“หะ! ราชสำนักมีอำนาจขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?” ซูอัน อุทานขึ้นด้วยสีหน้าโง่งม
ก่อนหน้านี้เขาพอเดาได้ว่าราชสำนักนั้นมีอำนาจล้นเหลือ แต่คำพูดของจี้เติ้งถู ทำให้เขา เพิ่งสำนึกได้ว่าราชวงศ์โจวนั้นทรงพลังมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ซะอีก
จากที่ฟังดูแล้ว มิติลับน่าจะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายแต่ก็มีสมบัติมากมายซ่อนอยู่เช่นกันแต่ราชสำนักกลับผูกขาดทรัพยากรอันล้ำค่าเหล่านี้ไปทั้งหมด
การจัดการแบบเผด็จการเช่นนี้มันควรจะพบกับการต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากบรรดาสำนักและผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่อยู่ในอาณาจักร แต่กลับกัน ราชสำนักยังคงสามารถควบคุม ทุกอย่างเอาไว้ได้มาเนิ่นนานและทุกคนก็ยังคงยอมถูกบังคับให้ก้มหน้ายอมรับโดยไม่กล้าแม้แต่ จะปริปาก
“ทีนี้เจ้าพอจะเดาได้แล้วใช่ไหมว่าทำไมผู้บ่มเพาะมากมายถึงยอมตัดสินใจรับตำแหน่งในราชสำนัก?” จี้เติ้งถูหัวเราะตอบกลับ
“อืม…หากไม่ยอมเข้าร่วมกับราชสำนัก ผู้บ่มเพาะทั้งหลายก็คงไม่มีโอกาสได้เข้าไปแสวงหาโชคในมิติลับสินะ?” ซูอัน พึมพำพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แต่เดี๋ยวก่อนนะ จากสิ่งที่ท่านพูด มิติลับมันก็น่าจะมีมานานแล้ว แล้วผู้บ่มเพาะของราชสำนักก็สามารถเข้าไปด้านในเพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์ได้เรื่อย ๆ ถ้างั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าทรัพยากรด้านในแทบจะทั้งหมดมันก็น่าจะถูกเอาออกมาหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?”
จี้เติ้งถู ส่ายหัวและอธิบายว่า “เจ้าประเมินความอัศจรรย์ของมิติลับต่ำเกินไปแล้ว มิติลับทั้งหมดเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่มีกฎเกณฑ์ของตนเอง และหลายแห่งก็มีขนาดเท่ากับโลกของเรา
“พวกมันมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ของตัวเอง ดังนั้นทรัพยากรต่าง ๆ ในมิติลับจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่เมื่อเวลาผ่านไป มันคล้ายกับการที่ต้นส้มไม่หยุดที่จะออกผลเพียงเพราะเจ้าเด็ดผลส้ม ออกจากมัน”
“แต่ถ้าหากมีคนไปเก็บมันถี่เกินไป มันก็ไม่มีทางจะออกผลทันไม่ใช่เหรอไง?” ซูอัน ถามกลับ
ถ้ามิติลับอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เขาเองจะเก็บเกี่ยวทรัพยากรของมันทั้งหมดออกมาแน่นอนเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งเขาเชื่อว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ก็ต้องมีความแบบเดียวกันกับเขาเช่นกัน
“อย่างที่ข้าบอกเจ้า มิติลับเหล่านี้เป็นโลกๆหนึ่งที่สมบูรณ์และมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง มิติลับต่าง ๆ ไม่ได้เปิดอยู่ตลอดเวลา แทบจะทั้งหมดมันเปิดขึ้นครั้งหนึ่งในรอบหลาย ๆ ปี เท่านั้นแถมเวลาที่สามารถเข้าไปสำรวจก็มีจำกัดอีกต่างหาก และยิ่งไปกว่านั้นภูมิทัศน์ด้านในของบางมิติลับเมื่อมันเปิดขึ้นมันก็เปลี่ยนไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง ทำให้การสำรวจแต่ละครั้งเราจึงทำได้เพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้ทั้งหมดที่มีอยู่ในมิติลับต่าง ๆ ” จี้เติ้งถู กลอกตาของเขาอย่างเหนื่อยใจ
ซูอัน พยักหน้าอย่างเข้าใจ “อืม แบบนี้นี่เอง…งั้นสรุปแล้วก็คือ ข้าจำเป็นต้องเข้าไปใน มิติลับหยกจรัส เพื่อค้นหา ดอกบัวเร้นลักษณ์ ถูกต้องไหม? แต่จากที่ท่านพูด ดอกบัวเร้นลักษณ์ สมบัติล้ำค่าที่ทุกคนต่างใฝ่ฝันหา แล้วแบบนี้คนอย่างข้าจะมีโอกาสฉวยมันมาจากพวกผู้บ่มเพาะระดับสูงได้ยังไง?”
จี้เติ้งถู หัวเราะอย่างเย้ยหยัน “นี่เจ้าไม่รู้จริง ๆ งั้นเหรอว่าการพบสมบัติในมิติลับ มันต้อง พึ่งวาสนามากกว่าความแข็งแกร่ง? ต่อให้เจ้าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแต่ถ้าหากเจ้า ไม่มีวาสนา เจ้าก็ไม่สามารถหาสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในมิติลับเจอได้หรอก!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของ ซูอัน เปลี่ยนเป็นขมขื่นทันที หากเขารู้ว่ามันมีเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ เขาจะไม่มีวันเสีย โอสถโชคลาภ ไปกับบ่อนของ เหมยเชาฟง แน่นอน
สังเกตเห็นสีหน้าขมขื่นของ ซูอัน จี้เติ้งถู ก็เข้าใจไปว่าซูอันกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องหาดอกบัวเร้นลักษณ์ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นปลอบใจ “ไม่ต้องกังวล ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าเป็นคนที่มี โชควาสนาอยู่ข้างกาย ไม่งั้นเจ้าก็คงไม่ถูกคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่เลือกให้เป็นสามีทั้ง ๆ ที่เจ้าเป็นคน ไร้ค่าที่สุดในเมืองแบบนี้ ฉะนั้นตราบใดที่เจ้าได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปในมิติลับหยกจรัส เจ้าก็น่าจะได้รับสิ่งดี ๆ ติดไม้ติดมือออกมา”
สิ่งหนึ่งที่ จี้เติ้งถู เลือกที่จะไม่พูดออกไปก็คือ ดอกบัวเร้นลักษณ์ นั้นหายากมาก โอกาสในการค้นพบมันไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร อันที่จริง เขาไม่คิดว่ามันเป็นไปได้ด้วยซ้ำที่ ซูอัน จะหามันเจอ เหตุผลเดียวที่เขาพูดปลอบไปก็เพราะเขาไม่อยากจะทำให้ชื่อเสียงของตัวเองเสื่อมเสีย
ข้าได้ให้วิธีการรักษาแก่เจ้าแล้ว หากเจ้าหาดอกบัวนั่นไม่เจอเองมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า…
แต่แล้วเมื่อ จี้เติ้งถู คิดถึงหนังสือเล่มเล็กที่เขาเพิ่งได้รับ เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย ดังนั้นเขาจึงหยิบเม็ดยาสีน้ำเงินจากเสื้อคลุมของเขาออกมาและส่งให้ซูอัน “นี่คือโอสถคลายผนึกราก-วิญญาณที่ข้าหลอมมันขึ้นมาโดยใช้สมุนไพรถึง 80 ชนิด สิ่งที่ขาดหายไปอย่างเดียวก็คือดอกบัวเร้นลักษณ์ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่จะนำ ดอกบัวเร้นลักษณ์ มาส่งให้ข้าก่อนที่มันจะ เหี่ยวเฉา ดังนั้นเจ้าควรนำเม็ดโอสถนี้ติดตัวไปด้วยแทน สิ่งที่เจ้าต้องทำคือกลืนเม็ดโอสถนี้และกินดอกบัวเร้นลักษณ์ไปพร้อม ๆ กัน จากนั้นผนึกในร่างกายของเจ้าจะคลายออก”
ซูอัน รับโอสถเม็ดสีน้ำเงินมาอย่างระมัดระวังก่อนที่จะมองไปที่ จี้เติ้งถู ด้วยสายตา เคลือบแคลง “เอ่อ…นี่ท่านแน่ใจใช่ไหมกับวิธีการนี้? ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้เรื่องพวกยาเท่าไหร่ แต่เท่าที่ข้าเข้าใจ ส่วนผสมต่าง ๆ มันก็ควรจะรวมไปหนึ่งเดียวกันในเม็ดโอสถไม่ใช่เหรอ? มันจะได้ผลจริง งั้นเหรอหากข้ากินพวกมันแยกกันอย่างที่ท่านว่า?”
“ไอ้เด็กตัวเหม็น นี่เจ้ากำลังสงสัยทักษะการแพทย์ของข้าหมอเทวะจี้งั้นเหรอ!” จี้เติ้งถู จ้องไปที่ ซูอัน ด้วยสายตาหงุดหงิด “เจ้านี่มันไม่รู้เรื่องอะไร! สมุนไพรในตำนานอย่างดอกบัวเร้นลักษณ์ไม่ควรผ่านกระบวนการหลอมหรืออะไรทั้งนั้น การพยายามทำเช่นนั้นจะเป็นการด้อยสรรพคุณทางยาของดอกบัวโดยเปล่าประโยชน์!”
ซูอัน ยังคงคาใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ “เป็นไปได้ไหมที่ดอกบัวเร้นลักษณ์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะคลายผนึกในร่างของข้า ส่วนโอสถของท่าน…มีไว้เพื่อการแสดงเท่านั้น?”
จี้เติ้งถู รู้สึกขุ่นเคืองอย่างมากกับคำพูดของ ซูอัน เขายื่นมือออกไปและตวาดว่า “ถ้าเจ้าคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ก็คืนให้ข้า!”
“ไอ้หยา ข้าล้อท่านเล่นเท่านั้นเอง แหะ ๆ ” ซูอัน รีบเก็บเม็ดโอสถสีน้ำเงินเข้าไปในเสื้อคลุมของเขาทันทีก่อนจะยิ้มกลับให้ จี้เติ้งถู
จี้เติ้งถู พ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด “ถ้าไม่ใช่เพราะหนังสือนั่นที่เจ้าให้ข้าก่อนหน้านี้ ข้าจะไม่มีทางมอบโอสถนั่นกับเจ้าแบบนี้หรอก! ว่าแต่พอพูดถึงเรื่องหนังสือข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้ามีหนังสือแบบนี้อยู่กับตัวอีกบ้างไหม? ถ้าเจ้ามีอีกทำไมเจ้าไม่มอบมันให้ข้าเพิ่มอีกสักสองสามเล่มเพื่อเป็นการแสดงความเคารพที่เจ้ามีต่อข้าสักหน่อย?”
ไอ้เฒ่านี่มันโรคจิตจริง ๆ ! ซูอัน คิดในใจ แต่แน่นอนว่าเขาไม่พูดมันออกมาดัง ๆ แน่นอน “เอ่อ…ข้าไม่มีเล่มอื่นอยู่กับตัวเลยท่านจี้เติ้งถู เรื่องอื่น ๆ ที่ข้าเคยอ่านมันอยู่ในหัวของข้าทั้งหมด เอาเป็นว่าท่านอ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วถ้าข้าว่างเมื่อไหร่เดี๋ยวข้าจะพยายามนึกถึงเนื้อหาของ เรื่องอื่นมาเขียนให้ท่านอ่านต่อก็แล้วกัน”
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางมอบทุกเรื่องให้กับจี้เติ้งถูกในรอบเดียวเพราะในอนาคตมันอาจมีโอกาสที่เขาต้องการความช่วยเหลือจาก จี้เติ้งถู ดังนั้นเขาควรจะค่อย ๆ ให้เพื่อเลี้ยงความสัมพันธ์ ไปเรื่อย ๆ
เมื่อรู้ว่าในหัวของ ซูอัน มีเรื่องราวแบบนี้เป็นจำนวนมากเป็นคลังแสง ดวงตาของ จี้เติ้งถู ก็เปล่งประกายออกมาทันที “มหัศจรรย์! แม้ว่าเจ้าจะไม่เก่งในเรื่องอื่น แต่ข้ามั่นใจว่าพรสวรรค์ของเจ้าในด้านนี้มันจะทำให้เจ้ามีอนาคตที่สดใสแน่ ๆ ไอ้หนุ่ม!”
ใบหน้าของ ซูอัน มืดลง นี่เจ้าชมข้าหรือว่าดูถูกข้ากันแน่เนี่ย?
“อ้อ เกือบลืม” จู่ ๆ จี้เติ้งถู ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “แทนที่จะกังวลว่าเจ้าจะสามารถหา ดอกบัวเร้นลักษณ์ ใน มิติลับหยกจรัส ได้หรือไม่ ข้าคิดว่าสิ่งแรกที่เจ้าควรจะกังวลมากกว่าก็คือเจ้าจะได้รับสิทธิ์เข้าไปก่อนมากกว่า”
“หะ?” ซูอัน ตกตะลึง “แต่ข้าเป็นนักศึกษาของสถาบันจันทร์กระจ่าง ไม่ใช่ว่าข้าจะได้รับสิทธิ์เข้าไปเลยไม่ใช่งั้นเหรอ?”
“มันไม่ง่ายแบบนั้นเสมอไป!” จี้เติ้งถู มองไปที่ ซูอัน ราวกับว่าเขากำลังมองคนปัญญาอ่อน “มิติลับนั้นเต็มไปด้วยอันตรายและหนึ่งในอันตรายหลัก ๆ ก็คือการเผชิญหน้ากับคนด้วยกันเอง เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าถึงแม้มิติลับหยกจรัสจะถูกดูแลโดยสถาบันจันทร์กระจ่าง แต่เมื่อมันเปิดออกสถาบันอื่น ๆ ในมณฑลหลินชวนก็มีสิทธิ์ที่จะส่งนักศึกษาของพวกเขาเข้าร่วมด้วยเช่นกัน และผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าก็จะต้องผ่านการคัดเลือกโดยการประลองกันเพื่อหาคนที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะได้เข้าไปด้านใน”
ซูอัน รู้สึกโมโหทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ “ถ้างั้นนี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับว่าท่านกำลังหลอกข้าอยู่ไม่ใช่หรือไง!? การประลองคัดเลือก? คนอย่างข้าจะไปมีความสามารถพอที่จะชนะการประลองคัดเลือกอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน?”