“กล่องนี้เป็นยูนิตของโมโกะกับคอนแนล… เอกสารก็เตรียมเอาไว้ในกระเป๋าแล้ว… ที่เหลือก็แค่รอคุณไซร่ากับพวกนากาคุงมา… อื้ม……”
 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เอริกะกำลังจัดการเรื่องยุ่งๆ อยู่ที่ห้องควบคุมที่ตั้งอยู่ด้านใต้ปราสาทแพนเทร่าอยู่นั้นเอง ทางด้านเหล่าไดเอน่าผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเด็กนักเรียนที่มีกำหนดการจะออกเดินทางไปยังเมืองแพนเทร่าในวันนี้เองก็กำลังยืนตรวจสอบสัมภาระของตนอยู่ที่ด้านข้างรถม้าที่ขับมาจอดอยู่ที่ด้านหน้ารั้วโรงเรียนด้วยเช่นเดียวกัน

 

ซึ่งไดเอน่าที่ตรวจสอบสัมภาระส่วนรวมของกลุ่มและของตนเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้หันไปพูดถามเคนซากิที่ถูกจับมาเข้าร่วมกลุ่มเดินทางด้วยท่าทีที่ดูเหมือนไม่ค่อยจะเต็มใจนักขึ้นมาบ้าง

 

“เคนซากิคุงนายมีอะไรที่อยากจะเอาไปด้วยหรือเปล่าน่ะ?

 

“พวกเธอมั่นใจแล้วหรอว่าจะไปที่นั่นจริงๆ น่ะ? แบบนี้ดูยังไงมันก็เหมือนกับว่าพวกเธอต้องการจะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องของเมืองแพนเทร่าเลยไม่ใช่หรอไง?”

 

เคนซากิที่ดูมีท่าทีเย็นชาแตกต่างจากท่าทีปกติของเขาอันเป็นเด็กหนุ่มเจ้าสำราญสุภาพอารมณ์ดีอันเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเด็กสาวในโรงเรียนนั้นไม่ได้พูดตอบคำถามของไดเอน่ากลับไปอีกทั้งยังพูดถามประธานนักเรียนสาวขึ้นมาแทนด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกด้วย

 

ซึ่งทางด้านไดเอน่าที่ได้ยินคำถามของเคนซากินั้นก็ได้ดันกระเป๋าสัมภาระส่วนตัวของตัวเองเข้าไปใต้ที่นั่งด้านในรถม้าก่อนที่เธอจะหันกลับมายิ้มพูดตอบเคนซากิกลับไป

 

“ก็เหตุผลที่นายทำตัวลับๆ ล่อๆ ก่อนหน้านี้มันก็เป็นเพราะว่าทางเมืองแพนเทร่ามีข้อกังขาว่าเมืองรีมินัสอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ปราสาทแพนเทร่าโดนโจมตีไม่ใช่หรอ ตัวฉันที่เป็นถึงประธานนักเรียนของโรงเรียนรีมินัสแล้วก็เป็นทายาทคนเดียวของตระกูลดยุกเซมฟิร่าของท่านแม็กซิสคนนั้นก็เลยตัดสินว่าจะแสดงความจริงใจสักหน่อยด้วยการยื่นมือเข้าไปช่วยด้วยตัวเองยังไงล่ะ~”

 

“แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องไปด้วยตัวเองไม่ใช่หรอไง อย่างตอนที่เมืองกราวิทัสส่งจดหมายขอความร่วมมือมาเธอก็ยังส่งไปแค่ตัวแทนเองไม่ใช่หรือไง?”

 

เคนซากิพูดตอบไดเอน่ากลับไปก่อนที่เขาจะเหลือบตาไปมองดูมายะที่กำลังยืนเกาะอยู่ที่ด้านหลังของไดเอน่าจนทำให้มายะสะดุ้งเฮือกและรีบหลบหน้าไปในทันที

 

ซึ่งท่าทางของมายะที่ยังคงดูหวาดกลัวเคนซากิไม่หายสักทีนั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าได้แต่เผยรอยยิ้มเหนื่อยใจออกมาก่อนที่เธอจะหันกลับไปพูดตอบคำถามของเคนซากิขึ้นมา

 

“ก็เพราะว่ารอบที่แล้วมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้นนี่ แถมงานนี้จะให้ฝากพวกนากาคุงที่ต้องออกไปทำงานให้คุณเอริกะไปทำแทนมันก็น่าจะลำบากเขาอีก แล้วอีกอย่างนึงจะให้ฉันโยนงานทุกอย่างไปให้มายะเขาไม่ได้หรอกนะ”

 

“ต–แต่ฉันยินดีนะ”

 

มายะที่ได้ยินไดเอน่าพูดถึงเรื่องของตนเองขึ้นมานั้นได้รีบโผล่หน้ากลับขึ้นมาพูดบอกไดเอน่าด้วยน้ำเสียงดีใจก่อนที่เธอจะต้องสะดุ้งและหดหน้ากลับไปอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นสายตาของเคนซากิที่หันมามองทางเธอ

 

ส่วนทางด้านไดเอน่าที่ได้ยินมายะพูดเสนอตัวขึ้นมาด้วยความยินดีนั้นก็ได้ยื่นมือไปลูบศีรษะเพื่อนของเธอเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“จ้าๆ แต่จะให้ฉันโยนงานทุกอย่างไปให้เธอมันก็ไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ อีกอย่างนึงงานนี้จะให้ฉันส่งไปแค่ตัวแทนมันก็คงจะเสียมารยาทแย่เลยจริงมั้ย”

 

“เฮ้อ… นี่เธอรู้หรือเปล่าว่าทางวังหลวงของแพนเทร่าอยากจะได้บ้านพักตากอากาศที่ตระกูลของเธอถือครองอยู่มากขนาดไหนน่ะ แล้วพวก ‘ผู้ปกครอง’ ของฉันเองก็ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกนะ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะถือโอกาสนี้แย่งสิ่งที่พวกเขาต้องการไปจากเธอก็ได้ด้วยซ้ำ”

 

ท่าทางของไดเอน่าที่หันกลับไปพูดคุยกับมายะด้วยท่าทีกระหนุงกระหนิงนั้นได้ทำให้เคนซากิต้องพูดเตือนขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไดเอน่าก็กลับทำเพียงแค่หันกลับมายิ้มให้กับเขาก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับมาบ้าง

 

“แต่ถ้าการที่ฉันไปที่นั่นมันจะช่วยให้ทางเมืองแพนเทร่ากับเมืองรีมินัสกลับมาเชื่อใจกันได้มันก็คุ้มที่จะเสี่ยงแหล่ะ แล้วที่สำคัญ… ต่อให้พวกนากาคุงเขาจะต้องแยกตัวไปทำงานของคุณเอริกะ แต่ว่าฉันก็ยังมีนายอยู่ด้วยไม่ใช่หรอเคน-ซา-กิ-คุง~”

 

“หา…?”

 

คำพูดของไดเอน่าในคราวนี้นั้นถึงกับทำให้เคนซากิต้องเลิกคิ้วมองดูเธออย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยินก่อนที่เขาพูดถามประธานนักเรียนสาวกลับไปด้วยท่าทางเหมือนกับกำลังมองคนสติไม่ดีอยู่อย่างไรอย่างนั้น

 

“นี่เธอลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าถึงจะเห็นอย่างนี้แต่ฉันก็ถูกส่งมาจากเมืองแพนเทร่าในฐานะทูตน่ะ…?”

 

“เรื่องนั้นฉันรู้ดีอยู่แล้วแหล่ะน่า~”

 

“ถ้างั้นแล้วมันเพราะอะไรเธอถึงคิดว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมาแล้วฉันจะต้องเข้าไปช่วยเธอด้วยล่ะ? หรือถ้าเกิดเธอคิดว่าฉันจะเข้าไปช่วยเพราะว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันล่ะก็ฉันต้องขอบอกก่อนเลยก็แล้วกันว่าเธอคิดผิดแล้วล่ะ…”

 

เคนซากิขมวดคิ้วพูดถามไดเอน่ากลับไปด้วยท่าทีเย็นชาที่ดูแล้วเหมือนว่าจะเป็นตัวตนจริงๆ ของเขามากกว่าท่าทางสนิทสนมเป็นมิตรกับผู้อื่นอย่างที่เขาแสดงออกเวลาอยู่ภายในรั้วโรงเรียน ซึ่งท่าทางที่ดูเย็นชาของเคนซากินั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไป

 

“แหม่… มันก็อาจจะเป็นแค่ความรู้สึกของคนที่คิดอยากจะให้ทั้งสองเมืองอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุขที่พวกเรามีมันเหมือนๆ กันล่ะมั้ง”

 

“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”

 

เคนซากิที่เห็นรอยยิ้มและได้ยินคำตอบของไดเอน่านั้นได้ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนที่เขาจะเหวี่ยงตัวกระโดดขึ้นไปนั่งรออยู่ที่ด้านในรถม้าเพื่อรอออกเดินทางอย่างเงียบๆ

 

ส่วนทางด้านมายะที่ได้ยินว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นที่เมืองแพนเทร่าก็ได้นั้นก็ได้รีบพูดสอบถามขึ้นมาในทันทีที่แผ่นหลังของเคนซากิลับสายตาของเธอไป

 

“บ..แบบนี้จะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอไดเอน่าจัง…?”

 

“เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก~ แต่ยังไงก็ฝากเธอจัดการเรื่องกำลังเสริมที่คุณเอริกะเขาเคยบอกเอาไว้ด้วยก็แล้วกันนะ”

 

“อ..อื้อ…!!”

 

มายะที่ได้ยินคำสั่งของไดเอน่าได้พยักหน้ากลับไปให้เพื่อนของเธอด้วยความยินดีก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีร่างของสาวใช้ผมสีดำคนหนึ่งที่กำลังหิ้วกระเป๋าสัมภาระอีกใบเดินตรงมาตามถนนให้พวกเธอได้เห็น และเมื่อสาวใช้คนนั้นเห็นว่าเด็กสาวทั้งสองคนสังเกตเห็นเธอแล้วเธอก็ได้ค้อมหัวลงเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ทุกอย่างพร้อมแล้วค่ะคุณหนู”

 

สาวใช้ผมสีดำคนที่ว่าหรือก็คือ ไซร่า สาวใช้ประจำบ้านของไดเอน่าที่นากาเคยได้พบมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งในตอนที่เขาถูกไดเอน่าชวนไปที่บ้านนั่นเอง ซึ่งทางไดเอน่าที่ได้ยินคำพูดของไซร่าเองก็ได้พยักหน้ากลับไปให้อีกฝ่ายก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไป

 

“เข้าใจแล้วจ้ะ แต่ว่าเดี๋ยวพวกเรายังต้องรอพวกนากาคุงเขา— อ่ะ พูดถึงก็มานั่นแล้วไง”

 

ในขณะที่ไดเอน่ากำลังพูดตอบสาวใช้ของเธอกลับไปอยู่นั้นเอง เธอก็สังเกตเห็นนากาที่กำลังจูงมือโมโกะวิ่งนำหน้าคอนแนลที่มีอีฟขี่คออยู่กำลังวิ่งตรงมาทางพวกเธอ ซึ่งนากาที่เห็นว่าไดเอน่าจัดสัมภาระทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้วและดูเหมือนว่าจะกำลังยืนรอพวกเขาอยู่นั้นก็ได้รีบเร่งฝีเท้าตรงเข้ามาพร้อมกับเอ่ยปากพูดขอโทษขึ้นมาในทันที

 

“โทษทีนะไดเอน่า พวกเธอรอนานหรือเปล่า?”

 

“ม…ไม่นานหรอกจ้ะ…”

 

คำถามของของนากานั้นได้มายะที่ผละตัวออกมาจากแผ่นหลังของไดเอน่าเป็นผู้ตอบแทนให้ ซึ่งการกระทำของมายะที่ดูเหมือนว่าจะสามารถพูดคุยกับนากาได้อย่างไม่มีปัญหาหรืออย่างน้อยก็สามารถทำได้คล่องกว่าตอนคุยกับเพื่อนคนอื่นนั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดอธิบายขึ้นมาเพิ่มเติม

 

“พวกฉันเองก็เพิ่งจะจัดของเสร็จเหมือนกันน่ะ เอาล่ะ~ ในเมื่อมากันครบแล้วถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราเตรียมตัวออกเดินทางกันเลยก็แล้วกันนะคะคุณไซร่า”

 

“ฉันพร้อมเสมออยู่แล้วล่ะค่ะ ถ้าต้องการจะออกรถเมื่อไหร่ก็แจ้งมาได้เลยนะคะ”

 

คุณไซร่า สาวใช้ของไดเอน่าพยักหน้าพูดตอบคุณหนูของเธอกลับไปก่อนที่เธอจะกระโดดขึ้นไปนั่งที่ด้านหน้าของตัวรถม้าอันเป็นที่นั่งของคนขับ ในขณะที่ทางด้านพวกนากานั้นก็ได้ช่วยกันเร่งมือจัดการจัดเก็บสัมภาระต่างๆ ที่พวกเขานำมาด้วย

 

ซึ่งในทันทีที่นากาเปิดประตูของห้องโดยสารออกมานั้นเขาก็ได้พบเข้ากับเคนซากิที่ปั้นสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรพูดเสนอตัวให้ความช่วยเหลือในการจัดเก็บกระเป๋าสัมภาระขึ้นมา

 

“ส่งกระเป๋ามาทางผมได้เลยครับ เดี๋ยวผมเอาไปเก็บไว้ด้านในให้เอง”

 

“โอ้ ขอบใจนะ”

 

คำพูดเสนอความช่วยเหลือของเคนซากินั้นได้ทำให้นากาที่ไมไ่ด้รู้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายพยักหน้ากลับไปด้วยความยินดีและช่วยกันขนของขึ้นรถก่อนที่พวกเขาจะทยอยเข้าไปนั่งรอกันภายในตัวรถม้าในขณะที่ทางด้านไดเอน่านั้นก็ได้หันไปพูดสั่งงานมายะที่จะต้องอยู่โยงที่โรงเรียนขึ้นมา

 

“เอาล่ะ นอกจากเรื่องกำลังเสริมของคุณเอริกะที่อาจจะมาติดต่อแล้วฉันขอฝากเรื่องงานของสภานักเรียนไว้กับเธอด้วยนะมายะ แล้วถ้ามีงานไหนที่ต้องออกไปเจอคนเยอะๆ แล้วเธอไม่ไหวจริงๆ ก็ไปบอกให้เรมิเรียเขาเป็นคนไปทำให้แทนก็ได้นะอย่าลืมล่ะ”

 

“อ…อื้อ…”

 

“อื้มๆ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนก็ละกันนะจ๊ะ”

 

“ป…ไปดีมาดี…นะ…”

 

มายะที่ได้ยินว่าใกล้จะถึงเวลาที่ไดเอน่าของเธอจะต้องออกเดินทางแล้วนั้นได้มีท่าทีเหงาหงอยลงอย่างเห็นได้ชัดจนทำให้ไดเอน่าได้แต่แอบเผยรอยยิ้มอ่อนใจออกมาก่อนที่เธอจะหันหลังกลับและปีนขึ้นรถม้าไปและส่งสัญญาณให้คุณไซร่าเริ่มต้นออกเดินทางได้

 

ซึ่งท่าทางของไดเอน่าและมายะนั้นก็ได้ทำให้อีฟเอียงคอมองดูพวกเธอด้วยนัยน์ตาที่ปิดสนิทของเธออยู่สักพักหนึ่งด้วยท่าทีความสงสัยก่อนที่เด็กสาวจะหันไปทางกระจกหลังรถม้าและโบกมือลามายะด้วยท่าทีร่าเริงจนทำให้มายะที่เห็นแบบนั้นหลุดปากพูดขึ้นมาเบาๆ และโบกมือตอบกลับไป

 

“อีฟจังนี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ…”

 

มายะที่พูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยท่าทางดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนั้นได้เดินเข้าไปด้านในโรงเรียนด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนที่เธอจะเดินตรงไปทางห้องพยาบาลและค่อยๆ เลื่อนประตูให้เปิดออกเบาๆ จนทำให้คาร์เทียร์ที่นั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ภายในต้องพูดสอบถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

 

“พี่มายะ? มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าอาการกำเริบอีกแล้วหรอคะ?”

 

“ป…เปล่าจ้ะ…ม…ไม่ใช่แบบนั้นหรอก…”

 

มายะที่ได้ยินคำพูดสอบถามของคาร์เทียร์ได้พูดตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกักและแผ่วเบาจนคาร์เทียร์แทบจะฟังไม่ได้ศัพท์จนทำให้เด็กสาวต้องวางหนังสือลงเพื่อเดินเข้าไปสอบถามใกล้ๆ ตามที่เธอจับใจความได้

 

“ถ้าไม่ได้เป็นอะไรแล้วจะมาที่ห้องพยาบาลทำไมล่ะคะ? หรือว่ามีนักเรียนคนไหนต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?”

 

“พ–พี่มาดูว่าคาร์เทียร์สบายดีหรือเปล่า… ห…เหมือนกับที่ไดเอน่าจังท–ทำน่ะ…”

 

คำพูดที่ฟังดูห้วนๆ ของคาร์เทียร์นั้นได้ทำให้มายะผงะไปเล็กน้อยและรีบพูดอธิบายขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ไล่เธอออกจากห้องพยาบาลไปโทษฐานที่มาที่นี่โดยไม่ได้เจ็บป่วยอะไร

 

ซึ่งคำพูดอธิบายของมายะนั้นก็พอจะทำให้คาร์เทียร์คาดเดาได้ว่าสาเหตุที่ไดเอน่ามักจะโผล่มาหาเธอในทุกๆ เช้าหลังจากที่อารอนหายตัวไปนั้นก็คงจะเป็นเพราะคำสั่งของเอริกะหรือไม่ก็ของท่านผู้อำนวยการที่สั่งให้มาตรวจดูสภาพจิตใจของเธอเป็นประจำนั่นเอง

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านคาร์เทียร์ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก เพราะตัวเธอเองก็รู้ว่าพลังของตนจะสามารถก่อให้เกิดความสูญเสียได้มากมายขนาดไหนถ้าเกิดว่ามันหลุดการควบคุมขึ้นมาที่ใจกลางสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนอย่างภายในรั้วโรงเรียนรีมินัสแห่งนี้ เธอจึงได้พูดตอบกลับไปตามตรงเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ไดเอน่าเป็นคนมาสอบถามเธอ

 

“ก็ปกติดีเหมือนกับทุกวันนั่นแหล่ะค่ะ… เอ… แต่พักนี้จะว่ามีอะไรแปลกๆ มันก็มีอยู่บ้างเหมือนกันน่ะค่ะ…”

 

“อ…อะไรแปลกๆ หรอ…?”

 

“ค่ะ… มันแบบว่า… เหมือนกับถูกใครหรืออะไรสักอย่างร้องเรียกจากที่ไกลๆ เวลากำลังหลับหรือว่ากำลังสะลึมสะลืออยู่ประมาณนั้นน่ะค่ะ อ่ะ—แต่ว่าพอลุกขึ้นจากเตียงหรือว่าตื่นเต็มตาแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นแล้วนะคะ พี่มายะไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ”

 

คาร์เทียร์ที่สังเกตเห็นว่ามายะเหมือนจะมีท่าทีกระวนกระวายขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของเธอนั้นได้รีบพูดปลอบใจมายะขึ้นมา และนั่นก็ทำให้มายะพยักหน้ากลับมาให้เธอเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดถามถึงเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่ควรจะอยู่ที่นี่ด้วยในตอนเช้าขึ้นมา

 

“ล…แล้วอาจารย์อลิซล่ะ…?”

 

“รายนั้นแอบหนีออกไปจากเตียงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้วล่ะค่ะ เห็นเขียนข้อความทิ้งเอาไว้ว่าจะไปคุมการฝึกของกลุ่มดอว์นที่โรงฝึกหรือว่าอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะค่ะ”

 

คาร์เทียร์ที่รับหน้าที่เป็นคนดูแลอลิซที่ได้รับบาดเจ็บจากอาวุธระเบิดของเหล่าสาวใช้ปีกแสงมาตั้งแต่เมื่อวันก่อนนั้นได้พูดบ่นออกมาเล็กน้อยกับการกระทำของอลิซที่แอบหนีออกไปทำงานได้ในทุกๆ วันโดยที่ยังไม่หายดีในขณะที่ทางด้านมายะนั้นกลับรู้สึกโล่งใจเพราะเธอนึกว่าอลิซถูกหามไปโรงพยาบาลอีกแล้วเสียอีก

 

“ท…ที่โรงฝึกหรอ… ถ..ถ้างั้นพี่ขอไปดูอาจารย์เขาก่อนละกันนะ…”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้ายังไงฝากพี่มายะไปบอกอาจารย์อลิซเขาว่าให้กลับมาตรวจร่างกายตอนช่วงพักเที่ยงด้วยก็แล้วกันนะคะ

 

“อ..อื้อ…”

 

มายะพยักหน้าตอบคาร์เทียร์กลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องพยาบาลเพื่อเดินตรงไปทางโรงฝึกของชมรมฝึกซ้อมการต่อสู้และเลื่อนเปิดประตูที่มีเสียงกระทบกันของอาวุธดังลอดผ่านออกมาเล็กน้อยเข้าไป

 

“ข–ขออนุญาตนะคะ…”

 

“อ้าว– สวัสดีครั—”

 

“อิ๊—”

 

โคร๊ม—!!

 

มายะที่เพิ่งจะเลื่อนเปิดประตูและพูดขออนุญาตคนภายในห้องชมรมนั้นได้สะดุ้งสุดตัวและกระแทกประตูปิดกลับไปเสียงดังลั่นเมื่อสิ่งแรกที่ดังขึ้นมาต้อนรับเธอนั้นก็คือเสียงของอัศวินหนุ่มผมทองผู้มีรอยแผลเป็นเต็มใบหน้าครึ่งล่างหรือก็คือ เอเว่น ที่ดูเหมือนว่าจะยืนพิงกำแพงมองดูการฝึกซ้อมของพวกเด็กนักเรียนอยู่ข้างๆ ประตูทางเข้านั่นเอง

 

ซึ่งมายะที่ตกใจจนเผลอกระแทกประตูปิดกลับไปนั้นก็ได้ค่อยๆ เลื่อนประตูให้เปิดออกอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพูดทักทายอีกฝ่ายที่เธอเคยเห็นหน้าในโรงเรียนมาสักพักใหญ่ๆ แล้วขึ้นมา

 

“ค…คุณอัศวินที่อยู่กับอาจารย์อลิซ…?”

 

“ครับ ผมเอเว่นเองครับ พวกเราเคยเจอกันหลายรอบแล้วไม่ใช่หรอครับ”

 

“ค–ค่ะ… ฉ–ฉันจำได้แหล่ะค่ะ… ล..แล้วอาจารย์อลิซล่ะคะ?”

 

มายะพูดตอบเอเว่นที่เธอไม่ค่อยจะคุ้นเคยด้วยกลับไปอย่างตะกุกตะกักและพูดถามเกี่ยวกับอาจารย์อลิซที่เขาต้องคอยตามติดขึ้นมา ซึ่งถึงแม้ว่าคำพูดของมายะจะทำให้เอเว่นหน้าเจือนไปบ้างแต่เขาก็ยังคงยอมพูดตอบกลับมาแต่โดยดี

 

“ถ้าอาจารย์อลิซล่ะก็เพิ่งจะขนหุ่นซ้อมของซิลเวสกลับไปเก็บที่ด้านหลังเมื่อกี้นี้เองน่ะครับ”

 

“อ…อย่างงั้นเองหรอคะ…”

 

ฟุ๊บ—

 

ในขณะที่มายะกำลังพูดตอบเอเว่นกลับไปอยู่นั้นเองอยู่ๆ ก็ได้มีเสียงหวดลมดังขึ้นมาเรียกความสนใจของทั้งสองคนไปทางซิลเวสและเนลที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ที่กลางห้อง และนั่นก็ทำให้เอเว่นตัดสินใจที่จะชวนมายะพูดคุยขึ้นมา

 

“ว่าแต่ที่ซิลเวสเขาใส่เอาไว้นั่นน่ะหรอครับยูนิตสำหรับต่อสู้ที่คุณเอริกะเป็นคนพัฒนาขึ้นมาน่ะ?”

 

“ค–ค่ะ! ท…ทำไมหรอคะ…?”

 

มายะที่อยู่ๆ ก็ได้ยินคำพูดชวนคุยของเอเว่นนั้นได้สะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดถามเขากลับไป ซึ่งทางด้านเอเว่นที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พูดตอบเธอกลับไปตามตรง

 

“คือผมคิดว่ามันออกจะ… น่าทึ่ง… ล่ะมั้งครับที่ยูนิตของคุณเอริกะเขาสามารถทำให้มือสมัครเล่นอย่างซิลเวสสามารถต่อสู้ได้ดีขนาดนี้น่ะ อ่ะ–ผมไม่ได้หมายความว่าซิลเวสเขาไม่เก่งหรอกนะครับแค่ว่าเท่าที่ผมดูแล้วเธอยังดูเป็นมือใหม่อยู่เลยเฉยๆ น่ะครับ”

 

“ง..ง…งั้นหรอคะ…”

 

คำพูดของเอเว่นที่ดูแล้วท่าทางเหมือนกับจะคุยกันได้ยาวนั้นได้ทำให้มายะที่ไม่ค่อยจะถูกกับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่เริ่มที่จะสอดส่องสายตาไปมาเพื่อหาข้ออ้างในการปลีกตัวออกไปก่อน

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอเว่นที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยและกำลังจับตาดูการฝึกซ้อมของซิลเวสกับเนลอยู่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีของมายะเลยแม้แต่น้อยและเอ่ยปากพูดถามเรื่องที่เขาคิดว่ามันน่ากังวลสำหรับทางวังหลวงขึ้นมา

 

“คุณมายะรู้สาเหตุว่าทำไมคุณเอริกะถึงคิดที่จะนำยูนิตพวกนี้มาพัฒนาต่อแล้วก็มอบให้พวกนักเรียนใช้กันแบบนี้หรือเปล่าน่ะครับ?”

 

“ห–ให้นักเรียนกลุ่มดอว์นใช้ก่อนเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าปลอดภัย ล…แล้วถึงค่อยให้ประชาชนท–ทั่วไป… อ–อะไรประมาณนั้น… บ–แบบที่เคยร–รายงานไปแล้ว… นั่นแหล่ะ…ค่ะ…”

 

“หมายถึงว่าเพื่อให้ประชาชนเห็นแล้วมั่นใจได้ว่ามันจะปลอดภัย พวกเขาจะได้กล้าใช้งานมันกันน่ะหรอครับ…? ถึงผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องติดอาวุธให้ประชาชนธรรมดาๆ ด้วยก็เถอะ แต่ว่าองค์ชายเองก็เคยพูดอะไรทำนองนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน…”

 

“อ…เอ่อ…”

 

คำพูดพึมพำของเอเว่นในคราวนี้นั้นได้ทำให้มายะต้องรีบกวาดตาไปมาเพื่อหาข้ออ้างในการปลีกตัวหนีไป ซึ่งในทันทีที่เธอหันไปเห็นประตูที่เชื่อมไปยังลานเก็บของด้านหลังที่ก่อนหน้านี้เอเว่นเพิ่งจะบอกว่าอลิซเอาของเข้าไปเก็บด้านในนั้นเองเธอก็รีบใช้มันเป็นข้ออ้างในการหนีไปในทันที

 

“ฉ–ฉันขอตัวก่อนนะคะ!!”

 

ทันทีที่สิ้นเสียงของมายะนั้นเองเธอก็รีบเร่งฝีเท้าตรงดิ่งหายเข้าประตูหลังโรงฝึกไปอย่างรวดเร็ว และนั่นก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับอลิซที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้ากระถางดอกไม้ที่มีต้นอ่อนสีเขียวต้นเล็กๆ งอกอยู่ภายใน โดยที่ในมือของเด็กสาวที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลนั้นก็กำลังถือบัวรดน้ำอันเล็กที่กำลังปลดปล่อยสายน้ำสะท้อนกับแสงแดดยามเช้าเอาไว้ด้วยท่าทีอ่อนโยนที่ดูไม่เข้ากับท่าทีตามปกติของอลิซเลยแม้แต่น้อยพร้อมๆ กับที่เธอได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”

 

“อ…อาจารย์อลิซคะ—”

 

“ใคร!?”

 

“อิ๊—”

 

เสียงร้องเรียกของมายะที่ถูกตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ และสีหน้าหงุดหงิดนั้นได้ทำให้มายะสะดุ้งเฮือกไปอีกครั้งหนึ่งในรอบวัน และนั่นก็ทำให้อลิซต้องปรับสีหน้าของตนแล้วจึงค่อยพูดถามขึ้นมาอีกครั้ง

 

“…มีอะไรหรือเปล่ามายะ?”

 

“ค–คือ…คือ… คือว่าคาร์เทียร์เขาฝากมาบอกให้อาจารย์อลิซแวะไปตรวจร่างกายตอนพักเที่ยงด้วยน่ะค่ะ!! ขอตัวก่อนนะคะ!!”

 

มายะที่ได้ยินคำถามของอลิซนั้นได้รีบพูดตอบกลับไปด้วยท่าทีลนลานก่อนที่เธอจะหันหลังกลับและรีบออกตัววิ่งหนีไปในทันที

 

หมับ—

 

“อิ๊—!?”

 

แต่ถึงอย่างนั้นการเคลื่อนไหวของเธอก็กลับถูกหยุดเอาไว้ด้วยฝ่ามือของอลิซที่พุ่งมาคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ด้วยความรวดเร็วราวกับงูฉกก่อนที่เด็กสาวผมสีขาวจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

 

“ห้ามเอาเรื่องที่เห็นเมื่อกี้นี้ไปบอกคนอื่นล่ะ… เข้าใจมั้ย…”