บทที่ 162 จับมือเลยหรือ? ต้องมีอะไรเป็นแน่แท้!
เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดมาก แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเสียหลายคำ
ชาติที่แล้วเขาเป็นเหมือนเงาที่ติดตามนาง ไม่มีตัวตนมากนัก แต่คอยปกป้องนางอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น ปรากฏตัวเฉพาะยามนางพบอันตราย ขจัดอุปสรรคทั้งหลายที่ขวางทางนางให้
นางหัวเราะเต็มเสียงใต้แสงอาทิตย์ได้ แต่เขามีความกล้าเพียงแอบมองนางจากในความมืดมิดเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ราวกับเขากลัวว่าจะทำลายความสงบสุขที่มีอยู่ไป
แต่เขาถูกลิขิตไว้แล้วไม่ให้เป็นคนธรรมดา ด้วยเลือดของเผ่าหมาป่าในร่างนั้นมีพลังลึกลับและเหลือเชื่อซ่อนเร้นอยู่ นั่นเป็นอาวุธน่ากริ่งเกรงที่เผ่าหมาป่าออกตามหา เพื่อทำการค้นคว้าวิจัย เป็นพลังเหนือความคิดเมื่อเปิดผนึกออก
ครั้งแรกที่ชิงอวี่เห็นเขาเปลี่ยนร่าง นางก็สงสัยตัวตนเขาแล้ว ดังนั้นจึงพยายามปกปิดมันด้วยการเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน จนกระทั่งก่อนนางตายยังไม่ลืมเตือนให้เขาหนีไปให้ไกล ให้ปกป้องตนเองดี ๆ
แต่สิ่งที่นางไม่คิดก็คือการตายของนางจะกลายเป็นตัวจุดชนวนการเปลี่ยนร่างของชิงเยี่ยหลี
สิ่งที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าคือเขาสามารถติดตามนางไปยังโลกอื่นได้
เมื่อความคิดเหล่านั้นแล่นผ่าน ความกังวลจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้ว สายตาสบเจ้ากับนัยน์ตาซื่อตรงและหลงใหลของอีกฝ่ายแล้ว ริมฝีปากของนางก็ขยับเล็กน้อย เอ่ยเสียงนุ่มขึ้น “เสี่ยวเยี่ย… อยู่ข้างกายข้าไม่ปลอดภัย”
นางยังกังวลนัก กลัวว่าคนที่มีใจคิดร้ายกับนางจะยังมีชีวิตอยู่
ชิงเยี่ยหลีนัยน์ตาทะมึนลง “ที่ผ่านมาข้าก็เป็นตัวอันตรายไม่ใช่หรือไร? เรื่องมันไม่เป็นเช่นเมื่อก่อน ตอนนี้ข้ามีพลังมากพอจะปกป้องเจ้า เรื่องน่าเศร้าที่เกิดขึ้นในชาติก่อนจะไม่เกิดขึ้นอีก”
“อีกทั้งเจ้ารู้หรือไม่… .. ” ชิงเยี่ยหลีขัดจังหวะเด็กสาวที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ไอสังหารพลันแผ่ออกจากใบหน้าเย็นชา “เดิมทีข้าไม่คิดรีบร้อนเดินทางมาที่นี่ แต่เมื่อหลายวันก่อนข้าพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของชิงเทียนหลิน”
ชิงอวี่หรี่ตาลง สองมือกำแน่น
“หรือว่าเขา… .. จะยังมีชีวิตอยู่?”
“เจ้ายังจำตอนที่เขาขังข้าไว้ในห้องขังเดียว พยายามดึงแก่นโลหิตของข้าออกมาเพื่อใช้เสริมพลังบำเพ็ญของเขา แล้วเจ้าก็ปรากฏตัวขัดขวางเขาไว้ ยังจำได้หรือไม่?” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยเสียงต่ำ
ชิงอวี่พยักหน้า สีหน้าเคร่งเครียด “ข้าจำได้ มีอะไรหรือ? มีความเกี่ยวพันกันหรือไร?”
“เขาดึงมันออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว แต่เพราะกระบวนการถูกขัดจังหวะจึงมีร่องรอยของเขาหลงเหลืออยู่ในร่างข้า” ชิงเยี่ยหลีกล่าวขณะที่ค่อย ๆ วางมือลงบนหน้าอกด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก “ฉะนั้นเมื่อมีกลิ่นอายของเขา ข้าก็จะสามารถสัมผัสถึงมันได้”
“หากเขายังมีชีวิตอยู่ เขาต้องออกตามหาเจ้าเป็นคนแรกแน่นอน เพราะอย่างไรเพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลแล้ว เขาก็แสดงให้เห็นว่าเขายอมทำเรื่องชั่วช้าสามานย์ทุกอย่าง” ชิงเยี่ยหลีกล่าวพร้อมกับวางมือลงบนไหล่เรียวของเด็กสาว จ้องลึกลงไปในนัยน์ตานาง “มีแต่ต้องอยู่เคียงข้างเจ้าข้าจึงจะสบายใจ อย่างน้อยเมื่อเขาปรากฏตัว ข้าก็สามารถขวางเขาไว้ได้ ช่วยผ่อนปรนภัยอันตรายให้เจ้าลงได้บ้าง”
“เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเพื่อข้า” ชิงอวี่เอ่ยพลางขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า “สุดท้ายข้าก็ต้องเผชิญหน้ากับเขาไม่ว่าเจ้าจะเข้ามาช่วยหรือไม่ก็ตาม อะไรจะเกิดย่อมต้องเกิด มันเป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
ชิงเยี่ยหลีพลันบีบไหล่นางแรงขึ้น นัยน์ตาสีเขียวเข้มเจือแววหวั่นวิตกสั่นระริก “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าพบอันตรายด้วยตัวคนเดียวอีก ข้าเคยพูดไปแล้ว มีแต่เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ข้าจึงจะเป็นสุขเช่นกัน เจ้าคือชีวิตของข้า เจ้ารู้บ้างหรือไม่”
หากแต่แรงบีบที่มือทำให้นางเจ็บโดยไม่ทันรู้ตัว ชิงอวี่ทำเพียงยิ้มอ่อนอย่างไร้เรี่ยวแรง ได้แต่ปลอบเขาเท่านั้น “ข้ารู้ เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในอันตราย ดีหรือไม่? เกิดใหม่มาในโลกนี้ทำให้ข้ารักชีวิตกว่าเดิมนัก”
ชิงเยี่ยหลีมองประเมินนางอยู่นาง จ้องจนมั่นใจว่านางไม่ได้พูดส่ง ๆ ไปอย่างนั้น จึงปล่อยมือจากไหล่นาง
เด็กสาวถอนหายใจโล่งอก ใบหน้ายับย่นพลางนวดไหล่ตน ชิงเยี่ยหลีจึงตระหนักว่าเขาใช้แรงบีบนางมากเกินไปจนนางเจ็บ เขาพลันรู้สึกกระอักกระอ่วน รีบกล่าวขอโทษทันที “ข้าขอโทษ เจ็บมากหรือไม่?”
นางตัวเล็กบอบบางเช่นนี้ จะทนรับแรงจากเขาไหวได้อย่างไรกัน?
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่เมื่อครู่ยังทำสีหน้า “ใครขวางข้าต้องตาย” ตอนนี้กลับมีสีหน้าอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใยนางแล้ว ชิงอวี่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ร่างข้าไม่ได้ทำจากกระดาษ แค่จับไม่ยับหรอกน่า? ทำไมต้องทำหน้ากังวลเช่นนั้นเล่า?”
ชิงเยี่ยหลีไม่ได้ดูผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ใบหน้ายังเคร่งขรึมอยู่เช่นนั้น “ก็เจ้าอ่อนแอมากจริง ๆ! ข้ายังจำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ แค่เนื้อเจ้าไปขูดอะไรเข้าหน่อยยังร้องไห้คร่ำครวญเสียขนาดนั้น”
ชิงอวี่พูดไม่ออก “…..”
น่าหงุดหงิดจริง เขาไม่รู้หรอกหรือว่านางแค่แกล้งแหย่เขาเล่นไปอย่างนั้น?
เมื่อลองนึกย้อนไป เขาที่มักจะมีสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่เอ่ยคำ ตอนนั้นกลับมีสีหน้าลุกลี้ลุกลนเพราะตกใจกลัว ก็นึกได้ว่ามันเป็นภาพน่าขันนัก แต่ตอนนี้เขากลับใช้เรื่องนั้นมาหาว่านางอ่อนแอเปราะบาง
นางนี่เก็บหินมาปาใส่เท้าตนเองจริง ๆ!
เพื่อไม่เป็นการทำให้ตนเองต้องอับอายไปมากกว่ากว่านี้ นางจึงเปลี่ยนเรื่องทันใด “แล้วทำไมจู่ ๆ คิดจะมาเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาพิเศษได้? ถึงตอนนี้เจ้าจะทรงพลังมาก แต่แน่ใจหรือว่า… จะสามารถสอนเจ้าพวกนั้นได้?”
ชิงอวี่พูดแล้วก็กวาดตามองเหล่าศิษย์ภาควิชาพิเศษที่กำลังแอบมองพวกนางอยู่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชิงเยี่ยหลีก็เอ่ยเสียงเรียบ “ข้ามาเป็นอาจารย์ที่นี่ก็เพื่อพรางตัว เป้าหมายของข้าคือการอยู่ปกป้องข้างกายเจ้าต่างหาก ส่วนพวกเขา ข้าสอนวิชาสักสองวิชา ช่วยให้พลังบำเพ็ญสูงขึ้นก็พอ”
“เช่นนั้นได้หรือ?” ชิงอวี่กล่าว มุมปากกระตุก “พวกเขาต้องโวยวายแน่!”
“ไม่เห็นสายตาที่พวกเขามองข้าหรือ? เห็นแววยกย่องนับถือในแววตาพวกเขาหรือไม่? เพราะงั้นถึงข้าสอนวิชาพวกเขาไปส่ง ๆ พวกเขาก็คงคิดว่ามันคงเป็นวิชาไม่ธรรมดาที่ผู้ฝึกยุทธ์ใช้บำเพ็ญเป็นแน่”
ชิงเยี่ยหลีว่ามาเช่นนี้ ทำเอานางไปต่อไม่ถูกทีเดียว
นี่คือเสี่ยวเยี่ยที่นางเคยรู้จักหรือ? เขาที่เอ่ยว่าจะหลอกคนอื่นตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่ได้เห็นเขามานานหลายปี เขาเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
“นี่ ศิษย์น้องเล็กคุยอะไรกับอาจารย์น่ะ? คุยอยู่นานแล้วนะ” ชายหนุ่มร่างผอมสูงกล่าวอย่างครุ่นคิด มือลูบคางตน “ทำไมข้ารู้สึกว่าพวกเขาดูเหมือนจะรู้จักกันเลยเล่า?”
“ไม่เพียงรู้จักกันเท่านั้น แต่ข้าว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นเป็นแน่!” จากนั้นชายหนุ่มท่าทางอรชรอ้อนแอ้นคล้ายเด็กสาวว่า พริบตาต่อมา ราวกับว่าเห็นหลักฐานคาตา นัยน์ตาเขาเบิกกว้าง ใบหน้าซีดเผือด “ดูนั่น! เขาจับมือนางด้วย! ทั้งสองต้องมีอะไรไม่บริสุทธิ์ใจเป็นแน่!”
ได้ยินคำเช่นนั้น ทุกสายตาก็หันไปมอง เห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงกุมข้อมือเด็กสาวไว้ จากมุมของพวกเขายังเห็นว่ามือใหญ่ของชายหนุ่มยังจับมือเล็กดั่งหยกของนางไว้แน่นอย่างรักใคร่อีกต่างหาก
สวรรค์โปรด! ชั่วร้ายจริง!!
กล้าทำให้ศิษย์น้องเล็กที่น่ารักและบริสุทธิ์ผุดผ่องของพวกเขาแปดเปื้อนได้อย่างไร!
ถึงจะเป็นผู้ทรงพลังมีชื่อทั่วแดน แต่กลับทำการดูหมิ่นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!?
ในหมู่คนกำลังคิดจะระเบิดอารมณ์ ฉับพลันได้ยินเสียง “เปรี๊ยะ” แปลก ๆ ดังขึ้น
มองไปตามต้นเสียงแล้ว ก็พบกับเฟิ่งเทียนเหิงในชุดขาวจัด บนใบหน้ามีรอยยิ้มสดชื่นราวลมฤดูใบไม้ผลิ เผยกลิ่นอายสบาย ๆ ออกมา
เหมือนจะไม่มีอะไร… ผิดปกติกระมัง?
แต่เมื่อมองลงมาเล็กน้อยก็จะพบว่าโต๊ะไม้ริ้วทองที่อยู่ข้าง ๆ นั้น ที่มุมโต๊ะมีรอยแตกด้วยฝีมือของคนที่กำมันไว้
ทุกคนพลันรู้สึกถึงเหงื่อเย็นที่ไหลลงมาจากหลัง พี่ใหญ่ที่เป็นเช่นนี้… .. น่ากลัวจริง ๆ
โชคดีที่เป็นแค่โต๊ะที่เกิดรอยแตก
——————————
วันนี้รู้สึกได้เลยว่า… เยี่ยนหนิงลั่วดูแปลกไป
ในช่วงบ่าย เสิ่นจิงและเจียงอี้หานได้ขอให้เยี่ยนหนิงลั่วเดินไปทานอาหารที่ห้องอาหารพร้อมกัน พวกนางสังเกตว่าหญิงสาวที่ปกติเย็นชาเย่อหยิ่งผู้ที่ไม่ค่อยกินอาหารมากมายนัก วันนี้ที่หว่างคิ้วกลับมีร่องรอยเจือยิ้มอยู่
เสิ่นจิงเลิกคิ้วมองนาง ก่อนเอ่ยเสียงหยอกเย้า “ตอนนี้เราอยู่กลางฤดูหนาว แต่เจ้าประแป้งใช้ชาดทาปากเสียจนคิดว่าอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิเชียว ใบไม้ผลิมันมาเร็วขนาดนี้เลยหรือ?”
เยี่ยนหนิงลั่วดูประหลาดใจในทีแรก แต่ไม่นานก็รู้ว่าอารมณ์นางคงแสดงออกมาทางสีหน้าหมดแล้ว นางไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “ อย่าพูดไร้สาระน่า”
เจียงอี้หานคลี่ยิ้มกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้พลางเอ่ย “หนิงลั่ว หากมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นเจ้าต้องอย่าปิดบัง มีเรื่องดี ๆ ก็ต้องนำมาแบ่งปันกับพี่น้องบ้างสิ ดูเหมือนวันนี้เจ้าจะอารมณ์ดีนัก ดีจนปิดไม่มิดเลยล่ะ”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาถามไถ่ส่องประกายของพวกนางแล้ว เยี่ยนหนิงลั่วก็ได้แต่ถอนหายใจสิ้นหวังออกมา “เอาล่ะ ข้ายอมแพ้ ข้าบอกแล้ว”
“ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ให้ข้าไปรับแขกมาจากประตูหุบเขา เป็นอาจารย์จากภาควิชาพิเศษ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะคือ… .. ” เยี่ยนหนิงลั่วหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจ้องสายตาอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่าย “ เขาคือชิงเยี่ยหลี”
“ชิงเยี่ยหลี?” อีกสองคนจึงร้องเสียงประหลาดใจขึ้นมาพร้อมกัน
ผ่านไปสักพักจึงจะสามารถย่อยคำพูดของนางได้ ก่อนที่เสิ่นจิงจะเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง “เขาเป็นชางไห่อ๋องแห่งแคว้นหลินยวนไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมาที่สำนักละอองหมอกเล่า?”
เยี่ยนหนิงลั่วส่ายหัวเบา ๆ “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะเขามาถึงก็เข้าไปหาท่านอาจารย์เลย”
เจียงอี้หานหัวเราะ “แต่อย่างไรบุรุษในใจเจ้า ตอนนี้ก็อยู่ใกล้มากแล้วนี่นา เช่นนี้ก็ดีเลย!”
เรื่องที่เยี่ยนหนิงลั่วชอบชิงเยี่ยหลีนั้นพวกนางรู้ดี แม้ซวนหยวนเช่อจะไม่ได้เลวร้ายมากนัก อีกทั้งยังเป็นองค์รัชทายาทของอาณาจักร แต่สำคัญที่สุดคือหัวใจว่าชอบพอกันหรือไม่ ไม่เช่นนั้นจะพูดเช่นไรก็ไร้ประโยชน์
ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแล้ว เนื่องจากสำนักละอองหมอกห้ามไม่ให้ปรุงอาหารขึ้นเองภายในเขตสำนัก เกรงว่าอาหารจากภายนอกจะส่งผลต่อการบำเพ็ญ ตอนนี้ศิษย์จากภาควิชาทั้งหลายจึงหลั่งไหลเข้ามาในห้องอาหารอย่างต่อเนื่องจนเต็มที่
อย่างน้อย ๆ อาหารที่สำนักจัดมาให้ก็ดูดีไม่น้อย มีอาหารสี่อย่าง มีน้ำแกง เป็นมื้ออาหารที่จัดทั้งเนื้อและผักมาได้อย่างพอดี ยิ่งไปกว่านั้น คนครัวมักจะคิดหาวิธีการปรุงอาหารดี ๆ ขึ้นมามากมาย ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างพอใจกับอาหารที่จัดเตรียมมาให้
มู่ไหลกับคนอื่น ๆ จะคอยรอชิงอวี่มากินข้าวด้วยกันอยู่เสมอ ภาควิชาอื่น ๆ นั้นอยู่ใกล้กว่า ส่วนภาควิชาพิเศษนั้นอยู่ห่างจากห้องอาหารมากที่สุด ดังนั้นพวกนางจึงเข้ามาจับจองที่นั่งในห้องอาหารรอนาง แต่วันนี้ เวลาผ่านไปนานแล้วก็ยังไร้วี่แววว่านางจะมา
เยี่ยนซีอู่จ้องซี่โครงหมูตุ๋นบนจานตนเอง เคี้ยวตะเกียบในมือ ก่อนจะพึมพำเสียงเศร้าออกมา “ทำไมชิงอวี่ถึงยังไม่มาอีก? อาหารเริ่มเย็นแล้วนะ ไม่รีบกินมันจะไม่อร่อยแล้ว”
“วันนี้อาจจะมาช้ากระมัง นางไม่เคยมาสายมาก่อนเลย” หมิงอีอีเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ชิงเป่ยดูนัยน์ตาว่างเปล่าไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงเอะอะเกิดขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองทันที
เป็นชายผมสีเงินในชุดคลุมสีแดงเข้ม ดวงตาสีเขียวมีสีเข้มคนนั้น เขาหล่อเหลางดงาม โดดเด่นทุกส่วนของร่างกาย เป็นภาพสะดุดตาไม่ว่าเดินไปทางใด นอกจากนั้นยังมีร่างบางของเด็กสาวที่มีรูปโฉมงดงามราวกับจิ้งจอกเดินอยู่ข้าง ๆ
ทั้งสองอยู่ในชุดสำนักสีขาวเหมือนคนอื่น ๆ แต่กลับน่ามองนัก ยืนอยู่เช่นนั้นพร้อมใบหน้าแต้มยิ้มจาง ฉุดใจคนมองไปได้ทุกคน
พวกเขายืนอยู่เคียงข้างกันเช่นนี้ ดูเป็นภาพที่กลมกลืนกันดีนัก ชายหนุ่มดูเหมือนจะมีน้ำแข็งไร้วันละลายโอบล้อม หากแต่ความหนาวเหน็บเหล่านั้นราวกับจะถูกเพียงรอยยิ้มมีเสน่ห์จากเด็กสาวละลายมันลงได้