บทที่ 161 หมาป่านั้นทั้งชีวิตมีคู่เพียงหนึ่ง
เมื่อชิงอวี่และเด็กสาวหน้าตุ๊กตามาถึงที่ภาควิชาพิเศษก็พบว่าทุกคนมาถึงก่อนแล้ว พวกนางมาถึงเป็นสองคนสุดท้าย
เฟิ่งเทียนเหิงยืนพิงอยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้าอ่อนโยนงดงามจ้องมองภาพหอหิมะโปรยด้านนอกพร้อมรอยยิ้มบางบนริมฝีปาก เป็นภาพเหนือจริงไม่อยากเชื่อสายตายามมอง
ชายหนุ่มเผยกลิ่นอายราวกับไม่ใช่มนุษย์ ทั้งที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม แต่กลับไม่อาจไขว่คว้ามา
คนอื่น ๆ จับกลุ่มพูดคุยกัน แต่ข้างกายเขากลับไร้คน เกิดเป็นพื้นที่แยกตัวออกมา ราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางไว้ไม่อาจฝ่าเข้าไป
เมื่อเห็นนางมา รอยยิ้มบนริมฝีปากเฟิ่งเทียนเหิงก็กดลึกลง เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “เจ้ามาแล้ว”
“อืม” ชิงอวี่ตอบรับ พยักหน้าน้อย ๆ
แม้จะอยู่ภาควิชาเดียวกัน แต่ก็เป็นอย่างคำลือว่า เฟิ่งเทียนเหิงไม่ค่อยปรากฏกายต่อหน้าคน ไปไหนมาไหนไร้คนรู้
ดังนั้นแม้ชิงอวี่จะไม่ชอบเขาเท่าไร แต่เมื่อในใจมีความเกลียดชังความแขยงเกิดขึ้น เขาก็จะไม่อยู่ในระยะสายตา ซึ่งก็ดีกับคนทั้งคู่
บางครั้งในใจนางก็นึกสงสัย มีความรู้สึกว่าชายคนนี้ดูจะเข้าใจนางเป็นอย่างดี แต่นางกลับจำไม่ได้ว่าเคยพบกันมาก่อนหรือไม่
เด็กสาวหน้าตุ๊กตามองพี่ใหญ่ที่เดินเข้ามา รีบกระโดดหลบไปด้านข้าง แม้พี่ใหญ่จะเป็นคนที่อ่อนโยนมาก แต่เขาก็ไม่ได้ตามใจนางอย่างศิษย์น้องเล็ก ดังนั้นนางอยู่ให้ห่างหน่อยจะดีกว่า
“อาจารย์กำลังเดินทางมาแล้ว แต่ดูเจ้าไม่ประหลาดใจเลย” เฟิ่งเทียนเหิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มสงบบนหน้า
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “ประหลาดใจ?”
เฟิ่งเทียนเหิงทำท่าให้นางมองคนอื่น ๆ เห็นว่าสีหน้าทุกคนดูตื่นเต้น กระทั่งซิงถงที่เก็บตัวยังมีแววสงสัยประกายอยู่ในตา
แต่นางกลับสงวนท่าทีราวกับรู้เรื่องมาก่อนหน้าแล้ว
เมื่อจ้องนัยน์ตาที่ราวกับจะรู้ทุกอย่างแล้ว ชิงอวี่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้เพียงนิด “อาจารย์ก็เป็นคน มีสองตาหนึ่งจมูกเช่นกัน มีอะไรให้น่าประหลาดใจ?”
เฟิ่งเทียนเหิงเพียงหัวเราะเบา ๆ ไม่เอ่ยคำ
อีกหนึ่งเค่อผ่านไปจึงได้ยินเสียงเดินเข้ามา
เสียงฝีเท้าดังเข้าหูคนทุกคน มีบางคนวิ่งไปดูที่หน้าต่างทันที จากนั้นก็ร้องเสียงตกใจออกมา “ท่านเจ้าสำนักถึงกับมาเองเลยหรือ? แล้วด้านหลังนั่น…..นั่นคืออาจารย์ใหม่งั้นหรือ?!”
น้ำเสียงปิดความตื่นตะลึงไม่มิดทำคนอื่นยิ่งสงสัย ค่อย ๆ หันมองคนสองคนที่กำลังเดินมาจากไกล ๆ
เหวินเหรินเชียนที่ด้านหน้าสวมชุดสีเขียวสบายตาดูงามสง่า อาจเพราะคนด้านหลังโดดเด่นจนเกินไปจึงทำให้สายตาทั้งหลายมองข้ามเขาไป จดจ้องอยู่กับร่างสูงของชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำแดงแทน ด้านหลังสวมเสื้อคลุม บนหัวมีหมวกไม้ไผ่
นักบำเพ็ญส่วนมากไม่กลัวความหนาว ดังนั้นแม้อากาศจะหนาวเหน็บทั่วแดน แต่ก็ไม่ได้สวมชุดหนามากมาย
แต่ชายหนุ่มที่อายุราวยี่สิบปีที่ควรจะยังแข็งแรงคนนี้กลับสวมชุดเสียหนาราวกับกลัวความหนาวเย็น
จนกระทั่งเดินมาใกล้จึงเห็นว่าผิวพรรณเขาเรียบลื่นนัก ใบหน้าซีดขาวราวกับชายชรา ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือดที่ไม่ค่อยถูกแสง
หากแต่ริมฝีปากเขานั้นมีสีตัดกับผิวสีซีดนั้นมาก มันสีแดงก่ำคล้ายกับเลือด
เมื่อมองไปที่ใบหน้านั้น ราวกับเป็นใบหน้าที่สวรรค์สรรค์สร้าง งดงามไร้ที่ติ โดดเด่นสง่างาม ราวกับเดินออกมาจากภาพวาด เครื่องหน้าหมดจด มองไกล ๆ ยังไร้ที่ติเช่นนี้ มองใกล้ ๆ แล้วจะตกตะลึงเพียงไหนกัน!?
“ท่านอาจารย์ดูเหมือนอายุพอ ๆ กับเราเลย เขาจะสอนเราได้จริงหรือ? อีกทั้งยังใบหน้างามล่มเมืองเช่นนั้นของเขาอีก!? มองหน้าเขาแล้วข้ายังจะมีสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่อีกหรือ?” น้ำเสียงนี้ออกมาจากชายหนุ่มท่าทางอ้อนแอ้นยืนกัดฟันที่ซึ่งห่วงเรื่องหน้าตาตนเองจนเกินเหตุ
“ท่านเจ้าสำนักเดินมาส่งเองถึงที่นี่ก็คงไม่ธรรมดากระมัง”
“มองคราเดียวก็รู้ว่าเขามีฝีมือ ดูแล้วไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรด้วย เขาจะดุหรือไม่!?” เด็กสาวหน้าตุ๊กตาถามด้วยสีหน้ากังวล
ซิงถงเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มไม่เอ่ยคำ แต่กลับพบบางอย่าง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยความตะลึงอยู่บ้าง เสียงเขาเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ตาของเขา….. เป็นสีเขียวล่ะ”
ชิงอวี่นั้นยืนอยู่ข้าง ๆ ย่อมต้องได้ยิน นัยน์ตาที่ก้มลงอยู่เล็กน้อยของนางพลันเงยขึ้นมองไปนอกหน้าต่าง แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง นางยืนนิ่งเบิกตากว้างอยู่เช่นนั้น
นางคิดว่าเป็นโหลวจวินเหยาที่มา ดังนั้นจึงไม่มีท่าทีประหลาดใจ หากแต่ไม่คิดเลยว่าคนที่มาคือ…..
พริบตาเดียว เหวินเหรินเชียนและชายหนุ่มก็เดินเข้ามาด้านใน
ชายหนุ่มยกมือขึ้นปัดหิมะออกจากไหล่เล็กน้อย ก่อนจะถอดหมวกไม้ไผ่ออก เกล็ดหิมะที่อยู่บนหมวกกระเด็นลงมา ก่อนจะใช้นัยน์ตาสีเขียวเข้มกวาดไปรอบห้อง จนกระทั่งพบเด็กสาวที่เขาคิดถึงมาเนิ่นนานจึงเผยแววอ่อนโยน
“คนผู้นี้….. เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นหน้านัก?”
“ผมสีเงิน ตาสีเขียว….. หรือจะเป็น?”
“ยมทูตแห่งแคว้นหลินยวน ชางไห่อ๋องไงเล่า!”
“สวรรค์! เป็นเขาจริงหรือ?!”
ทุกคนจากสีหน้าตกใจกลายเป็นไม่อยากเชื่อสายตาตน ก่อนสายตาจะร้อนแรงขึ้น ชายคนนี้ติดหนึ่งในสิบนักสู้ฝีมือฉกาจแห่งแดนมุกหยก เขาจะมาเป็นอาจารย์สำนักจริงหรือ? คงฝันไปเป็นแน่!
เห็นทุกคนตื่นเต้นจนไม่เป็นตัวเองเช่นนี้ เหวินเหรินเชียนก็หัวเราะเสียงดัง จากนั้นหันมองชายหนุ่มด้านข้าง “ดูท่าเจ้าจะมีชื่อเสียงโด่งดังนัก ดูสิว่าพวกเขาดีกันขนาดไหน”
“เป็นเกียรติยิ่งนัก” ชิงเยี่ยหลีพยักหน้าน้อย ๆ สีหน้าไม่เปลี่ยน
เหวินเหรินเชียนจึงหันกลับมาหาทุกคน “ดูท่าทุกคนจะรู้ว่าชายที่ยืนอยู่ข้างข้าเป็นใครกันแล้ว แต่ไม่ว่าในอดีตเขาจะเคยเป็นใคร นับแต่นี้ไปเขาคืออาจารย์ของพวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนต้องเชื่อฟังเขา ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าอาจารย์ท่านนี้ไร้เมตตา”
ทุกคนรีบพยักหน้าทันที ใครจะกล้าไม่ฟังเขากัน?
ความต่างระหว่างพลังของพวกเขามีมากเกินไป หากไม่ฟังคำเขาคงได้ถูกละเลงเลือดเป็นแน่!
เหวินเหรินเชียนชี้แนะอีกสองสามคำ ก่อนจะบอกลาชิงเยี่ยหลีและจากไป
เมื่อเขาไปแล้ว บรรยากาศก็พลันประหลาดขึ้นมา
เฟิ่งเทียนเหิงจับตามองชายหนุ่มผู้นี้ไม่วางตานับตั้งแต่เขาเดินเข้ามา เขาเห็นว่านัยน์ตาคล้ายอสูรของอีกฝ่ายก็จับจ้องเขาอยู่ตลอดเช่นกัน ราวกับคิดจะฉีกร่างเขาเป็นชิ้น ๆ
อืม น่าสนใจ….. เหตุใดจึงดูเป็นศัตรูกับเขาเช่นนี้? เรารู้จักกันหรือ?
“เมื่อครั้งข้ายังเดินทางท่องแดน ข้าโชคดีนักที่ได้เข้ามายังแคว้นหลินยวน ไม่มีใครไม่รู้จักชางไห่อ๋องอันเลื่องชื่อ ดังนั้นข้าจึงแปลกใจนักที่ชางไห่อ๋องที่น่าเคารพกลับยอมทิ้งตำแหน่งเหนือคนนับพันด้อยกว่าเพียงหนึ่งในแคว้นเพื่อมายังสำนักละอองหมอกที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้ได้?” เฟิ่งเทียนเหิงเอ่ยเสียงอ่อนโยนแผ่วเบา เอ่ยถามด้วยยิ้มแฝงความนัย
ชิงเยี่ยหลีเดินเข้าใกล้มาอีกสองกล่าว เอ่ยเสียงเย็นชา “แต่ละคนคิดเห็นต่างกัน สำหรับข้า แม้พลังและอำนาจจะหอมหวานนัก แต่ก็ยังมีสิ่งที่มีค่ากว่ามันอยู่”
เขาพูดแล้วก็เห็นว่าเด็กสาวมีสีหน้าซับซ้อน สายตานางจับจ้องเขา ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ทำไมนางถึงไม่พูดอะไรเลย? หรือนางไม่พอใจที่เขามาโดยไม่บอกก่อน?
เห็นนัยน์ตาสีเขียวมีความสิ้นหวังเสียใจเจืออยู่ ชิงอวี่ก็ทนไม่ไหว “อาจารย์ เราไปคุยกับอีกด้านดีหรือไม่?”
ได้ยินแล้ว ชายหนุ่มผู้มีท่าทีเย็นชาก็เดินไปพร้อมกับนางจริง ๆ ทิ้งให้คนอื่น ๆ พากันพูดคุยไล่หลังกันสนุกปาก
“ศิษย์น้องเล็กทำอะไรกัน? นางคิดตีสนิทชางไห่อ๋อง….. อย่างนั้นหรือ?”
“นางจะทำได้หรือ? เขาดูไม่ใช่คนที่เป็นมิตรอะไรนัก! เจ้าไปลองไปดูใกล้ ๆ ดูเล่า?”
“ไม่ ๆ….. ข้าไม่กล้า”
เฟิ่งเทียนเหิงนัยน์ตาทะมึนลง มองคนสองคนที่ยืนหันหลังอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน แต่เขารู้สึกว่าคนทั้งสองรู้จักกันมาก่อน
เฟิ่งเทียนเหิงยังไม่ลืมว่าสายตาอีกฝ่ายจับจ้องอยู่ที่ชิงอวี่นานนัก
ชิงเยี่ยหลีทิ้งทุกอย่างในแคว้นหลินยวนมาแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่ชางไห่อ๋องอีกต่อไป แม้จะรู้กันแค่คนในไม่กี่คนเพราะข่าวยังไม่แพร่ออกมาก็ตามที แต่เฟิ่งเทียนเหิงก็รู้ข้อมูลนี้มาได้ไม่ยาก
บุรุษเช่นเขา สำคัญที่สุดคือพลังอำนาจ เพื่อยืนอยู่จุดสูงสุดหาใครเทียบไม่ได้
ชิงเยี่ยหลีมีทั้งเงินตราและอำนาจ ทั้งยังเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังคนหนึ่งในดินแดน สิ่งที่ทำให้เขายอมทิ้งทุกอย่าง เดินทางนับพันลี้เพื่อมาเป็นอาจารย์ในสำนักอย่างถ่อมตนเช่นนี้ ก็คงจะมีแต่คนที่เขาเก็บรักษาไว้ในใจเท่านั้น
และคนคนนั้นก็เห็นได้ชัดอยู่ว่าเป็นใคร
นัยน์ตาเฟิ่งเทียนเหิงเปลี่ยนไปหลายคราด้วยกัน สตรีที่เขาหมายตาถูกใจใครหลายคนมากจริง ๆ!
—————————-
“เจ้าไม่พอใจ”
เด็กสาวไม่พูดอะไรอยู่นาน ชิงเยี่ยหลีไม่อาจทนบรรยากาศกดดันได้อีกจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา
ชิงเยี่ยหลีคงจะกดดันในใจเป็นอย่างมากกว่าจะเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาได้
ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าสิ้นหวังของอีกฝ่าย คิ้วงามดั่งภาพวาดขมวดอยู่เล็กน้อย ยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
“ไม่สวมหน้ากากแล้วหรือ?” ชิงอวี่พลันถาม ไม่ตอบคำถามของเขา
ชิงเยี่ยหลีชะงักไปเล็กน้อย “ข้ากินยาที่เจ้ามอบให้มาตลอด ตอนนี้ก็ไม่เห็นความต่างแล้ว เจ้าบอกว่า….. อยากให้ข้าเป็นคนปกติไม่ใช่หรือ?”
ชิงอวี่อดหัวเราะไม่ได้ นางพลันหันมองเขา “แล้วเจ้าอยากเป็นคนแบบไหนกันเล่า?”
ชายหนุ่มเม้มปากอยู่นานก่อนตอบ “ข้าอยาก….. เป็นคนที่เจ้าอยากให้เป็นได้”
นางพลันชะงักไป ไม่เอ่ยคำอยู่นาน
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ เขาก็คอยเดินตามนางอยู่ตลอด ในใจอาจไม่เคยคิดอยากมีชีวิตเป็นของตนเองมาก่อน
นางไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะนางหรือไม่ที่ทำให้เขาหยุดก้าวเดินต่อไปเช่นนี้
“เสี่ยวเยี่ย หากตอนนั้นข้าไม่เก็บเจ้ามา เจ้าก็คงจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่กลายเป็นเช่นนี้กระมัง?” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเศร้าพลางจับปอยผมสีเงินของเขาไว้
“โชคไม่ดีที่มันไม่มีคำว่าหาก ข้ารู้เพียงว่าหากไม่มีเจ้าแล้วก็ไม่มีชิงเยี่ยหลี” เขายกมือขึ้นปัดหิมะออกจากชุดนางก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ข้าเคยใช้ชีวิตที่หนึ่งวันนานราวกับผ่านไปเป็นปี เกลียดโลกที่ไม่ยุติธรรมนั้นมาก แต่ข้าก็ขอบคุณสวรรค์นักที่ทำให้ข้ายังอยู่รอดปลอดภัย ให้ได้มายืนต่อหน้าเจ้าอีกครั้ง ในตอนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ดี”
“ข้าเองเคยเกลียดเจ้าที่ไม่รักษาคำพูด เจ้ามอบแสงแห่งความหวังให้ข้า แล้วเหตุใดจึงช่วงชิงมันไปจากข้าอย่างโหดร้ายเช่นนั้นได้”
“เจ้าเคยบอกว่าข้าเป็นหมาป่า ชั่วชีวิตของหมาป่านั้น เมื่อมันปักใจกับใครแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต”