ตอนที่ 152 การแข่งขันอย่างเงียบเชียบของผู้ชายสองคน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 152 การแข่งขันอย่างเงียบเชียบของผู้ชายสองคน

หลังจากดื่มน้ำ หลินม่ายก็รบเร้าให้ฟางจั๋วหรานไปพักอีกครั้ง แต่ฟางจั๋วหรานกลับยืนกรานที่จะอยู่กับเธอ

หลินม่ายถอนหายใจ “ทำไมคุณต้องมาลำบากมากมายด้วย?”

ฟางจั๋วหรานยิ้มแล้วไม่พูดอะไร ตราบใดที่เขาได้อยู่กับเธอ เขาไม่คิดว่าตัวเองลำบากแม้แต่น้อย

ประมาณตีสองตีสามเกือบรุ่งเช้า อุณหภูมิก็ค่อย ๆ ลดลง

หลินม่ายใส่แค่ชุดกระโปรงจึงรู้สึกหนาวเล็กน้อย ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะกอดตัวเองแน่น

ฟางจั๋วหรานถอดเสื้อโค้ทสีขาวของเขาออกแล้วคลุมให้กับเธอ

หลินม่ายปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “คุณเอาโค้ทขาวของคุณให้ฉันแล้วคุณไม่หนาวเหรอคะ?”

“ผู้ชายโดยปกติแล้วกลัวความเย็นน้อยกว่าผู้หญิง ถ้าคุณไม่เชื่อผม จับมือผมสิ”

ฟางจั๋วหรานกล่าวแล้วยื่นมือใหญ่โตของเขาออกมา

หลินม่ายจะกล้าจับมือกับเขาได้อย่างไร? เธอค่อย ๆ ใส่โค้ทขาวอย่างเงียบ ๆ

อุณหภูมิร่างกายของฟางจั๋วหรานที่ติดบนโค้ทขาวทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

ราว ๆ หกโมงเช้า ฟางจั๋วหรานยืนขึ้นแล้วพูดกับหลินม่าย “ผมจะไปซื้ออาหารเช้า คุณอยากกินอะไร”

ถ้าไม่ไปซื้ออาหารเช้าตอนนี้ จะถึงเวลาส่งมอบกะของเขาแล้ว มีเวลาซื้ออาหารเช้าได้ถึงแค่แปดโมงเท่านั้น

เขากินมื้อเย็นไปเมื่อคืน คงไม่เป็นไรหากจะกินอาหารเช้าสายสักหน่อย

แต่แม่สาวน้อยทำอย่างนั้นไม่ได้ เธออยู่โยงทั้งคืนและไม่ได้กินอะไรนอกจากน้ำแก้วเดียว เธอคงหิวนานแล้ว

หลินม่ายสั่นศีรษะ “ปากฉันขมไปหมด ฉันไม่อยากกินอะไรเลย”

ฟางจั๋วหรานรู้ว่านี่เป็นปฏิกิริยาจากการไม่ได้นอนทั้งคืน เขาจึงหยุดพูดแล้วเดินไปซื้ออาหารเช้า

หลังเขาเดินออกไปได้ไม่นาน หลี่หมิงเฉิงก็กลับมาพร้อมอาหารเช้า

ตอนแรกโจวฉายอวิ๋นจะเป็นคนมาส่งอาหารเช้าให้หลินม่าย แต่เขาตัดหน้าหล่อนเสียก่อน

ผ่านไปเพียงหนึ่งคืน หลินม่ายโทรมลงอย่างมากและผ่ายผอมลงไม่น้อย

หลี่หมิงเฉิงเห็นด้วยสายตาตัวเองก็รู้สึกเจ็บในหัวใจ

เพียงแต่โค้ทขาวบนตัวหลินม่ายทำให้เขาประหลาดใจ

เขาส่งเกี๊ยวต้มที่โจวฉายอวิ๋นทำตั้งแต่รุ่งสางให้หลินม่าย “เมื่อคืนโต้วโต้วเป็นยังไงบ้าง?”

หลินม่ายส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเจือความกังวล “ไม่รู้เลย ที่ฉันรู้คือหล่อนยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยทั้งคืน”

จากนั้นผลักเกี๊ยวต้มที่เขาส่งให้เธอออกไป “ฉันไม่หิว”

หลี่หมิงเฉิงนั่งยอง ๆ ต่อหน้าเธอ แล้วใช้ช้อนเล็ก ๆ ตักเอาเกี๊ยวยื่นไปใส่ปากเธอ “เธอต้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน จะไม่กินอะไรเลยได้ยังไงกัน?”

หลินม่ายยังท้องว่าง แต่หัวใจเธอเหมือนจุกอยู่ที่คอ ทำให้ไม่อยากกลืนอะไรลงไปแม้แต่น้อย

เธอส่ายหน้า “ฉันกินไม่ได้ อย่าบังคับฉัน”

หลี่หมิงเฉิงเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น “กินเท่าที่เธออยาก ถ้าเธอไม่กินไม่ดื่ม เธอจะซึมซับเอาพลังจากพระอาทิตย์พระจันทร์งั้นเหรอ ยังไม่หิว? แล้วโต้วโต้วจะทำยังไง?”

หลินม่ายรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอจึงหยิบฝืนใจหยิบช้อนคันเล็กขึ้นตักเกี๊ยวหนึ่งตัวส่งเข้าปากตัวเอง

จากนั้นเธอก็วางช้อนลงกลางคันแล้วพูด “กินไม่ลงจริง ๆ”

หลี่หมิงเฉิงเลยต้องยอมแพ้

หลินม่ายบอกให้เขากลับไป

ครั้งนี้ฟางจั๋วหรานกลับมาเร็วกว่าเดิม

เขาปรายตามองหลี่หมิงเฉิงแล้วส่งกล่องอาหารกลางวันให้หลินม่าย “เกี๊ยวกุ้งผมซื้อมาจากภัตตาคารเจียงเฉิง มีรสอ่อนและย่อยง่าย คุณลองกินสักคำ”

หลินม่ายยังคงส่ายหน้า “ฉันยังไม่อยากกินหรอกค่ะ”

ฟางจั๋วหรานเปิดกล่องอาหาร ทำเหมือนที่หลี่หมิงเฉิงพึ่งทำเมื่อสักครู่ หยิบเอากุ้งตัวใสราวคริสตัลห่อด้วยแป้งเนื้อโปร่งบางไปจ่อปากหลินม่าย เขาสั่งอย่างนุ่มนวล “อ้าปากกินเร็ว”

หลินม่ายช้อนตามองเขาด้วยตากลมโตวาวหยาดน้ำ อ้าปากรับเกี๊ยวกุ้งแล้วเคี้ยวอย่างช้า ๆ

หลี่หมิงเฉิงยืนอยู่ไม่ไกลออกไปมองภาพนี้แล้วให้รู้สึกขมในใจเล็กน้อย

การกระทำเดียวกัน หากให้ผู้ชายสองคนทำ ไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่ายิงปืน ผลลัพธ์จะถูกตัดสินทันที

เขาไม่ใช่คนที่หลินม่ายชอบ ไม่ว่าเขาจะอ่อนโยนแค่ไหน ก็ไม่อาจเทียบได้กับคำสั่งเย็นชาจากคนที่เธอรัก

ด้วยการป้อนของฟางจั๋วหราน หลินม่ายก็จัดการกินเกี๊ยวกุ้งจำนวนหนึ่งลงไปและดื่มน้ำอีกครึ่งแก้ว จากนั้นฟางจั๋วหรานจึงไปส่งมอบกะได้อย่างวางใจ

หลังเลิกงาน ฟางจั๋วหรานก็ไปเยี่ยมโต้วโต้วที่ห้องไอซียู

โต้วโต้วพึ่งฟื้นขึ้น จึงรู้สึกกลัวสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินเล็กน้อย

ถึงแม้หลินม่ายจะยืนอยู่นอกหน้าต่างหล่อนก็มองไม่เห็น

การปรากฎตัวของฟางจั๋วหรานทำให้เจ้าก้อนโต้วน้อยอุ่นใจขึ้นไม่น้อย

หลินม่ายมองผ่านกระจก เห็นฟางจั๋วหรานกำลังพูดคุยกับเจ้าก้อนโต้วน้อยแล้วชี้มาที่เธอ

เจ้าก้อนโต้วตัวน้อยหันหน้ามามองหลินม่าย หลินม่ายจึงยกมือโบกให้

ผ่านไปอีกสักพัก ฟางจั๋วหรานออกมาจากห้องไอซียู หลินม่ายรีบเข้าไปถามเขา “โต้วโต้วเป็นยังไงบ้าง?”

ฟางจั๋วหรานยิ้มแล้วพูด “สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว คุณกลับไปนอนก่อนแล้วค่อยกลับมา”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ไป ฉันไม่ง่วงค่ะ”

โต้วโต้วยังไม่พ้นระยะอันตราย เธอจะกล้าไปได้อย่างไร?

กลัวว่าหากเธอเดินออกไป สภาวะของโต้วโต้วจะเปลี่ยนไป กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าหล่อนอีกเป็นครั้งสุดท้าย

ก่อนที่โต้วโต้วจะผ่าตัด เธอไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตจะเปราะบางได้ขนาดนี้ หลังประสบความทุกข์ทรมานใจในตอนที่อยู่นอกห้องผ่าตัด เธอก็กลัวการสูญเสียขึ้นมา

ฟางจั๋วหรานรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโน้มน้าวเธอจึงนั่งลงข้าง ๆ เธอ “ถ้าอย่างนั้นผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ ถ้าโต้วโต้วเกิดปัญหา ผมจะได้จัดการได้ทันเวลา”

วิธีนี้ได้ผลชะงัด

ฟางจั๋วหรานทำงานมาทั้งคืน หลินม่ายจะปล่อยให้เขาทนลำบากอยู่เป็นเพื่อนเธอได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะร่างกายแข็งแรงเขาก็ไม่อาจทนไหว เธอจึงตัดสินใจกลับไปพักผ่อน

พอดีกับโจวฉายอวิ๋นที่คิดถึงโต้วโต้ว จึงรีบมาเยี่ยมโต้วโต้วเมื่อหล่อนมีเวลาและสลับกันกับหลินม่าย

เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายบังคับตัวเองให้นอนสักสองสามชั่วโมง จัดการกินข้ามต้มหนึ่งถ้วยแล้วรีบกลับไปที่โรงพยาบาล

เมื่อเห็นโจวฉายอวิ๋นนั่งอยู่บนเก้าอี้นอกห้องไอซียูด้วยใบหน้าโศกเศร้า ใจของเธอก็ขึ้นไปจุกอยู่ที่คอหอย

เธอถามอย่างตื่นตระหนก “อาการของโต้วโต้วมีการเปลี่ยนแปลงเหรอ?”

โจวฉายอวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ “เธอไปได้ยินใครพูดมา? ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด ทำไมพยาบาลไม่บอกฉันล่ะว่าอาการของโต้วโต้วเปลี่ยนไป?

หลินม่ายนิ่งงัน “ฉันเห็นท่าทางเธอไม่ดีเลยเดาไปเรื่อย”

โจวฉายอวิ๋นถอนหายใจ “ฉันท่าทางไม่ดีเพราะเมื่อกี้ได้ยินว่าคนไข้โรคหัวใจที่กำลังจะออกจากโรงพยาบาลพูดว่าเธอใช้เงินมากกว่าหกร้อยหยวนเป็นค่ารักษาพยาบาลน่ะสิ พวกเขาไม่ได้ผ่าตัดด้วยซ้ำ แต่โต้วโต้วรับการผ่าตัด น่ากลัวว่ามันจะมากกว่านั้น เธอจะจ่ายไหวเหรอ?”

หลินม่ายเช่าบ้านอยู่ เธอพึ่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ ไหนจะตู้แช่แข็ง น่าจะเหลือเงินในมืออีกไม่มากแล้ว

หลินม่ายพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก ยังดีที่อาการของโต้วโต้วไม่เปลี่ยนแปลง

เธอถูกลางหว่างคิ้ว “ศาสตราจารย์ฟางจ่ายทุกอย่างไปก่อนแล้ว”

โจวฉายอวิ๋นจ้องมองเธอเนิ่นนาน ก่อนพูดอย่างจริงใจ “ศาสตราจารย์ฟางดีกับเธอมากนะ”

หลินม่ายไม่ต้องการให้เธอเข้าใจผิด จึงแก้ “ดีกับโต้วโต้วต่างหาก”

โจวฉายอวิ๋นเงียบเสียง “ไม่ต้องห่วงค่ารักษาพยายาบาลของโต้วโต้วแล้ว แล้วหนึ่งหมื่นหยวนที่จะซื้อบ้านเธอจะทำยังไง? ถ้าเธอเก็บเงินได้ไม่ถึงหนึ่งหมื่นหยวนภายในสามเดือน เธอจะต้องเสียค่ามัดจำไปนะ”

ตอนนี้หล่อนนึกเสียใจที่ไม่รั้งไม่ให้หลินม่ายซื้อบ้าน

ถ้าถูกยับยั้งเสียตั้งแต่ตอนแรก หลินม่ายคงไม่ต้องเผชิญกับความกดดันอย่างหนักเหมือนตอนนี้

เมื่อมีฟางจั๋วหรานช่วยสนับสนุนทางการเงิน หลินม่ายไม่วิตกแม้แต่น้อย

“ตราบใดที่สภาวะของโต้วโต้วคงที่แล้วได้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน ฉันก็จะขายผลิตผลทางการเกษตรต่อได้ ฉันจะต้องเก็บหนึ่งหมื่นหยวนได้ภายในสามเดือนแน่นอน”

โจวฉายอวิ๋นอยากจะพูดจริง ๆ ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น

แต่กลัวว่าหากพูดออกไปจะทำให้หลินม่ายกดดัน จึงไม่พูดสิ่งใดอีก

สถานการณ์ของโต้วโต้วดีขึ้นมากกว่าที่หลินม่ายคิด

ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาหล่อนก็ร่าเริงแจ่มใสมาก พยายามที่จะสื่อสารกับหลินม่ายผ่านกระจกหน้าต่าง

อย่างไรก็ตาม หล่อนเพิ่งผ่านการผ่าตัดมา ทำให้เหนื่อยง่ายและหลับทุกสองชั่วโมง

บ่ายนั้นโจวฉายอวิ๋นเปลี่ยนกับหลินม่าย เธอจึงได้กลับไปนอนหลับ แล้วกลับมาเฝ้าโต้วโต้วที่โรงพยาบาลอีกครั้งในตอนเย็น

เมื่อเห็นโต้วโต้วนอนหลับอย่างสงบผ่านหน้าต่างกระจก หลินม่ายจึงกลับไปด้วยความวางใจ

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

จะสู้พี่หมอไหวเหรอเนี่ย พี่หมอเขามาแรงมากนะ ทั้งผ่าตัดให้น้อง ออกค่ารักษาพยาบาลให้น้อง ให้ยืมเงินซื้อบ้านนู่นนี่

ไหหม่า(海馬)