิ้วมองไปยังปรมาจารย์มารโลหิตและอรหันต์มารละโมบที่หันมามองเช่นกัน

เมื่อเผชิญหน้ากับจี้เซียนเสิน พวกเขาต่างหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

คนผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป!

ซูฉีและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นตามจี้เซียนเสินมาด้านหลัง

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้าหมอนี่ก็แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่”

ซูฉีมองไปยังด้านหลังของจี้เซียนเสิน ในแววตาเต็มไปด้วยความตกใจ

ต้องมีตบะระดับใดกันถึงจะมีท่าทีน่าเกรงขามได้เช่นนี้

เผชิญหน้ากับสายมารทั้งหมดเพียงลำพัง แม้จะมีคนนับพัน แต่ข้าก็จะมุ่งไปให้ได้!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูของสิงหงเสวียน “นำหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ออกมา”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สิงหงเสวียนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อรู้ว่าเป็นเสียงของหานเจวี๋ย นางจึงรีบหยิบหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ออกมาในทันใด

เซียนซีเสวียนที่อยู่ข้างๆ เหลือบเห็นหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ สายตาก็เผยความประหลาดใจออกมา คนอื่นๆ ต่างมองไปยังจี้เซียนเสินที่อยู่บนท้องนภา ไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏขึ้นของหุ่นเชิดแห่งสวรรค์

ขณะที่สตรีทั้งสองกำลังจ้องมอง หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ยกมือขวาขึ้น นิ้วชี้ชี้ไปที่จี้ไน่เหอที่อยู่บนท้องฟ้า

…..

เขาเพียรบำเพ็ญเซียน ใต้ต้นฝูซัง

มู่หรงฉี่เอ่ยถามอย่างตื่นเต้นว่า “อาจารย์ปู่ ท่านก็บรรลุถึงระดับมหายานแล้ว ท่านจะขึ้นสวรรค์เมื่อไรหรือ แล้วระดับมหายานคือสิ่งใดกัน แข็งแกร่งเพียงใด”

หานเจวี๋ยลุกขึ้น คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นตามเช่นกัน

เห็นเพียงหานเจวี๋ยยกมือขวาขึ้น ยกนิ้วชี้ตั้งตรง ชี้ไปยังขอบฟ้า สายตามองออกไป รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวกลุ่มหนึ่งปะทุออกมา

“ระดับมหายานคือสิ่งใด”

“ระดับมหายานก็คือ อีกด้านของฟากฟ้า สังหารศัตรูด้วยนิ้วเดียว!”

“ระดับมหายานคือ มีเพียงข้าที่ไร้พ่าย!”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มองอาจ เมื่อคำพูดนั้นจบลง เขาก็ระเบิดพลังวิญญาณหกสายออกมาอย่างรุนแรง

ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพ!

แสงกระบี่ส่องประกาย สาดส่องฟ้าดินราวกับทิวากาล!

ขณะที่พวกมู่หรงฉี่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากนิ้วชี้ของหานเจวี๋ย ก่อนที่จะหายไปในสุดขอบฟ้าดินในชั่วพริบตา เกิดเป็นลมกระโชกจนผืนป่าบนเทือกเขาพลิ้วไหวอย่างรุนแรง

ภาพฉากนี้ทำให้พวกเขาตกใจอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะมู่หรงฉี่

ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่หานเจวี๋ยแสดงออกมาในตอนนี้ก็คือสิ่งที่เขาต้องการแสวงหา!

ไร้พ่าย!

…..

ภายใต้ก้อนเมฆที่ม้วนตลบ จี้ไน่เหอขมวดคิ้วจ้องมองไปที่จี้เซียนเสินที่ซึ่งกำลังใกล้เข้ามาบนท้องฟ้า ในใจเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกมารชี คิดไม่ถึงว่าจะปล่อยเจ้านี่ออกมาได้!”

ในดวงตาของจี้ไน่เหอวาบประกายสังหาร

หากเป็นเช่นนี้ เขาก็จะสังหารบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งจวนเซียนสวรรค์ผู้นี้ก็แล้วกัน!

จี้เซียนเสินก็เต็มไปด้วยเจตนาสังหารไม่ต่างกัน นอกจากเจตนาที่จะสังหารแล้ว ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกตื่นเต้น

หากวันนี้เขาสามารถสังหารจักรพรรดิมารต่อหน้าผู้บำเพ็ญสายหลักสายมารได้ เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!

อันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ที่ช่วยเหลือคนธรรมดา!

ครืน!

เสียงสะเทือนเลือนลั่นที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทำให้จี้เซียนเสินตกใจจนต้องหันหน้าไปมองโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปนั้น ประกายกระบี่ก็ส่องกระทบบนใบหน้า หางตาเหลือบมองเห็นปราณกระบี่ที่น่าหวาดกลัวสายหนึ่ง

เขาไม่เคยพบเห็นปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อนเลย!

รวดเร็วเกินไปแล้ว!

เร็วเสียจนจี้เซียนเสินเกือบตอบสนองไม่ทัน

สัมผัสของจี้ไน่เหอแข็งแกร่งกว่าเขา เขาเพียงสัมผัสได้ว่ามีปราณกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของจี้เซียนเสิน ทะลุผ่านเสียงอสนีบาตนับพันของจี้เซียนเสิน ปลิดชีพเขาในทันที

จี้ไน่เหอไม่มีเวลาครุ่นคิดมากมายนัก จิตใต้สำนึกสั่งให้ต้องหลบหนีทันใด

ทว่าช่างน่าเวทนานัก!

ไม่ทันการณ์แล้ว!

ต่อต้านไม่ไหว!

ดวงตาของจี้ไน่เหอเบิกกว้าง แสงกระบี่สาดส่องลงบนใบหน้าของเขา

ชั่วพริบตานั้น ในสมองของเขาว่างเปล่า ไม่มีความคิดใด ภายในใจยังคงไว้ซึ่งเจตนาสังหารที่มีต่อจี้เซียนเสิน

จวบจนกระทั่ง

เขาถูกปราณกระบี่ปกคลุม ร่างกายและจิตวิญญาณถูกเผาทำลาย!

เหนือผืนดิน ผู้บำเพ็ญสายมารและสายหลักทั้งหลายไร้ซึ่งการตอบสนอง พวกเขาเห็นเพียงปราณกระบี่ที่ปรากฏขึ้นในอากาศ ผ่าแยกท้องนภา ฉีกหมู่มวลเมฆที่ไร้ขอบเขต ก่อนที่จะโจมตีจักรพรรดิมารทันที

ไม่มีเสียงร้องคำรามอื้ออึงเสียดโสตประสาท และไม่มีแรงระเบิดที่เขย่าคลอนโลกา เมื่อปราณกระบี่สลายหายไป จักรพรรดิมารก็ไม่ดำรงอยู่แล้ว

ปรมาจารย์มารโลหิตและอรหันต์มารละโมบเบิกตากว้าง ทั้งคู่ต่างตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง

จี้เซียนเสินก็หยุดลง นิ่งงันอยู่กับที่

เขาหันหน้ามองไปตามจิตใต้สำนึก เห็นว่าบนท้องฟ้าด้านหลังตนไม่มีผู้ใด แต่บนพื้นดินกลับมีคนอยู่ หนึ่งคนหนึ่งสุนัข

ใครกัน

อารมณ์ของจี้เซียนเสินแปรเปลี่ยน สั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย

เป็นไปได้อย่างไร!

เมื่อครู่เป็นการลงมือของเซียนผู้นั้นหรือ

ไม่มีมนุษย์ปุถุชนใดที่สามารถมีพลังเช่นนั้นได้!

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

จี้เซียนเสินไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน

กระทั่งยามที่เขาเผชิญหน้ากับกวนอวี่บนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนในครานั้น ก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้

นอกจากกวนอวี่แล้ว ในโลกนี้ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าอีกหรือ

ฟ้าดินอ้างว้าง มีเพียงสายอัสนีใต้เท้าของจี้เซียนเสินเท่านั้นที่ยังส่งเสียงคำรามอื้ออึง

ทุกคนล้วนตกอยู่ในความเงียบ ไม่อยากเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า

ผ่านไปเนิ่นนาน

หวงจี๋เฮ่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “จักรพรรดิมารตายแล้ว?”

เสียงของเขาไม่เบานัก ทำลายความเงียบลงในทันที

ตู้ม!

หม้อบนแท่นอันเชิญมารแตกกระจาย!

เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายพากันส่งเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจ

สิงหงเสวียนและเซียนซีเสวียนจ้องมองหุ่นเชิดแห่งสวรรค์อย่างอึ้งงัน

นักพรตเต๋าจิ่วติ่ง กวนโยวกังและหลิ่วปู๋เมี่ยสังเกตเห็นหุ่นเชิดแห่งสวรรค์เข้าพอดี และหุ่นเชิดแห่งสวรรค์นั้นยังคงอยู่ในลักษณะที่ชี้นิ้วไปยังจักรพรรดิมารจี้ไน่เหอ

การที่หานเจวี๋ยสามารถโจมตีจี้ไน่เหอได้นั้น ก็ต้องยกความดีความชอบให้หุ่นเชิดสวรรค์ที่มีหน้าที่เล็งเป้า

หรือว่า…

พวกนักพรตเต๋าจิ่วติ่งสามคนคิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจหาญอย่างหนึ่งขึ้นมาได้

รูปร่างของหุ่นเชิดแห่งสวรรค์นี้ก็เหมือนมนุษย์มาก

…..

บนเขาเพียรบำเพ็ญเซียน หานเจวี๋ยเก็บมือกลับมา ต้นฝูซังยังคงสั่นไหวตามแรงลม ใบไม้ปลิวว่อน

อู้เต้าเจี้ยนมองแผ่นหลังของหานเจวี๋ยด้วยความหลงใหล ใบหน้าของสวินฉางอันและหยางเทียนตงก็แสดงถึงความเลื่อมใสออกมาไม่ต่างกัน

ไก่คุกรัตติกาลเบิกตากว้าง ดูแล้วช่างน่าขันนัก

มู่หรงฉี่ประสานมือ เอ่ยถามอย่างตื่นเต้นว่า “อาจารย์ปู่! นี่คือพลังวิเศษใดกัน”

หานเจวี๋ยเหลือบมองเขา เอ่ยว่า “ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพ อยากเรียนหรือ”

“อยากขอรับ!”

“เจ้าไม่ชอบกระบี่ไม่ใช่หรือ”

“ข้าก็สามารถปรับใช้กับฝีมือการยิงได้ ดุดันถึงเพียงนี้!”

หานเจวี๋ยหัวเราะเล็กน้อย ก่อนเดินไปที่ต้นฝูซังและนั่งลงอีกครั้ง คนอื่นๆ ก็เดินตามมาเช่นกัน

ฟ้าดินกลับคืนสู่ความสงบ

พวกมู่หรงฉี่ยังคงคิดว่าหานเจวี๋ยเพียงแค่แสดงให้พวกเขาเห็นถึงพลังของระดับมหายาน แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า การชี้นิ้วของหานเจวี๋ยเมื่อครู่นี้ เพิ่งจะช่วยชีวิตของอาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้าไว้!

หานเจวี๋ยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น เพียงแต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

บัดนี้ สายหลักสงบแล้วสินะ

…………………………………………………………………………………….