กึก กึก กึก ปึ๊ก!!
 

“อุ—”

 

ในช่วงเช้ามืดของเช้าวันที่สามหลังจากที่พวกนากาได้เริ่มต้นออกเดินทางไปที่เมืองแพนเทร่านั้นเอง จู่ๆ รถม้าของไดเอน่าที่ขับเคลื่อนไปตามถนนก็ได้สะดุดเข้ากับก้อนหินหรืออะไรสักอย่างบนถนนเข้าจนทำให้นากาที่นั่งงีบอยู่ภายในสะดุ้งตื่นขึ้นมา

 

และนั่นก็ทำให้เขาได้พบเข้ากับห้องโดยสารภายในรถม้าที่ว่างเปล่าปราศจากร่างของเพื่อนๆ ที่เดินทางมาด้วยกัน โดยมีเพียงร่างของหญิงสาวผมหางม้าสีขาวในชุดเสื้อกาวน์ที่นั่งอ่านหนังสือปกหนังเก่าๆ อยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

 

ซึ่งการปรากฏตัวของหญิงสาวคนที่เขาไม่ได้พบหน้ามาสักพักใหญ่ๆ แล้วนั้นก็ได้ทำให้นากาหลุดปากพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ

 

“พาเทียซ์–!? ถ้างั้นที่นี่คือ—”

 

“ไง…ยังไม่ลืมกันงั้นสินะ…”

 

พาเทียซ์ที่ได้ยินคำพูดทักทายอันเป็นประโยคประจำของนากาเวลาเจอหน้าของเธอนั้นได้ปิดหนังสือปกหนังในมือของเธอลงไปและพูดตอบกลับมาก่อนที่เธอจะหันไปทางด้านหน้าต่างของตัวรถม้าเพื่อทอดสายตามองไปยังเมฆหมอกหนาทึบที่กลับมาปกคลุมไปทั่วท้องถนนที่รถม้าที่ไร้ซึ่งคนขับกำลังแล่นผ่านไปดั่งเช่นในครั้งแรกที่เธอกับนากาได้พบเจอกันอีกครั้ง

 

ซึ่งสภาพของหมอกสีขาวขมุกขมัวที่ดูคุ้นตาที่ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณนั้นก็ได้ทำให้นากาสามารถยืนยันได้ว่าเขากำลังอยู่ในโลกแห่งจิตใต้สำนึกที่เปรียบเสมือนความฝันอย่างแน่นอน และนั่นก็ทำให้นาการีบคว้าร่างของพาเทียซ์เข้ามาสำรวจดูใกล้ๆ พร้อมกับพูดสอบถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากว่าในการพบเจอกันของพวกเขาครั้งล่าสุดนั้นมันค่อนข้างที่จะจบไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่นัก

 

“เธอหายดีแล้วหรอพาเทียซ์!? ไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือเปล่า!?”

 

“…….”

 

ถึงแม้ว่าพาเทียซ์จะแสดงท่าทางแปลกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดกับท่าทางของนาการาวกับว่าเธอไม่คุ้นเคยกับการที่เขาแสดงออกเช่นนี้ แต่ว่ามันก็เป็นเพียงแค่ชั่วขณะก่อนที่สีหน้าของเธอจะกลับไปเป็นเรียบเฉยอีกครั้งหนึ่งพร้อมๆ กับที่เธอได้เอ่ยปากพูดตอบเขากลับไป

 

“อื้ม… แต่คงจะต้องบอกว่าแค่ดีขึ้นพอที่จะให้นายเข้ามาในนี้ได้อีกครั้งแล้วซะมากกว่าน่ะ…”

 

“งั้นหรอ ฟู่ว… โล่งอกไปที…”

 

นากาที่ได้รับคำตอบจากพาเทียซ์นั้นได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนที่ทันใดนั้นเองเขาจะก้มหน้าลงไปสักพักหนึ่งแล้วจึงทรุดตัวลงไปนั่งกับเก้าอี้ของรถม้าตามเดิมและเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“พาเทียซ์…ฉันขอโทษ…”

 

“ขอโทษฉัน…? เรื่องอะไรล่ะ?”

 

“………”

 

คำถามของพาเทียซ์ได้ทำให้นากานิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน

 

“ฉันไม่ได้ใส่ใจคำเตือนของเธอ… ทั้งๆ ที่เธอพยายามห้ามเอาไว้แล้วแต่ฉันก็ยังลืมคิดไปว่าหมู่บ้านของตัวเองอยู่ทางตะวันตก… ทั้งๆ ที่เธอก็คอยเตือนฉันเอาไว้หลายครั้งแล้วซะด้วยซ้ำแต่ฉันก็ยัง…”

 

“……….”

 

พาเทียซ์ที่ได้ยินคำพูดของนากานั้นไม่ได้พูดตอบอะไรเขากลับไปเนื่องจากว่าตัวเธอที่เป็นผู้ดูแลโลกแห่งจิตใต้สำนึกแห่งนี้นั้นสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกต่างๆ ที่นากาพยายามที่จะปิดกั้นเอาไว้ภายในเธอจึงได้เลือกที่จะนิ่งเงียบเพื่อที่จะได้ปล่อยให้เขาได้ระบายความรู้สึกที่เขาอัดอั้นเอาไว้ออกมา

 

“เพราะฉันไม่ยอมฟังคำเตือนของเธอตอนนั้น…ตอนนี้พรีมูล่าเขาก็เลย… เขาก็เลย… ถ้าเกิดตอนนั้นฉันห้ามเขาเอาไว้ล่ะก็… ถ้าเกิดฉันไม่ใจร้อนแบบนั้นล่ะก็… มันเป็นเพราะฉัน…ทุกอย่างมันเป็นเพราะฉัน…”

 

“……………..”

 

ป๊อก

 

“โอ๊ย!?”

 

แต่แล้วในขณะที่การระบายความอัดอั้นของนากากำลังจะกลายเป็นการพึมพำโทษตัวเองอยู่นั้นเอง พาเทียซ์ที่นิ่งเงียบมาตลอดก็ได้ยกมือของเธอขึ้นไปเขกที่กลางศีรษะของนากาเข้าอย่างแรงจนทำให้เขาหลุดเสียงร้องออกมา

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่นากาจะได้พูดโวยวายอะไร พาเทียซ์ที่เคยรับหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีก็ได้เริ่มต้นที่จะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง

 

“ฉันเข้าใจว่าตัวนายในตอนนี้ก็เปรียบเสมือนกับเสาหลักที่ต้องคอยค้ำจุนคนอื่นๆ อย่างโมโกะ คอนแนลหรือว่าซิลเวสเอาไว้จนไม่กล้าระบายออกไปให้เพื่อนๆ ฟังก็เลยว่าจะเป็นผู้รับฟังที่ดีสักหน่อย… แต่ว่าฉันคงจะไม่ทนฟังนายพูดโทษตัวเองแบบไร้เหตุผลแบบนั้นหรอกนะ…”

 

“แต่มันเป็นเพราะฉันพรีมูล่าเขาถึงได้…”

 

“แต่ตอนนั้นนายก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วไม่ใช่หรอ… ด้วยร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันที่พยายามวิ่งไปช่วยอย่างสุดฝีเท้า… ด้วยประสาทสัมผัสที่ฉับไวกว่าคนอื่นที่พยายามคิดหาวิธีช่วยน้องสาวของนาย… ด้วยอุปกรณ์ทุกอย่างที่นายพยายามจะใช้มันเพื่อพุ่งไปข้างหน้าให้ไวขึ้นสักนิดก็ยังดี… ถึงแม้ว่าทั้งหมดนั่นจะยังไม่พอให้นายช่วยเหลือพรีมูล่าเอาไว้ได้ แต่ว่ามันก็ยังช่วยให้นายได้มีโอกาสฟังคำพูดสุดท้ายของเด็กคนนั้นไม่ใช่หรอ…?”

 

“….!”

 

พี่นากา…อย่าร้องไห้สิ… หนูชอบตอน…ที่พี่นากา…ยิ้ม…มากกว่านะ…

 

ยิ้ม…ให้หนูดู…หน่อยสิ…พี่นากา…

 

คำพูดของพาเทียซ์ได้ทำให้คำพูดและคำขอร้องครั้งสุดท้ายของพรีมูล่าดังขึ้นมาในห้วงความคิดของนากาอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อพาเทียซ์เห็นแบบนั้นเธอจึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“นายเองก็ยังจำได้ใช่หรือเปล่าล่ะ…? สิ่งที่น้องสาวของนายขอเอาไว้เป็นอย่างสุดท้ายนั่นน่ะ…”

 

“จำได้สิ… ทุกประโยค…ทุกคำพูด…”

 

“เพราะงั้นถ้าเกิดว่าในโลกข้างนอกนั่นนายไม่สามารถแสดงน้ำตาออกมาให้เพื่อนๆ ที่นายต้องช่วยค้ำจุนเอาไว้ได้ล่ะก็ นายก็ใช้ที่นี่เป็นสถานที่ในการระบายความเจ็บปวดพวกนั้นออกมาเถอะ… ร้องออกมาให้พอใจเสร็จแล้วก็ยืนหยัดลุกกลับขึ้นมาอย่างมั่นคงอีกครั้ง… เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่นายเคยทำมา… เหมือนกับที่นายเคยสัญญากับเธอคนนั้นเอาไว้น่ะ…”

 

“ฮึก…”

 

นากาที่ได้ยินสิ่งที่พาเทียซ์พูดนั้นได้ก้มหน้าลงและปล่อยให้น้ำตาที่เขาอดกลั้นเอาไว้มาตลอดหลั่งไหลออกมาอาบใบหน้า ในขณะที่ทางด้านพาเทียซ์นั้นก็ได้ขยับลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมานั่งอยู่ที่ข้างกายเขาและยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของนากาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ถึงมันจะเป็นแค่การแสดงว่าตัวเองไม่เป็นอะไรก็เถอะ แต่ก็นับว่าเป็นก้าวแรกที่ดีแล้วล่ะ… เพราะฉะนั้นจนกว่านายจะหาสถานที่ที่นายจะสามารถระบายความรู้สึกออกมาได้ที่ข้างนอกนั่นนายก็ใช้ที่นี่ไปก่อนเถอะ…”

 

พาเทียซ์พูดบอกนากาไปในขณะที่เมฆหมอกหนาทึบที่ห้อมล้อมตัวรถม้าอยู่ก็ค่อยๆ เบาบางลงจนสามารถสังเกตเห็นผืนน้ำสงบนิ่งที่ปกคลุมพื้นผิวของโลกแห่งจิตใต้สำนึกนี้เอาไว้ได้

 

แต่ถึงแม้ว่าพาเทียซ์จะเห็นแบบนั้นเธอก็ไม่คิดจะที่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเมฆหมอกขมุกขมัวที่กลับมาปกคลุมโลกใบนี้เอาไว้อีกครั้งหนึ่งและเลือกที่จะนั่งเงียบๆ อยู่เคียงข้างนากาเอาไว้เพียงเท่านั้น

 

และหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง นากาที่เริ่มที่จะสงบใจลงมาได้บ้างแล้วนั้นก็ได้ยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตาของตนที่ยังเหลืออยู่และเอ่ยปากพูดกับพาเทียซ์ขึ้นมา

 

“ฉ…ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ… ขอบใจเธอมากนะพาเทียซ์…”

 

“ไม่เป็นไรหรอก… ฉันเข้าใจดีว่าการที่ต้องเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังไม่พร้อมมันเป็นเรื่องที่ลำบากขนาดไหนน่ะ… แต่นายแน่ใจหรือเปล่าว่าตัวเองพร้อมที่จะแบกรับภาระนี้ต่อไปน่ะ…? เพราะนายเองก็น่าจะได้รับรู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่าการที่จะยืนหยัดกลับมาตามที่นิลิมบอกเอาไว้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยน่ะ…”

 

เพื่อตัวลูกเอง เพื่อเพื่อนๆ ของลูก… แล้วก็เพื่อพรีมูล่าเขาด้วยนะ…

 

คำพูดของพาเทียซ์ได้ทำให้นากานึกไปถึงคำพูดที่คุณแม่เคยพูดเอาไว้กับเขาที่ห้องใต้ดินของคลินิกของอารอน และนั่นก็ทำให้นากาพยักหน้าพูดตอบพาเทียซ์กลับไปอย่างมั่นใจ

 

“อื้ม! เพราะฉันเองก็รับปากกับคุณแม่เอาไว้แล้วเพราะงั้นก็คงจะถอยจากตรงนี้ไปไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็จนกว่าโมโกะกับคอนแนลเขาจะทำใจแล้วก็กลับมายืนหยัดด้วยตัวเองได้น่ะนะ”

 

นากาพูดออกมาพร้อมกับก้มลงมองมือทั้งสองข้างของตัวเองที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถปกป้องพรีมูล่าเอาไว้ได้ แต่ว่าเขาก็ยังสามารถที่จะใช้มันช่วยประคับประคองเพื่อนคนอื่นๆ ของเขาที่กำลังอ่อนแอเอาไว้ไม่ให้ล้มลงมาได้อยู่

 

และเมื่อนากาคิดได้ดังนั้นเขาก็ได้กำมือทั้งสองข้างแน่นและเงยหน้ากลับขึ้นไปพูดกับพาเทียซ์ด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

 

“แล้วอีกอย่างนึงเพื่อนๆ ของฉันเองก็ไม่ได้มีที่ปรึกษาอยู่ในหัวเหมือนอย่างที่ฉันมีเธอด้วยนี่นะ เพราะงั้นฉันจะเป็นคนรับหน้าที่นั้นให้เพื่อนๆ ของฉันแทนเธอเอง!”

 

“….ถ้านายว่าอย่างงั้นล่ะก็นะ”

 

พาเทียซ์ที่ได้ยินคำพูดในเชิงติดตลกของนากานั้นได้หลับตาลงและพูดตอบเขากลับไปเบาๆ ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ในขณะที่นากานั้นก็ได้หันออกไปมองด้านนอกหน้าต่างเพื่อมองดูผิวน้ำนิ่งสงบที่ปกคลุมโลกแห่งจิตใต้ส้ำนึกแห่งนี้เอาไว้และพูดถามพาเทียซ์ขึ้นมา

 

“ว่าแต่… ถ้าฉันกลับเข้ามาในนี้ได้แล้วแปลว่าพวกเราสามารถกลับมาฝึกกันแบบเมื่อก่อนได้แล้วหรือเปล่าน่ะ?”

 

“จะว่าอย่างงั้นก็ไม่ผิด… แต่ฉันแนะนำว่าในตอนนี้นายเอาสมาธิกับกำลังสมองไปจัดการภารกิจของเอริกะให้เสร็จเรียบร้อยก่อนน่าจะดีกว่านะ… เพราะถ้าเกิดว่าร่างกายของนายตามการฝึกฝนในนี้ไม่ทันในระหว่างทำภารกิจอยู่ขึ้นมามันคงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่…”

 

คำถามของนากาได้ทำให้พาเทียซ์ต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบเขากลับไปเป็นเชิงปฏิเสธ แต่ถึงอย่างนั้นนากาที่รู้ตัวดีว่าตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอเมื่อเทียบกับคู่ต่อสู้ที่เขาเคยเจอมาอย่างหญิงสาวผมสีเขียวที่สามารถสร้างหอกคริสตัลขึ้นมาเพื่อใช้ในการโจมตีได้ เด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่เป็นคนฆ่าพรีมูล่า หรือว่าอย่างหญิงสาวผมแดงนามว่าไคเลอร์ที่จงใจไว้ชีวิตเขามาแล้วถึงสองสามรอบราวกับเธอกำลังเล่นสนุกอยู่นั้นก็กลับส่ายหน้ากลับไปให้พาเทียซ์และเอ่ยปากพูดเถียงกลับไป

 

“ถึงเธอจะพูดอย่างงั้นก็เถอะแต่ว่าฉันจำเป็นต้องเก่งกว่านี้ให้ได้อยู่ดี… ฉันอยากจะเก่งกว่านี้ เก่งพอที่ฉันจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาอีก…”

 

“นั่นคือสาเหตุที่นายใช้เวลาว่างในการฝึกร่างกายของตัวเองมาตลอดหลังจากวันนั้นงั้นสินะ… ทั้งในวันหยุดที่นายขอให้คอนแนลช่วยเป็นคู่ซ้อมให้… ทั้งในตอนกลางคืนที่นายออกไปฝึกคนเดียวหลังจากโมโกะกับ…’ อีฟ’ … หลับไปแล้วนั่นน่ะ…”

 

“เอ๋? เธอรู้เรื่องพวกนั้นด้วยหรอ…?”

 

นากาที่ได้ยินพาเทียซ์พูดถึงแผนการฝึกฝนในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายหายไปเพื่อพักรักษาตัวออกมานั้นได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดโดยไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของพาเทียซ์ในจังหวะที่เธอพูดชื่อของอีฟออกมาเลยแม้แต่น้อย

 

แต่ถึงอย่างนั้นพาเทียซ์ก็กลับไม่ได้มีท่าทีว่าจะพูดอธิบายอะไรออกมาเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อยและพูดตอบคำถามของเขากลับไปราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากนัก

 

“ฉันก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ… หรืออย่าบอกนะว่านายลืมไปแล้วว่าฉันคือผู้ดูแลที่นี่แล้วที่นี่มันก็คือข้างในหัวของนายเองน่ะ.. เพราะงั้นฉันก็ต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้นมานายพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้นมากขนาดไหน… ถ้าจะให้ฉันพูดจริงๆ เผลอๆ มันอาจจะมากกว่าตอนที่นายตั้งใจฝึกฝนเพื่อไปสู้กับเนลเขาอีกล่ะมั้ง…”

 

“ง…งั้นหรอ… ฉันเองก็ไม่เคยมานั่งสังเกตเรื่องพวกนี้ซะด้วยสิ… แต่เดี๋ยวนะ ถ้าเธอรู้เรื่องนั้นก็แปลว่าเธอน่าจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงอยากจะขอฝึกกับเธอเหมือนกับเมื่อตอนนั้นไม่ใช่หรอ?”

 

นากาที่คิดตามคำพูดของพาเทียซ์นั้นได้พูดถามกลับไปด้วยความสงสัยว่าทำไมทั้งๆ ที่อีกฝ่ายพูดเหมือนกับรู้ความพยายามของเขาแล้วก็ยังคงพูดปฏิเสธเขากลับมาอีก และนั่นก็ทำให้พาเทียซ์ต้องละสายตาออกมาจากทิวทัศน์ภายนอกเพื่อพูดตอบนากากลับไปตรงๆ

 

“ก็เพราะว่าในคราวนี้สิ่งที่นายจะต้องไปทำมันไม่ใช่การต่อสู้กันของพวกเด็กๆ ในสนามสอบแต่ว่าเป็นการต่อสู้จริงที่อันตรายและเสี่ยงกว่านั้นมาก… ฉันก็เลยคงจะปล่อยให้นายฝึกในนี้จนอาจจะเกิดผลกระทบต่อการเอาชีวิตรอดข้างนอกนั่นไม่ได้หรอก…”

 

“ถ้าเธอพูดแบบนั้นก็พอจะเข้าใจได้อยู่แหล่ะ…”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดอธิบายของพาเทียซ์ได้พยักหน้าตอบเธอกลับไปด้วยความเข้าใจ เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าผลของการฝึกฝนในโลกแห่งจิตใต้สำนึกแห่งนี้นั้นก็คือการที่ประสาทสัมผัสของเขาฉับไวและสามารถตัดสินใจในช่วงวินาทีคับขันของการต่อสู้ได้ไวยิ่งขึ้น แต่ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายของเขาตอบสนองมันได้ทันเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับการที่เขาสามารถสังเกตเห็นก้อนหินที่มีคนขว้างมาใส่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถหลบพ้นได้

 

หรือที่แย่กว่านั้นก็คือการที่เขาคุ้นชินว่าถ้าเหวี่ยงดาบออกไปด้วยความเร็วเท่านี้แล้วจะสามารถต่อด้วยการโจมตีอีกครั้งได้แต่ว่าร่างกายของเขากลับยังเหวี่ยงดาบครั้งแรกไม่เสร็จซะด้วยซ้ำจนเสียหลักไปเองนั่นเอง

 

ซึ่งถ้าหากว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาในระหว่างที่เขาต้องต่อสู้จริงๆ ไม่ใช่การฝึกซ้อมกับหุ่นไม้หรือว่าฝึกซ้อมการต่อสู้กับเพื่อนๆ ขึ้นมาล่ะก็ ศัตรูของเขาก็คงจะไม่ใจดีขนาดที่จะปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปอย่างแน่นอน

 

ส่วนทางด้านพาเทียซ์ที่เห็นว่านากาเข้าใจได้ง่ายๆ และไม่ได้ดื้อดึงดันจะฝึกฝนในโลกแห่งจิตใต้สำนึกให้ได้นั้นก็ได้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เธอเอ่ยปากพูดขึ้นมาตรงๆ

 

“เอาเป็นว่าถ้าร่างกายของนายพร้อมเมื่อไหร่แล้วสถานการณ์เป็นใจฉันจะเรียกนายเข้ามาฝึกข้างในนี้เองก็แล้วกัน…”

 

“เอ๋ะ?”

 

คำพูดของพาเทียซ์ได้ทำให้นากาที่เพิ่งจะเลิกคิดที่จะฝึกฝนในโลกแห่งจิตใต้สำนึกชะงักไปด้วยความแปลกใจก่อนที่เขาจะพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย

 

“ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้นี้เธอยังห้ามฉันอยู่เลยไม่ใช่หรอ ทำไมอยู่ๆ ก็พูดเหมือนกับว่าจะยอมให้ฝึกแล้วซะงั้นล่ะ?”

 

“อะไรล่ะ…? ฉันก็บอกไปตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอว่าให้นายตั้งใจทำภารกิจของเอริกะให้เสร็จก่อนน่ะ… เพราะงั้นตอนนี้นายก็ตั้งใจฝึกฝนร่างกายไปก่อนก็แล้วกัน…”

 

“เอ…? เอาเถอะ… เฮ้อ… ให้ตายสิ…”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของพาเทียซ์ที่ในตอนแรกฟังดูเหมือนจะเป็นการปฏิเสธแต่ว่าที่จริงแล้วก็เป็นคำตกลงแบบมีเงื่อนไขแบบเดียวกับที่เอริกะชอบใช้บ่อยๆ นั้นได้ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมาเพราะเขารู้สึกว่าวิธีการพูดของพาเทียซ์ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากเดิมที่เธอมักจะพูดตรงไปตรงมาหรืออาจจะถึงขั้นเรียกได้ว่าขวานผ่าซากซะด้วยซ้ำ

 

“นี่วิธีพูดของเธอเปลี่ยนไปหน่อยนึงหรือเปล่าน่ะพาเทียซ์?”

 

“ฉันลองเลียนแบบวิธีการพูดของคนอื่นๆ ที่นายคุ้นเคยด้วยดูเผื่อว่ามันจะฟังดูเป็นกันเองมากขึ้นน่ะ… มันได้ผลหรือเปล่าล่ะ…?”

 

“มันก็ได้ผลนั่นแหล่ะ แต่เธออย่าไปเลียนแบบวิธีพูดของเอริกะจะได้มั้ยเนี่ย!? แค่มีเอริกะที่ชอบพูดวนไปวนมาอ้อมโลกหลอกให้งงคนเดียวฉันก็จะแย่แล้วนะ!”

 

“ถ้านายว่าอย่างงั้นล่ะก็นะ…”

 

พาเทียซ์ยักไหล่พูดตอบนากากลับไปก่อนที่เธอจะเปิดหนังสือเก่าๆ ในมือของเธอออกและจิ้มลงไปในหน้ากระดาษสองสามทีจนทำให้แสงแดดที่ส่องสว่างทะลุม่านหมอกบางๆ ภายนอกค่อยๆ เลือนหายไปและปรากฏภาพของท้องฟ้ายามค่ำคืนที่แพรวพราวไปด้วยหมู่ดาวขึ้นมาแทน

 

ซึ่งพาเทียซ์ก็ได้ทอดสายตามองดูภาพของผืนดาวที่สะท้อนกับผิวน้ำสงบนิ่งอยู่อย่างเงียบๆ สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ประจำตัว

 

“สำหรับครั้งนี้นายใช้เวลาที่เหลือนั่งพักผ่อนไปก่อนเถอะ… หรือถ้าเกิดว่ากลับอยากออกไปเมื่อไหร่ก็บอกฉันก็ละกัน…”

 

“อื้ม…”

 

นากาที่เห็นว่าพาเทียซ์สามารถเปลี่ยนช่วงเวลาจากกลางวันเป็นกลางคืนได้ตามใจนึกได้นั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจอะไรออกมามากนักและหันออกไปมองดูผืนน้ำที่สะท้อนแสงดาวจนดูราวกับว่าพวกเขากำลังนั่งรถม้าข้ามผ่านทะเลแห่งดวงดาวอันแสนสวยงามอย่างเงียบๆ ด้วยเช่นกัน

 

ซึ่งช่วงเวลาอันแสนสงบสุขชวนผ่อนคลายนั้นก็ได้ดำเนินต่อไปอีกสักพักหนึ่งจนกระทั่งนากาตัดสินใจที่จะชวนพาเทียซ์พูดคุยขึ้นมา

 

“ว่าแต่เธอรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เธอกำลังพักรักษาตัวอยู่ด้วยหรอน่ะพาเทียซ์?”

 

“มันก็อะไรประมาณนั้น… มันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่น่ะ… เพราะงั้นฉันก็เลยรู้ได้ว่าที่ผ่านมานายทำอะไรลงไปบ้างทั้งในช่วงกลางวัน… หรือแม้แต่ตอนกลางคืน…”

 

“เดี๋ยวนะ… เธอบอกว่าตอนกลางคืนด้วยงั้นหรอ…? ถ้างั้นไอ้ที่ฉันกับโม—”

 

“หึ… ดูเหมือนว่าจะหมดเวลาแล้วล่ะ… เอาไว้เจอกันโอกาสหน้าก็ละกัน…”

 

ในขณะที่นากาที่มีท่าทีลนลานกำลังพูดถามพาเทียซ์ขึ้นมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ หญิงสาวผมสีขาวก็ได้พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ และเอ่ยปากพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่เธอจะสับสันมือเข้าใส่กลางใบหน้าของนากาจนทำให้เขาสะดุ้งและเผลอหลับตาลงเพราะไม่ทันตั้งตัว

 

“ด—เดี๋ยว—!?”

 

แปะ

 

แปะแปะ

 

แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่นากาได้รับนั้นก็กลับไม่ใช่สันมือที่พุ่งเข้ามากระแทกใบหน้าของเขา แต่ว่ากลับเป็นความรู้สึกเหมือนกับมีมือเล็กๆ ตบเข้าไปที่แก้มของเขาเบาๆ อย่างต่อเนื่องเสียแทน

 

ซึ่งนากาที่เจอแบบนั้นก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นการกระทำของใครเขาจึงได้ลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้งและพูดถามเด็กสาวผมสีขาวผู้ไม่ยอมลืมตาที่กำลังนั่งคร่อมทับร่างของเขาเอาไว้และดูเหมือนว่าจะกำลังพยายามปลุกเขาอยู่ขึ้นมา

 

“ตื่นแล้วๆ มีอะไรหรือเปล่าน่ะอีฟ?”

 

“……!!”

 

คำถามของนากาที่เพิ่งตื่นขึ้นมานั้นได้ทำให้อีฟพยักหน้ากลับมาให้เขาสองสามทีก่อนที่เธอชี้ไปทางหน้าต่างของรถม้าและสะบัดมือไปมาเหมือนกับกำลังพยายามไล่อะไรบางอย่างอยู่

 

ซึ่งเมื่อนากาลองสังเกตดูดีๆ แล้วเขาก็ได้พบว่าในบัดนี้ภายในห้องโดยสารถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหมอกควันเบาบางที่ดูเหมือนว่ามันจะกำลังหลั่งไหลเข้ามาภายในผ่านทางรอยต่อของหน้าต่างและประตูที่อีฟกำลังพยายามโบกมือไล่มันไปอยู่นั่นเอง

 

แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำของอีฟก็กลับดูเหมือนจะสูญเปล่า เมื่อหมอกควันที่อีฟเพิ่งจะตีจนมันกระจายตัวออกไปได้ลอยกลับมารวมกลุ่มกันตามเดิมจนดูราวกับว่าพวกมันพยายามที่จะแทรกตัวเข้ามาเติมเต็มที่ว่างภายในตัวรถม้าที่ไร้ซึ่งหมอกควันอย่างไรอย่างนั้น

 

“นั่นมัน… หมอกงั้นหรอ?”

 

“อ้าว ตื่นแล้วหรอครับนากา เห็นเมื่อกี้นี้ไดเอน่าจังเขาบอกว่าพวกเราเข้ามาด้านตัวเมืองแพนเทร่ากันแล้วน่ะครับ แล้วพออีฟเขาเห็นหมอกพวกนี้ทำท่าเหมือนจะไหลเข้ามาข้างในเขาก็พยายามปลุกนากามาสักพักนึงแล้วน่ะครับ”

 

คำถามของนากานั้นได้เคนซากิที่ดูเหมือนว่าจะตื่นมาสักพักหนึ่งแล้วเป็นผู้ตอบให้และนั่นก็ทำให้นากาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่เขาจะดึงตัวอีฟให้กลับมานั่งให้เรียบร้อย และพูดถามเคนซากิที่เป็นชาวเมืองแพนเทร่าขึ้นมา

 

“เอ่อ… หมอกพวกนี้มันนับว่าเป็นเรื่องปกติหรือเปล่าเนี่ยเคนซากิ?”

 

“ถ้าเรื่องหมอกล่ะก็นับว่าเป็นเรื่องปกติของเมืองแพนเทร่าในหน้าหนาวนั่นแหล่ะครับ แต่ว่านี่ก็ยังไม่ใกล้หน้าหนาวเลยแถมผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นหมอกหนาขนาดนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน…”

 

เคนซากิที่ได้ยินคำถามของนากานั้นได้พูดตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพและเป็นมิตรแบบที่เขามักจะแสดงออกต่อหน้าเพื่อนนักเรียนด้วยกัน แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเขาก็กลับขมวดคิ้วน้อยๆ และจ้องมองออกไปยังภายนอกหน้าต่างที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหมอกหนาทึบด้วยท่าทีเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด

 

ซึ่งนากาที่ได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงเชิงเป็นห่วงของเคนซากินั้นก็ได้ลองมองออกไปดูด้านนอกรถม้าดูบ้าง และนั่นก็ทำให้เขาได้พบว่าถึงแม้ตัวเมืองแพนเทร่าจะถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบจนมองหนทางเบื้องหน้าแทบไม่เห็น แต่ว่าชาวเมืองแพนเทร่าก็ดูเหมือนว่าจะยังคงใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขาได้อยู่อย่างไม่มีปัญหาอะไรมากนักจนทำให้เขาต้องพูดชมขึ้นมา

 

“เหมือนว่าชาวเมืองจะไม่แตกตื่นอะไรกันเลยนะนั่น… ว่าแต่ตอนนี้พวกเราอยู่ตรงส่วนไหนของเมืองกันแล้วน่ะเคนซากิ?”

 

“เอ่อ… ถ้าคิดว่าพวกเราเข้าเมืองมากันได้สักชั่วโมงนึงแล้วตอนนี้พวกเราน่าจะอยู่แถวๆ ย่านการค้าทางทิศใต้ของเมืองน่ะครับ อีกสักชั่วโมงนึงก็น่าจะถึงบ้านพักของคุณปู่ทวดของไดเอน่าจังแล้วน่ะครับ”

 

“เอ๋ะ? นานขนาดนั้นเลยหรอ? ตอนอยู่ที่รีมินัสฉันวิ่งแป๊บเดียวก็ออกไปถึงนอกเขตเมืองแล้วนะ”

 

“ที่จริงแล้วเมืองแพนเทร่าก็ขนาดพอๆ กับเมืองรีมินัสนั่นแหล่ะครับ แต่เห็นไดเอน่าจังบอกว่าเพราะหมอกมันหนาก็เลยให้คุณไซร่าลดความเร็วลงหน่อยจะได้ไม่เผลอไปชนใครเข้าน่ะครับ”

 

เคนซากิที่ได้ยินคำถามของนากาได้พูดตอบเขากลับไปตรงๆ ซึ่งนากาก็ได้พยักหน้ากลับไปให้เคนซากิก่อนที่เขาจะหันไปมองดูคอนแนลที่นั่งหลับอยู่ที่ข้างๆ เคนซากิเล็กน้อยและละสายตากลับมามองดูโมโกะที่นั่งหลับพิงเขาอยู่อย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะพูดถามหาไดเอน่าที่ไม่อยู่ภายในห้องโดยสารขึ้นมา

 

“ว่าแต่แล้วไดเอน่าหายไปไหนแล้วน่ะ?”

 

“ถ้าไดเอน่าจังล่ะก็เห็นบอกว่าเพราะหมอกมันหนาก็เลยออกไปช่วยคุณไซร่าคุมรถม้าอีกคนนึงตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเข้าเมืองมาแล้วล่ะครับ”

 

“อ่าหะ… แต่จะว่าไป… ‘ไดเอน่าจัง’ งั้นหรอ… ท่าทางนายจะสนิทกับไดเอน่าเขาน่าดูเลยนะนั่น”

 

“……….”

 

คำพูดของนากาในคราวนี้นั้นได้ทำให้รอยยิ้มเป็นมิตรของเคนซากิกระตุกไปเล็กน้อย แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของเขาที่นากาไม่ทันได้สังเกตเมื่อนากาได้ก้มลงไปมองโมโกะที่นั่งพิงเขาอยู่และยกมือขึ้นไปลูบศีรษะของเด็กสาวด้วยท่าทีอ่อนโยนโดยมีอีฟที่ถูกจับมานั่งบนตักกำลังใช้มือเล็กๆ ของเธอตีเข้าใส่กลุ่มหมอกที่เล็ดลอดเข้ามาภายในห้องโดยสารอยู่ด้วยท่าทีสนุกสนาน