ตอนที่ 148 เปิดโปง
เมื่อเห็นเจ้านายที่กระปรี้กระเปร่าเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นดอกไม้อ่อนช้อยในชั่วพริบตา หลงต้านก็ถึงกับอ้าปากค้างจนสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปได้ทั้งฟอง “เจ้า เจ้านาย…”
นี่ท่านกำลังทำอะไรนี่!
“เงียบหน่า!” อวี้จิ่นเตือนเสียงต่ำ
เหลิงอิ่งเป็นพวกพูดน้อย สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือหลงต้านจะเผลอพูดอะไรไร้สาระออกไป
หลงต้านไม่กล้าถามต่อ ประคองอวี้จิ่นเดินไปพลางตะโกน “เหล่าหวัง เปิดประตู”
ประตูไม้สีดำขลับที่แสนจะธรรมดาถูกเปิดออกส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เอ้อร์หนิวรีบวิ่งลอดขาเหล่าหวังออกมา และวิ่งไปรอบๆ ตัวอวี้จิ่นพลางเห่าเรียก
แม้อวี้จิ่นจะไม่ได้เจอเอ้อร์หนิวตั้งสามวัน แต่เอ้อร์หนิวก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าว่าที่ภรรยาในอนาคต เขาแอบหยิกหลงต้านเป็นสัญญาณให้รีบพยุงเขาเข้าไป
หลงต้านยังแกล้งเซ่อ เหลิงอิ่งที่ใบหน้าเรียบเฉยจึงเข้ามาจับแขนอีกข้างของอวี้จิ่นและพยุงเข้าไป
เหล่าหวังที่เห็นเหตุการณ์ตกใจ “เจ้านายเป็นอะไรหรือขอรับ”
เจียงซื่อที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้กลางลานบ้านลุกขึ้นยืนเสียตั้งนานแล้ว
นางไม่คิดว่าจะได้พบหน้าอวี้จิ่น
ในขณะนั้นอารมณ์ของคุณหนูเจียงปนเปยุ่งเหยิงไปหมด ใจหนึ่งก็อยากรู้เรื่องที่อวี้จิ่นเพิ่งประสบมา ส่วนอีกใจก็กังวลว่าการที่ตนมาที่นี่ทุกวันแล้วยังบังเอิญพบหน้ากันอีก อาจทำให้อีกฝ่ายคิดไปไกล
ถ้ารู้อย่างนี้เปลี่ยนเวลามาดีกว่า
เจียงซื่อครุ่นคิดพลางมองไปที่สภาพไม่สู้ดีและรอยเลือดตามเนื้อตัวของอวี้จิ่น
ในชั่วอึดใจ ความคิดยุ่งเหยิงเหล่านั้นอันตรธานหายไป เจียงซื่อเผลอก้าวเท้าเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัวและเอ่ยถาม “เหตุใดจึงบาดเจ็บได้เล่า”
มุมปากของอวี้จิ่นกระตุกขึ้นเบาๆ
ราวกับว่าเขาเห็นความห่วงใยจากสายตาอาซื่อ!
เหอะๆ ก็เขาบอกแล้วไง กลยุทธ์ทุกข์กายของเขามันได้ผล
“ไม่ ไม่เป็นไร…” อวี้จิ่นเอ่ยอย่างไร้กำลัง แสร้งทำทีเร่งเร้าหลงต้าน “พาข้าไปนั่ง…”
วินาทีนี้หลงต้านก็เริ่มแสดงละครตาม เอ่ยเสียงสั่นขึ้นว่า “เจ้านาย ช้าๆ นะขอรับ ระวังแผลจะฉีก…”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจียงซื่อขมวดคิ้วมุ่น
อวี้ชีไม่ได้ถูกเลื่อนขั้นเป็นเยี่ยนอ๋องหรอกหรือ ฤกษ์งามยามดีเช่นนี้ ไฉนจึงมีบาดแผลถี่ยิบราวเกล็ดปลากลับมาเช่นนี้
หากปราศจากคำสั่งของฮ่องเต้ ใครเลยจะกล้าใช้กฎหมู่ลงทัณฑ์องค์ชาย
อวี้จิ่นเงยหน้าขึ้นมาสบตาและส่งยิ้มบางๆ ให้เจียงซื่อ “ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก ข้าดันไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตนิดหน่อย ไอคนนั้นมันยัดเงินให้เจ้าหน้าที่ตรวจการในนั้นเพื่อให้ข้ารับโทษนิดๆ หน่อยๆ ทว่าข้าหนังหนา แผลเหล่านี้เป็นเพียงรอยถลอก เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป…”
หืม?
เจียงซื่อหรี่ตามอง
ยิ่งนางฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
อวี้ชีไม่ได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทจึงถูกส่งไปขังที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนหรอกหรือ เจ้าหน้าที่ในฝ่ายนั้นจะกล้ารับสินบนแล้วลงไม้ลงมือกับองค์ชายที่เพิ่งได้ขึ้นเป็นอ๋องอย่างนั้นหรือ
แม้ว่าเดิมทีนางจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอวี้ชี แต่ก็ได้ทราบความหลังจากที่ถามจากบิดา
สิ่งที่อวี้ชีพูดกับสิ่งที่ท่านพ่อบอกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นคือสภาพของเขาตอนนี้ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
แน่นอนว่าเจียงซื่อไม่ใช่คนเขลา แม้ว่าในตอนแรกจะถูกทำให้กังวลและสับสนเนื่องด้วยสภาพน่าสังเวชเกินจริงของอวี้จิ่น แต่หลังจากที่สงบสติลงและใคร่ครวญอย่างดีแล้วก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ไอคนชั่วนี่ใช้กลยุทธ์ทุกข์กาย!
คุณหนูเจียงไม่ได้เผยสีหน้าใดๆ แต่ในใจเริ่มยิ้มเยาะ ช่างเก่งกาจเสียจริง หากจะใช้กลยุทธ์รูปงามก็เนื่องด้วยอีกฝ่ายมีดี แต่การใช้กลยุทธ์ทุกข์กายเช่นนี้ ไม่มียางอายเลยหรืออย่างไร
“ถูกคนพวกนั้นทำร้ายมาหรือ”
อวี้จิ่นพยักหน้าอย่างลำบาก “แค่ถูกโบยไม่กี่ครั้ง สำหรับข้าที่ฝึกศิลปะการต่อสู้มานักต่อนักก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด แค่กๆๆ…”
“เช่นนั้นเหตุใดถึงได้ดูอ่อนกำลังถึงเพียงนี้” คุณหนูเจียงแสดงสีหน้าเป็นห่วง
อวี้จิ่นเริ่มได้ใจ อาซื่อใจอ่อนแล้ว การแสร้งทำเป็นอ่อนแอนี่มันได้ผลจริงๆ ดีนะที่เขาหน้าหนาเอาการถึงเนียนมาได้จนป่านนี้
“แค่กๆๆ จริงๆ ตอนแรกก็ไม่หนักหรอก แต่เพราะตลอดสามวันมานี้ข้าวปลาไม่ตกถึงท้อง โดนลมนิดหน่อยก็เลยรู้สึกไม่ค่อยสบาย…”
“ไม่ให้ข้าวกินด้วยหรือขอรับ” หลงต้านที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามเสริม “เกินไปแล้ว เวลาหิวเจ้านายมักจะมีอาการเวียนศีรษะและหน้ามืด ทำแบบนี้ต้องรับโทษสถานหนัก!”
เจียงซื่อกระตุกมุมปาก
ที่พูดมาก็เป็นความจริง มีใครหิวโซแล้วไม่เวียนหัวหน้ามืดบ้าง! ทั้งเจ้านายและบ่าวรับใช้วางแผนเล่นละครตบตานาง นางเองก็อยากจะรู้ว่าพวกเขาจะแสดงกันไปถึงเมื่อไหร่
“หลงต้าน อย่าพูดมากหน่า” อวี้จิ่นเอ่ยปรามทำทีว่าไม่อยากให้เจียงซื่อต้องเป็นห่วง
“แต่เจ้านายต้องทานอะไรหน่อยนะขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยจะไปต้มข้าวต้มมาให้นะขอรับ”
อวี้จิ่นขมวดคิ้ว
หลงต้านตีหน้าผากตัวเอง “จริงสิ ฝีมือการทำอาหารของข้ามันโหลยโท่ย ร่างกายของเจ้านายก็ไม่สู้ดีคงจะกินไม่ลง…”
พูดไปพลางเหลือบตามองไปที่เจียงซื่อ
อวี้จิ่นพอใจกับการแสดงของหลงต้าน แต่แม้ว่าเขาจะอยากชิมข้าวต้มฝีมืออาซื่อ แต่ถ้านางต้องไปทำข้าวต้ม เขาก็จะไม่ได้คุยกับนาง
หากลองเทียบดูแล้ว เขาอยากคุยกับอาซื่อมากกว่า
“ไม่เป็นไร เจ้าไปต้มข้าวต้มเถอะ ข้ากินสองสามคำก็คงจะมีกำลังแล้วล่ะ เหลิงอิ่ง ส่วนเจ้าไปที่ร้านยาแล้วซื้อยาลดบวมและลดเลือดคั่งมาด้วย” เมื่ออวี้จิ่นกำจัดหลงต้านและเหลิงอิ่งไปจนพ้นทางแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง “ดวงอาทิตย์ก็ยังสาดส่องลงมาอยู่ได้ คุณหนูเจียงช่วยพยุงข้าเข้าไปพักในเรือนจะได้หรือไม่”
“ได้สิ” เจียงซื่อยิ้มพลางยื่นมือออกไป
เมื่อข้อมือขาวราวหิมะของหญิงสาวขยับเข้าไปใกล้ กลิ่นหอมก็พลันลอยตลบอบอวล
หัวใจของอวี้จิ่นเต้นแรงจนแทบจะหลุดลอยลงไปที่ตาตุ่ม ราวกับกำลังฝันอยู่ก็ไม่ปาน
ไม่รู้ว่ามีกี่คืนที่เขาฝันว่าได้อยู่กับอาซื่อ บางครั้งก็ฝันว่ากำลังคารวะฟ้าดินด้วยกัน หรือบางครั้งก็ฝันว่ากำลังร่วมหอด้วยกัน…
แค่กๆ เพ้อฝันต่อไปไม่ได้แล้ว สุภาพบุรุษอย่างเขาจะมาคิดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน
แสงสว่างไสวส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง อวี้จิ่นค่อยๆ ทิ้งตัวพิงกับพนักเก้าอี้ และส่งยิ้มจางๆ “ขอบคุณคุณหนูเจียงมาก”
“เล็กน้อยเจ้าค่ะ” แม้ว่าเจียงซื่อจะอยากแสกหน้าสารเลวนี้เต็มทน แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็เกรงว่าหากเปิดโปงไปแล้วเกิดคดีพลิกขึ้นมาจะทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบาก จึงเอ่ยเพียงว่า “คุณชายอวี๋ พักเสียหน่อยเถิด ข้าเองก็ออกมานานแล้ว ได้เวลากลับจวนแล้วเจ้าค่ะ”
แต่คนอย่างอวี้จิ่นมีหรือจะยอมให้เจียงซื่อกลับไปง่ายๆ เขารีบกระแอมไอออกมา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “คุณหนูเจียงช่วยเทน้ำให้ข้าสักหน่อยจะได้ไหม”
เจียงซื่อหลุบตาลงมองไปที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม
ริมฝีปากบางชุ่มชื่นสะท้อนเป็นเงากอปรกับสันคางที่รับกับรูปหน้าให้ความรู้สึกเย็นชาเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ความเย็นชานั้นทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงเป็นพิเศษ
นางดูไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายมีอาการกระหายน้ำ
แต่ถึงกระนั้นเจียงซื่อก็ยังเทน้ำและส่งให้เขาโดยไม่โต้ตอบสิ่งใด
นางต้องดูชายผู้นี้เล่นละครไปถึงเมื่อไหร่กัน
อวี้จิ่นยกมือขึ้นมารับ แต่ทันใดนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมา ใบหน้าของเขายู่ลงด้วยความเจ็บปวด
มือของเจียงซื่อที่กำลังถือแก้วชะงักไป
อวี้จิ่นยิ้มอย่างช่วยมิได้พลางเอ่ย “แขนของข้าบาดเจ็บ…”
เจียงซื่อเลิกคิ้ว “หรือต้องให้ข้าป้อน”
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ งั้นคงต้องรบกวนคุณหนูเจียงแล้ว”
ใบหูของชายหนุ่มพลันขึ้นสีแดงระเรื่อ สายตาจ้องมองไปที่เจียงซื่อพลางส่งยิ้มอ่อนโยน
เจียงซื่อวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ และเยาะเย้ยออกมา “เจ้าจะเล่นละครไปถึงเมื่อไหร่”
“ว่าอย่างไรนะ” อวี้จิ่นทำหน้าไร้เดียงสา
เขารู้ดีว่าคนที่บาดเจ็บลักษณะเป็นเช่นไร ไม่มีทางเผยไต๋ให้โดนจับได้
เจียงซื่อกัดริมฝีปากพลางเขม็งมองไปที่ชายผู้ไม่รู้สำนึก
แม้ว่าชายผู้นี้จะแสดงได้สมจริงเพียงใด แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขาอาจนึกไม่ถึงคือ นางรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเสียตั้งแต่แรกแล้ว
มาถึงจุดนี้แล้ว ต่อให้แสดงดีแค่ไหนก็คงไม่เนียน
คุณหนูเจียงยื่นมือออกไปถลกแขนเสื้อของอวี้จิ่น และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณชายอวี๋ แผลบนแขนของคุณชายอวี๋เพิ่งจะถูกแทงเมื่อครู่สินะ”
อวี้จิ่นก้มลงไปมองที่แขนและเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าสวยของหญิงสาวที่คิ้วขมวดกันยุ่ง ในหัวของเขามีคำนึงลอยมา ซวยแล้ว!