บทที่ 134 โลกมนุษย์มีมารแท้ สะพานอนิจจัง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 134 โลกมนุษย์มีมารแท้ สะพานอนิจจัง

หลังจากสังหารจี้ไน่เหอ นับว่าเรื่องกังวลในใจของหานเจวี๋ยได้หายไปอีกเรื่อง เขาให้ความกระจ่างแก่เหล่าศิษย์ไปพลาง ในขณะเดียวกันก็ให้ความสนใจกับสถานการณ์ทางด้านเมืองหลวงของฝ่ายมารไปด้วย

เมื่อจี้ไน่เหอถูกสังหาร ปรมาจารย์มารโลหิตและอรหันต์มารละโมบก็แทบตกใจจนสิ้นสติ รีบหลบหนีจากไปในทันที

ความแข็งแกร่งของจี้ไน่เหอไม่ต่างจากพวกเขามากนัก พวกเขาล้วนมองไม่เห็นว่าจี้ไน่เหอตายได้อย่างไร แสดงว่าพลังของผู้ที่ลงมือนั้นห่างชั้นกว่าพวกเขาอยู่มากโข ไหนเลยที่พวกเขาจะกล้ารั้งอยู่ที่นี่!

จี้เซียนเสินผู้ซึ่งถูกชิงลงมือตัดหน้าจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เริ่มสังหารผู้บำเพ็ญสายมารเพื่อระบายอารมณ์

พิธีอัญเชิญมารจึงหยุดชะงักลงกลางคัน!

เหล่าผู้บำเพ็ญสายหลักรอดชีวิต!

ด้วยการกำชับของหานเจวี๋ย สิงหงเสวียนจึงนำหุ่นเชิดแห่งสวรรค์กลับเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ

เสียงโห่ร้องดีใจดังก้องไปทั่วดินแดนที่มืดสลัวแห่งนี้

“สวรรค์ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

“ฝีมือของผู้ทรงพลัง! คาดไม่ถึงว่าจะสังหารจักรพรรดิมารได้ในทันที!”

“จี้เซียนเซินเป็นผู้สังหารหรือ”

“แน่นอนว่าไม่ใช่ เมื่อครู่จี้เซียนเสินเองก็ตกใจเช่นกัน!”

“เช่นนั้นเป็นใครกัน จักรพรรดิมารไม่ใช่ผู้บำเพ็ญระดับมหายานหรอกหรือ หรือผู้ที่ลงมือจะเป็นเซียน”

“สวรรค์เมตตาสายหลักของข้าแล้ว!”

…..

ซูฉีและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นอึ้งตะลึงอยู่กับที่

พวกเขายังคงอยู่ในอาการตกตะลึง ปราณกระบี่เมื่อครู่นั้นวาดผ่านศีรษะของพวกเขาไป ดูราวกับปาฏิหาริย์

ซูฉีฮึกเหิม ก่อนประสานมือและโห่ร้องต่อไปไม่หยุด

“ต้องเป็นท่านอาจารย์แน่”

เมื่อได้ยินวาจาของซูฉี สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นก็อึ้งงัน เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “เป็นนายท่านที่สังหารจักรพรรดิมารหรือ”

ซูฉีพยักหน้าเอ่ยว่า “ต้องใช่เขาแน่ เขาคอยปกป้องข้าอย่างลับๆ มาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นข้าคงจะตายไปนานแล้ว!”

เมื่อสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่

เหตุใดนายท่านถึงไม่ปกป้องข้า

ภายในใจของมันยังคงไม่อยากเชื่อ

“รีบหนีเถิด ข้าอยากกลับไปที่ต้าเยี่ยนแล้ว!”

ซูฉีเห็นว่าจี้เซียนเสินยังคงฆ่าสังหารไปทั่วทิศทาง พลันคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี เมื่อกล่าวประโยคนี้จบจึงหันหลังจากไป

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นรีบร้อนตามไปอย่างรวดเร็ว

มันก็ไม่อยากเป็นสัตว์พาหนะของจี้เซียนเสิน

อีกด้านหนึ่ง

หานเจวี๋ยได้เฝ้าสังเกตสถานการณ์การต่อสู้ผ่านหุ่นเชิดแห่งสวรรค์อยู่ตลอด เพื่อให้แน่ใจว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์จะปลอดภัย

การเสียชีวิตของจักรพรรดิมารส่งผลกระทบร้ายแรงต่อขวัญกำลังใจของผู้บำเพ็ญสายมาร ไหนเลยที่พวกเขาจะสนใจเหล่าผู้บำเพ็ญบนแท่นบูชาได้ เหล่าผู้บำเพ็ญสายมารต่างหนีไปในสายลม ทว่าจี้เซียนเสินก็ยังไล่ตามอย่างไม่ลดละ

…..

เมื่อกลับมาภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิบนเตียง

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้แก่ชัยชนะของสายหลัก หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาและเริ่มสาปแช่งจูเชวี่ยและนักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยน

คนละครึ่งเดือน เพิ่มเป็นสองเท่า

หลังจากสาปแช่งเสร็จแล้ว หานเจวี๋ยจึงเริ่มฝึกฝนวิชาวัฏจักรหกวิถีขั้นเก้าต่อ

หลังจากจักรพรรดิมารตายลง ใต้หล้าคงสงบสุขในไม่ช้า ทำให้หานเจวี๋ยสามารถฝึกฝนได้อย่างสบายใจอีกครั้ง

เขาบอกสิงหงเสวียนผ่านหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ ให้นางโน้มน้าวนักพรตเต๋าจิ่วติ่งกลับมาโดยเร็วที่สุด อย่าได้รั้งอยู่นาน

เวลาไม่ถึงหนึ่งปี การตายของจักรพรรดิมารทำให้คนทั้งโลกตื่นตะลึง!

กำลังของสายมารก็เป็นไปตามที่หานเจวี๋ยได้คาดการณ์ไว้ พังทลายในทันที!

ตำนานเซียนในโลกมนุษย์เริ่มแพร่กระจาย เหตุผลหลักมาจากการตายของจักรพรรดิมารที่ไร้ซึ่งเหตุผลจนเกินไป

ถูกปราณกระบี่ลึกลับสายหนึ่งสังหารในพริบตา วิธีการนี้ราวกับการแสดง

เซียนนั้นคือผู้ใด มาจากสำนักใด ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า แม้กระทั่งนักเล่าเรื่องหลายคนก็สร้างตำนานทุกประเภทเกี่ยวกับเรื่องนี้ เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า

…..

พื้นที่มืดสลัวแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยหมอกหนาตลบอบอวลทั่วสารทิศ

เซวียนฉิงจวินคุกเข่าลงท่ามกลางสายหมอกนั้น มีเสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “จี้ไน่เหอตายแล้ว? พวกเจ้ายังหามือสังหารไม่พบอีกหรือ”

เซวียนฉิงจวินสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยว่า “ตอนนั้นมีผู้บำเพ็ญระดับมหายานสองคนที่อยู่ที่นั่นกล่าวว่า อีกฝ่ายมิได้ปรากฏตัว ข้าสงสัยว่าเป็นเทพเซียน นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทพเซียนลงมาบนโลกปุถุชนเป็นการส่วนตัว”

บังเกิดความเงียบงัน

น้ำเสียงเย็นชาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก

ผ่านไปครู่หนึ่ง

เซวียนฉิงจวินเอ่ยถามว่า “แผนที่เผ่ามารจะเข้าสู่โลกมนุษย์ยังต้องดำเนินการต่อหรือไม่ ก่อนหน้านี้จี้ไน่เหอได้เริ่มพิธีบูชายัญแล้ว ดวงชะตาของเผ่ามารก็ใกล้เคียงกับโลกมนุษย์ คาดว่าเรื่องนี้คงได้สั่นคลอนไปถึงแดนเซียน หากดำเนินการต่อไป เกรงว่า…”

“หึ ดำเนินการต่อ ให้ประมุขมารกลับมาเถอะ ในโลกมนุษย์ก็มีมารแท้แล้ว ข้าขอให้ประมุขมารไปตามหามารแท้ผู้นั้นแล้ว ส่วนเจ้า จงรีบขึ้นสวรรค์เร็ววันเถอะ”

“รับบัญชา!”

เซวียนฉิงจวินเอ่ยตอบ ก้มหน้าลงปิดบังแววตาที่สั่นไหวของนาง

…..

เพียงพริบตา เวลาผ่านไปสิบปี

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ฝึกฝนวิชาวัฏจักรหกวิถีขั้นเก้าได้สำเร็จ เขาไม่ได้บรรลุพลังวิเศษใหม่ๆ ทว่าระดับความเร็วในการฝึกฝนของเขาเพิ่มสูงขึ้น

จากนี้ไป เขาสามารถดูดซับแก่นแท้ของดวงอาทิตย์และจันทราได้ อีกทั้งยังสามารถดูดซับพลังวิญญาณเก้าโลกันตร์ในยมโลกได้อีกด้วย

ขณะเดียวกัน ก็ยังนับว่าเขาห่างจากระดับมหายานขั้นสองอยู่พอสมควร

หานเจวี๋ยตัดสินใจที่จะลองมุ่งหน้าไปเยือนยมโลกดูสักครั้ง

ทว่าเขาไม่กล้าไปที่นั่นด้วยตนเอง จึงสร้างหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ขึ้นมาก่อน ปล่อยให้หุ่นเชิดสวรรค์ไปลองทดสอบ

หากบรรลุระดับมหายานโดยสมบูรณ์แล้วจำเป็นต้องขึ้นสวรรค์ เขายังสามารถไปที่ยมโลกก่อนเพื่อหลบภัยได้

ครึ่งเดือนต่อมา หานเจวี๋ยสร้างหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ขึ้นมาได้สำเร็จ

เขาร่ายเวทคาถาสำทับเข้าไป ก่อนที่ปราณสีดำจะปรากฏขึ้นบนพื้นตรงหน้าเตียง ประตูหินที่จารึกลวดลายแปลกประหลาดก็ผุดขึ้น

ประตูวัฏจักร!

นี่คือพลังวิเศษที่ติดมากับวิชาวัฏจักรหกวิถีขั้นแปด สามารถก้าวสู่ยมโลก ดูดซับวิญญาณและโยนเข้าไปในวัฏจักรหกวิถีได้

ดวงตาคู่งามของอู้เต้าเจี้ยนเบิกกว้าง ใบหน้าเผยถึงความใคร่รู้ แต่นางก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทำได้เพียงมองดูอย่างเงียบๆ

หานเจวี๋ยควบคุมให้หุ่นเชิดแห่งสวรรค์เข้าสู่ประตูวัฏจักร

เขาหลับตาลง เพ่งสมาธิไปบนร่างของหุ่นเชิดแห่งสวรรค์นั้น

หลังจากเข้าสู่ประตูวัฏจักรแล้ว หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ก็ถูกหมอกดำหนาแน่นปกคลุม ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย

หานเจวี๋ยก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาสำรวจยมโลก ที่นี่ไม่มีแสงตะวัน มืดสลัวหาใดเปรียบ

ขณะที่เขากำลังเดินอยู่นั้น หานเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงสายน้ำที่อยู่ใต้เท้า ทำให้เขารู้สึกประหม่ามากยิ่งขึ้น

เขากระจายพลังจิตออกไป กลับพบว่าไม่มีสิ่งใดอยู่รอบตัว ใต้เท้าของเขามีน้ำอยู่จริงๆ น้ำนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก พลังจิตจะแตกสลายทันทีเมื่อกระทบมัน

น้ำที่สามารถทลายพลังจิตได้

หรือจะเป็นน้ำปรโลกในตำนาน

ผ่านไปไม่นาน

ในที่สุดเบื้องหน้าก็ปรากฏลำแสงขึ้น หานเจวี๋ยมองเห็นสะพานสายหนึ่งตั้งอยู่ในหมอกหนาทึบ ที่เหนือผิวน้ำมองไม่เห็นปลายอีกด้านของสะพาน

หญิงชราผู้หนึ่งอยู่บนปลายสะพานนั้น เบื้องหน้าของนางปรากฏวิญญาณกลางอากาศขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาหยิบชามในมือของนาง หลังจากที่ดื่มหมดในรวดเดียวก็ก้าวขึ้นไปบนสะพาน ก่อนจะเลือนหายไปในหมอกหนาทึบบนสะพานนั้น

สะพานอนิจจังหรือ

ยายเมิ่ง[1]?

ในใจของหานเจวี๋ยเกิดเป็นความสงสัย

เขาหมุนกายกลับด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปอีกทางหนึ่ง

เขาก็ไม่ได้จะไปเกิดใหม่ แล้วเหตุใดจะต้องขึ้นสะพานอนิจจัง

ไม่แน่ว่ายายเมิ่งอาจเป็นผู้ทรงพลังในยมโลก นี่ก็ไม่อาจมองข้ามได้

“ก่อนเวียนว่ายตายเกิด เจ้าคิดจะหันหลังกลับหรือ”

น้ำเสียงแหบพร่าดังเข้าสู่โสตประสาทของหานเจวี๋ย เมื่อหานเจวี๋ยได้ยินเขาก็เร่งความเร็วขึ้น หายตัวไปในหมอกทึบอย่างรวดเร็ว

บินไปได้ไม่นานนัก จู่ๆ แรงกดดันอันน่าหวาดกลัวก็ย่างกรายมาถึง กดหานเจวี๋ยลงไปในน้ำ

หานเจวี๋ยรีบปล่อยให้หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ระเบิดตัวเองในทันที ด้วยเกรงว่าผู้ทรงพลังในยมโลกจะติดตามหุ่นเชิดแห่งสวรรค์จนค้นพบตัวของเขา

ตู้ม!

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เก็บประตูวัฏจักรในทันที

เหงื่อเย็นเยียบผุดซึมที่กลางหลัง

แรงกดดันเมื่อครู่นี้รุนแรงเกินไป จำต้องรู้ก่อนว่าหุ่นเชิดแห่งสวรรค์มีตบะบำเพ็ญระดับมหายาน คาดไม่ถึงว่ามันจะถูกแรงกดนั้นบดขยี้จนแหลกกับพื้น!

‘จะย่างกรายเข้าสู่ยมโลกไม่ใช่เรื่องง่ายเลย’

หานเจวี๋ยครุ่นคิดด้วยความหวาดกลัว

ประตูวัฏจักรจะสุ่มเชื่อมต่อกับพื้นที่ในยมโลกหรือไม่

หานเจวี๋ยส่ายหน้า อย่างไรเสียเขาก็ไม่กล้าลองอีก

ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน กลัวแต่เหตุที่ไม่คาดฝัน หากอีกฝ่ายตามหุ่นเชิดแห่งสวรรค์มา เล็งเป้ามาที่ตัวเขา แล้วสังหารเขาข้ามแดนเล่า

ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!

อย่างไรเสียสำหรับเขาแล้วยมโลกก็คือคนต่างเผ่าพันธุ์

“นายท่าน เป็นอะไรไปหรือ” อู้เต้าเจี้ยนอดที่จะถามขึ้นไม่ได้

หานเจวี๋ยส่ายหน้า กำลังจะตอบกลับ แต่จู่ๆ เขารู้สึกว่าอุณหภูมิกลับเพิ่มสูงขึ้น และภายในถ้ำเทวาก็ร้อนเป็นอย่างมาก

ช้าก่อน!

หรือว่า…

หานเจวี๋ยคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา ก่อนจะหายตัวไปจากเตียงทันที

……………………………………………………………………………………

[1]ยายเมิ่ง เทพอาวุโสที่ประจำอยู่ในยมโลกตามความเชื่อของชาวจีน มีหน้าที่เฝ้าสะพานอนิจจัง วิญญาณที่ถูกตัดสินและจะไปเกิดใหม่ทุกดวงจะต้องข้ามผ่านสะพานอนิจจังนี้ และต้องดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง เพื่อที่จะลืมเรื่องราวในชาติภพนี้ไปเกิดใหม่ในชาติภพหน้า