ตอนที่ 147 อวี้จิ่นผู้รนหาที่ตาย
แม้ว่าห้องเปล่าในฝ่ายข้าราชการพลเรือนจะถูกนับว่าเป็นห้องขังรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อถูกใช้สำหรับเหล่าองค์ชายย่อมแตกต่างจากห้องขังทั่วๆ ไป
อาจพูดได้ว่านอกจากอิสรภาพแล้ว ชีวิตประจำวันของเหล่าองค์ชายขณะที่อยู่ในห้องนั้นก็มิได้ต่างไปจากยามอยู่ที่จวนของตัวเองเท่าไหร่นัก แต่เนื่องจากเป็นคำสั่งลงโทษจากฮ่องเต้ ตลอดสามวันมานี้เหล่าองค์ชายจึงได้เสวยแค่ผลหมากรากไม้เพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น
ขณะที่กำลังเดินออกไป พระบาทของเหล่าองค์ชายแต่ละคนจึงอ่อนเปลี้ยเพลียแรง และใบหน้าซีดเซียวกันเป็นแถว
ไม่มีเนื้อตกถึงท้องแล้วจะไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน!
เมื่อพวกเขาออกมาแล้ว คนมากมายก็เข้าไปห้อมล้อมทันที
ในเวลานี้องค์ชายที่อภิเษกสมรสแล้วก็จะมีพระชายามารอรับ ส่วนคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนอย่างองค์ชายหกและองค์ชายแปด เสด็จแม่ของพวกเขาก็ได้ส่งคนสนิทให้ไปรอรับ เพราะเกรงว่าลูกชายจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ในขณะนั้นที่บริเวณด้านนอกของฝ่ายราชการพลเรือนมีเสียงร้องไห้ระงมดังไปทั่ว
หลงต้านลอบถอนหายใจพลางดึงตัวเหลิงอิ่ง “ไป พวกเราก็ต้องไปรับเจ้านายด้วยเหมือนกัน!”
ถ้ารู้แต่แรกพาเอ้อร์หนิวมาด้วยดีกว่า เพราะสตรีพวกนั้นรวมกันยังไงก็สู้เอ้อร์หนิวไม่ได้!
หลงต้านและเหลิงอิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว แต่แล้วก็มีคนหนึ่งเดินตัดหน้าไปหาอวี้จิ่นก่อนพวกเขา ชายผู้นั้นน้อมคำนับและส่งยิ้มพลางเอ่ย “องค์ชาย เหนียงเหนียงให้มาเชิญองค์ชายไปเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นยิ้มพลางตอบขันทีที่มาเชิญอวี้จิ่นมาจากตำหนักของเสียนเฟยอย่างอ้อมค้อม “ขณะนี้ข้ายังไม่สะดวก จำต้องไปอาบน้ำอาบท่า กินข้าวแล้วก็นอนพักเสียหน่อย”
อวี้จิ่นรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าขันสิ้นดี
เขากลับมาที่เมืองหลวงได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่เสด็จแม่ที่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรก็กลับมิเคยเรียกหา หรือแม้แต่ในวันที่เขาอายุครบสิบแปดปีก็ยังไม่เห็นวี่แววใดๆ แต่ในยามที่เขาถูกเลื่อนขึ้นเป็นอ๋องกลับถูกเชิญให้ไปพบที่ตำหนัก เกรงว่าคงจะอดใจรอต่อไปไม่ไหวแล้วกระมัง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อวี้จิ่นคร้านจะโกรธเสียด้วยซ้ำ
วังหลวงแปลกที่สำหรับเขา ฉะนั้นเสด็จแม่ที่อยู่ในวังหลวงจึงเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาด้วยเช่นกัน
‘เสด็จแม่’ จึงเป็นเพียงนามเรียกขาน มิได้มีความหมายใดๆ
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นกำลังหันหน้าเดินไปทางหลงต้านและเหลิงอิ่ง ขันทีจึงตะโกนไล่หลังว่า “องค์ชาย เหนียงเหนียงทรงรอองค์ชายอยู่พ่ะย่ะค่ะ…”
เมื่อตะโกนออกมาเช่นนั้น กลุ่มคนที่ยังอยู่ที่หน้าประตูจึงหันไปมองเป็นตาเดียว
ขันทีทั้งตัวเล็กและขาสั้นเขม่นมองไปที่แผ่นหลังของอวี้จิ่นที่กำลังเดินนำองครักษ์ทั้งสองออกไปอย่างสบายใจ เขาทำได้เพียงกระทืบเท้า ถอนหายใจ และเดินคอตกกลับวังไปรายงาน
บนรถม้าของจวนหลู่อ๋อง พระชายาหลู่สำรวจดูองค์ชายห้าว่ามีอาการบาดเจ็บร้ายแรงหรือไม่ก่อนจะสบถออกมาอย่างโกรธเคือง “เหตุใดไอองค์ชายสันขวานนั่นถึงมาตีหัวท่านอ๋องได้ล่ะเพคะ…”
องค์ชายห้าที่ทั้งประหม่าและหดหู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เลิกเอ่ยถึงเขาเสียที ยิ่งเอ่ยข้าก็ยิ่งหงุดหงิด”
เรื่องที่เจ้าเจ็ดกัดคนไม่เลือกหน้าเป็นหมาบ้าคงต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องโชคร้าย หากแม่เสือโคร่งตัวนี้รู้เรื่องที่เขาคะนึงหาคุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วคงได้เป็นเรื่องอีกแน่
เมื่อพระชายาหลู่คิดว่าเป็นเพราะความโชคร้ายขององค์ชายห้าจึงเลิกเซ้าซี้ นางเปลี่ยนไปถามว่า “ท่านอ๋อง เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้แต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นอ๋องละเพคะ”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง!”
ภายในตู้โดยสารม้าของแต่ละจวน คนที่อยากรู้คำตอบของคำถามนั้นไม่ได้มีเฉพาะพระชายาหลู่เพียงคนเดียว เพราะแต่ละคนที่ถูกถามก็ไม่มีใครให้คำตอบได้เช่นกัน
“เจ้าไม่ต้องไปสนใจว่าน้องเจ็ดขึ้นเป็นอ๋องได้อย่างไร ความคิดของเสด็จพ่อนั้นยากเกินหยั่งถึง เสด็จพ่อย่อมมีพระประสงค์ของพระองค์เอง ข้ากับน้องเจ็ดเกิดจากท้องมารดาเดียวกัน อีกไม่นานเขาก็ต้องมีจวนเป็นของตัวเอง ถึงเวลานั้นเจ้าก็ทำหน้าที่พี่สะใภ้ที่ดีก็พอ หากอนาคตเขามีชายา เจ้าก็เพียงทำตัวเป็นมิตรไว้” ภายนอกรถม้าดูเรียบง่าย ส่วนภายในก็ถูกออกแบบมาอย่างสะดวกสบาย องค์ชายสี่กล่าวเอ่ยกับพระชายาฉี
รูปโฉมภายนอกของพระชายาฉีถือว่าอยู่ในเกณฑ์ทั่วไป แต่ที่โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ คืออากัปกิริยาที่สง่าผ่าเผย เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้าส่งยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องวางพระทัยได้เพคะ กลับไปหม่อมฉันจะสั่งให้คนส่งของกำนัลมาให้องค์ชายเจ็ด รอจวนเยี่ยนอ๋องสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หม่อมฉันค่อยนำต้นปะการังสีแดงสูงครึ่งจั้งคู่นั้นที่เก็บอยู่ในเรือนของหม่อมฉันไปมอบให้เป็นของกำนัลเพคะ”
ครั้นองค์ชายสี่ได้ยินก็พลันรู้สึกเจ็บปวดตามเนื้อตัว
ต้นปะการังสีแดงสูงครึ่งจั้งคู่นั้นเป็นของล้ำค่า และเป็นของหายาก แล้วยิ่งเป็นสินเดิมของพระชายาเขาจึงไม่กล้าเอ่ยปากขอ แต่ไม่คิดมาก่อนว่าชายาของตนจะใจกว้างเช่นนี้
ทว่านี่ก็ตรงกับความต้องการขององค์ชายสี่พอดิบพอดี
แม้ว่าอวี้จิ่นจะมาร่วมงานฉลองคล้ายวันประสูติที่เขาเป็นผู้จัดขึ้น แต่การได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นอ๋องทำให้ทั่วทั้งราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู เนื่องจากไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระประสงค์ที่แท้จริงของฮ่องเต้
แต่ในมุมมองขององค์ชายสี่ ไม่ว่าจิ่งหมิงตี้จะคิดอย่างไร อวี้จิ่นก็คงต้องมีอะไรดีสักอย่าง และเขาแน่ใจว่าน้องชายจะปฏิบัติต่อเขาในฐานะพี่ชายอย่างแน่นอน
“ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว ไว้เดี๋ยวข้า…จะหาของล้ำค่ามาให้เจ้าในภายหลัง” องค์ชายสี่กุมมือพระชายาฉีไว้แน่นพลางพูดจาเป็นนัย
พระชายาฉียิ้มกริ่มพลางเอนตัวพิงไหล่ขององค์ชายสี่อย่างนุ่มนวล “หม่อมฉันไม่สนใจสิ่งของล้ำค่าเลยเพคะ แค่หัวใจดวงนี้ของท่านอ๋องก็เพียงพอแล้วเพคะ”
เรื่องความมักใหญ่ใฝ่สูงของท่านอ๋องนั้น นางทราบเป็นอย่างดี ฉะนั้นนางรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในฐานะพระชายาขององค์ชายผู้มีความทะเยอทะยาน
หากท่านอ๋องทำตัวเกียจคร้านไปชั่วชีวิต นางก็คงจะใช้สินเดิมนั้นปรนเปรอตนเอง แต่ครั้นท่านอ๋องหมายมั่นตำแหน่งนั้นไว้ นางจึงต้องยื่นมือเข้าไปช่วยสานสัมพันธ์
ในแง่ภูมิหลังทางครอบครัวของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพระชายาของไท่จื่อ ฉะนั้นเหตุใดนางถึงจะขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งฮองเฮาไม่ได้
เมื่อหันไปมองเสี้ยวหน้าแสนธรรมดาของพระชายาฉี องค์ชายสี่ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาในใจ
พระชายาช่วยเขาได้มากจริงๆ เสียดายก็แต่เกิดมาหน้าตาธรรมดาไปหน่อย…
ลองนึกดูแล้ว น้องห้านี่โชคดีแต่กลับไม่รู้สำนึก มีชายาโฉมงามประดุจบุปผาปานนั้นแล้วยังไปหมายตาคุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วเสียได้
ไม่รู้ว่าคุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วนั้นจะงดงามเพียงใด องค์ชายสี่เกิดความสงสัยเล็กน้อย
“ท่านอ๋อง รู้สึกเพลียหรือไม่เพคะ” พระชายาฉีเห็นองค์ชายสี่มีอาการเหม่อลอยจึงถามขึ้น
องค์ชายสี่ยิ้ม “เปล่า เราเข้าวังแล้วไปน้อมทักเสด็จแม่ก่อนแล้วกัน เสด็จแม่จะได้ไม่เป็นห่วง”
ฉีอ๋องและพระชายาตรงไปที่วังหลวง ในตอนนั้นขันทีจากตำหนักเสียนเฟยได้กลับมารายงานก่อนแล้ว
เสียนเฟยโกรธจนหน้าเขียว “เขาใช้เรื่องอาบน้ำพักผ่อนมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ต้องเข้าวังมาพบข้าเนี่ยนะ ในสายตาคงไม่เห็นข้าเป็นเสด็จแม่แล้วกระมัง!”
ไอคนชั่ว ข้ออ้างฟังขึ้นป่านฉะนี้ อกตัญญูชัดๆ
“เหนียงเหนียงอย่าเพิ่งกริ้วไปเพคะ องค์ชายเจ็ดมิได้เติบโตในวังหลวง ความประพฤติจึงบกพร่องไปบ้าง” หมัวมัวคนสนิทเกลี้ยกล่อม
ในขณะนั้นเองนางในก็เข้ามารายงาน “เหนียงเหนียง ท่านฉีอ๋องและพระชายามาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
เมื่อได้ยินว่าองค์ชายสี่มาหา เสียนเฟยจึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติและรีบเอ่ย “รีบให้พวกเขาเข้ามา”
ท้ายที่สุดแล้ว องค์ชายสี่ก็เอาใจใส่ข้ามากที่สุด ไม่เคยทำให้ผู้เป็นมารดาต้องเจ็บช้ำน้ำใจ
……
ระหว่างทางที่กลับไปยังตรอกเชวี่ยจื่อ อวี้จิ่นหันไปถามหลงต้าน “สองวันที่ข้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
“ไม่มีขอรับ” หลังจากที่ไปรับเจ้านายกลับมา หลงต้านก็มีความสุขล้นปรี่จนอยากจะพูดล้อเล่นกับเจ้านาย
“หืม?” ใบหน้าอวี้จิ่นเคร่งขรึม
ไอนี่คงอยากถูกตีสักที รู้ทั้งรู้ว่าเขากำลังถามถึงอะไร ยังทำหน้าตาเหลอหลาอยู่ได้
หลงต้านรู้สึกเสียวสันหลังวาบจึงรีบตอบ “คุณหนูเจียงมาให้ข้าวเอ้อร์หนิวทุกวันเลยขอรับ”
อวี้จิ่นชะงักฝีเท้า
“เจ้านาย เป็นอะไรรึขอรับ”
“มานี่ทุกวัน?” อวี้จิ่นย้ำถามทีละคำ
“ขอรับ” หลงต้านพยักหน้า
มีปัญหาอะไรงั้นหรือ
“บัดซบ!” อวี้จิ่นบริภาษเสียงต่ำ แล้วรีบสับเท้ากลับบ้านอย่างว่องไว
เขาพลาดโอกาสที่จะได้พบหน้าอาซื่อไปตั้งหลายครั้ง อยากจะฆ่าคนจริง!
เขาหยุดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ พลางมองไปที่ต้นพุทธากิ่งคดที่กำลังอาบแดดอย่างเกียจคร้านก่อนจะถามขึ้นว่า “ปกตินางจะมาช่วงเวลาใด สองวันนี้ที่ข้าไม่อยู่ เจ้าบอกนางไว้ว่าอย่างไร”
“ยามนี้คุณหนูเจียงก็น่าจะมาถึงแล้วขอรับ” หลงต้านหัวเราะแฮ่ๆ “ข้าน้อยบอกกับคุณหนูเจียงว่า ท่านไปก่อเรื่องให้ผู้อื่นขุ่นเคืองจึงถูกจับเข้าคุกเป็นการลงโทษขอรับ”
เอ๋?
เมื่ออวี้จิ่นได้ยินดังนั้นจึงรีบล้วงกริชออกมา แล้วกรีดลงไปบนเสื้อคลุมของตัวเองสองสามที นอกจากนี้ยังกรีดเข้าที่แขนของตัวเองอีกหนึ่งที หยดเลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนบนใบหน้า เขาเอนตัวไปพิงหลงต้านอย่างอ่อนแรงพลางบอก “พยุงข้าเข้าไป…”