ตอนที่ 139

Silver Overlord

139 – นิกายภูเขาวิญญาณ

เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงกลับไปที่ถนนสายหลักด้านนอกเขาก็สอบถามเส้นทางเพื่อไปนิกายภูเขาวิญญาณทันที

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เอี้ยนลี่เฉียงก็มาถึงที่ด้านนอกของสาขามณฑลหูของนิกายภูเขาวิญญาณ

ตามที่คาดไว้นิกายภูเขาวิญญาณซึ่งเป็นหนึ่งในสี่นิกายหลักในโลกนี้นั้นยิ่งใหญ่สมชื่อ เพียงสาขาประจำมณฑลหูก็ครอบครองพื้นที่อย่างน้อยสี่ร้อยมู่บนดินแดนอันทรงเกียรติอย่างยิ่งของเมืองหู

เมื่อมองจากระยะไกลที่ตั้งของภูเขาวิญญาณดูเหมือนพระราชวังขนาดใหญ่ เหนือกำแพงสูงและกระเบื้องหลังคาสีแดงมีต้นไม้เขียวชอุ่มจนดูเหมือนสัมผัสสวรรค์

อาคารและศาลาที่สูงตระหง่านและโอ่อ่าถูกซ่อนไว้ท่ามกลางเงาสีเขียวของต้นไม้เหล่านั้น

ทางเข้าสาขานิกายภูเขาวิญญาณเหมือนกับประตูเมืองเมืองหูขนาดเล็ก มันหันหน้าไปทางจัตุรัสสาธารณะที่กว้างใหญ่

ในเวลานี้เด็กหนุ่มสาวมากกว่าหนึ่งพันคนมารวมตัวกันที่ด้านนอกทางเข้า พวกเขาเข้าแถวยาวหลายแถวจนต่อออกมาด้านนอกของภูเขา

เอี้ยนลี่เฉียงก็เคยเห็นสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ ในระหว่างลงทะเบียนสอบราชการในชาติก่อนของเขา

อีกด้านหนึ่งของพื้นที่ลงทะเบียน มีคนสองสามร้อยคนเข้าแถวอยู่ที่นั่น ขั้นตอนการลงทะเบียนเป็นกระบวนการคัดเลือกรอบแรก

ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติจะได้รับแผ่นป้ายจากพื้นที่ลงทะเบียนและเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกรอบต่อไป ผู้สมัครที่ไม่มีคุณสมบัติทั้งหมดจะถูกตัดออกไประหว่างการลงทะเบียน

เอี้ยนลี่เฉียงมาที่พื้นที่ลงทะเบียน เขาเข้าแถวที่ด้านหลังสุดเพื่อรอเวลาให้ถึงคิวของตัวเอง

ทันทีที่เอี้ยนลี่เฉียงมาถึง เขาก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากฝูงชนที่มารวมตัวกันในพื้นที่ลงทะเบียน มีคนมากมายที่หันมามองเอี้ยนลี่เฉียง ดวงตาของหญิงสาวพวกนั้นส่องสว่างขึ้นเมื่อมองเห็นเขา

“ยินดีที่ได้รู้จักพี่ท่าน ข้าชื่อลู่เหวินกัง วันนี้ข้ามาลงชื่อสมัครเป็นศิษย์ของสาขานิกายภูเขาวิญญาณ จะให้เรียกพี่ท่านว่าอย่างไรดี?”

คนที่ต่อแถวที่อยู่ด้านหน้าเอี้ยนลี่เฉียงมีอายุไม่แตกต่างจากเขามากนัก เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์

“เอี้ยนลี่เฉียง ยินดีที่ได้รู้จักสหาย!” เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มให้เขา

“พี่ชาย เจ้าไม่ใช่คนจากมณฑลหูใช่ไหม”

“ไม่ใช่…”

“ข้าก็ไม่ใช่เช่นกัน บ้านของข้าอยู่ที่แคว้นกาน พ่อของข้าส่งข้ามาที่นี่ตั้งแต่เดือนที่แล้วเพื่อมาสมัครสอบที่นี่โดยเฉพาะ’

“โดยปกติแล้วที่นี่จะไม่ค่อยรับนักเรียนอย่างนั้นหรือ?

“แน่นอน ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาทำก็เป็นเมื่อสามปีที่แล้ว โอกาสแบบนี้หาได้ยากมาก พี่ชายเจ้าผ่านขั้นตอนท่าม้าแล้วหรือยัง…?”

“ใช่ ข้าผ่านแล้ว…”

“ดีแล้ว เจ้าเห็นคนสองสามร้อยคนที่อยู่ตรงนั้นหรือไม่พวกเขาเป็นผู้ที่ไม่ผ่านขั้นตอนท่าม้าพวกเขาจึงถูกคัดออกทันที!” ลู่เหวินกังหันไปพูดกับเอี้ยนลี่เฉียงจากนั้นก็กระพริบตา

“อันที่จริง ข้าเพิ่งผ่านด่านนั้นไปได้เมื่อสองเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม แรงจูงใจของข้าในการเข้าร่วมนิกายภูเขาวิญญาณไม่ใช่เรียนรู้วิชาการต่อสู้จากพวกเขา…”

“แล้วเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไรพี่ลู่?” เอี้ยนลี่เฉียงถามด้วยความสงสัย

ลู่เหวินกังเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยความชื่นชม

“ปรมาจารย์ประจำห้องโถงพันวิศวกรรมแห่งนิกายภูเขาวิญญาณจางโหย่วหรง คือช่างฝีมือที่ดีที่สุดในโลก ด้วยอายุเพียงสามสิบปี เขาได้ประดิษฐ์นกไม้ที่บินได้ซึ่งสามารถบินอยู่บนฟ้าได้หลายชั่วยามโดยไม่ต้องลงจอด นั่นเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกเขาคือต้นแบบในชีวิตข้า”

เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มให้เขาอย่างเข้าใจ “ขอให้พี่ลู่โชคดี หวังว่าจะได้เข้าไปในสาขาหลักของนิกายภูเขาวิญญาณในอนาคตอันใกล้…”

“ขอบคุณ ความฝันของข้าคือการได้ประดิษฐ์วัวไม้สักวันหนึ่ง ถ้าวัวไม้ซึ่งไม่ต้องการอาหารและทำงานให้กับคนในทุ่งนาและขนส่งสินค้าได้ จะช่วยลดภาระงานของคนจนให้มีฐานะร่ำรวยได้ จะไม่วิเศษหรือ?”

“ฟังดูดีมาก เป็นความคิดที่ดี!” เอี้ยนลี่เฉียงยิ้ม เขาไม่ได้บอกลู่เหวินกังว่าวัวไม้ในฝันของเขาสร้างได้ไม่ยาก สิ่งที่เขาต้องการคือเครื่องจักรไอน้ำเท่านั้น

อย่างไรก็ตามเครื่องจักรทั้งหมดสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและผลผลิตได้เท่านั้น เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะเปลี่ยนธรรมชาติของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและความขัดแย้งทางชนชั้นทางสังคม

แม้จะมีการประดิษฐ์วัวไม้ขึ้นมาได้คนจนก็ยังจะยากจนและคนรวยก็ยังคงรวยอยู่เหมือนเดิม

เมื่อได้ยินคำชมขอเอี้ยนลี่เฉียงต่อความคิดของเขา ลู่เหวินกังดูเหมือนจะได้พบกับสหายที่มีความคิดตรงกัน จู่ๆเขาก็อารมณ์ดีและเริ่มพูดพล่ามเกี่ยวกับวิศวกรรมซึ่งเขาหมกมุ่นอยู่

พวกเขาเข้าคิวนานกว่าครึ่งชั่วยาม คนที่ได้รับแผ่นป้ายก็จะไปเข้าแถวอีกแถวหนึ่งด้วยความตื่นเต้น ขณะที่คนที่ไม่ผ่านคุณสมบัติขั้นต้นเขาจะถูกไล่ออกไปทันที

เมื่อถึงตาของลู่เหวินกังเขาได้ให้รายละเอียดส่วนบุคคล เช่น ตระกูล บ้านเกิด และที่อยู่ของเขา ผู้ดำเนินการลงทะเบียนตรวจสอบความแข็งแกร่งของเขาก่อนจะพยักหน้าและมอบแผ่นป้ายให้

“พี่เอี้ยนข้าจะรอเจ้าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง!” ลู่เหวินกังกล่าวอย่างร่าเริง

หลังจากนั้นก็ถึงตาของเอี้ยนลี่เฉียง

“ชื่อ?”

“เอี้ยนลี่เฉียง”

“อายุ?”

“สิบสี่…”

“บ้านเกิด ที่อยู่ ชื่อและงานของพ่อแม่เจ้า?”

หยาน ลี่เฉียง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง…

เมื่อสังเกตความลังเลของเอี้ยนลี่เฉียงเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนก็จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาดุดัน

“ขอเตือนเจ้าหากได้เป็นลูกศิษย์ของนิกายภูเขาวิญญาณพวกเราจะส่งคนไปหาที่อยู่ของเจ้าเพื่อสอบถามถึงตัวตน พวกเราไม่อาจรับสายลับของคนเถื่อนเข้ามาเรียนที่นี่ได้ หากเจ้าปกปิดตัวตนเจ้าจะถูกสังหารทันที”

เอี้ยนลี่เฉียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ข้าไม่มีบ้านตัวข้าร่อนเร่มาแต่เด็ก”

“แล้วใครเลี้ยงเจ้า”

“ขอทานชราเขาเสียไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน!”

ชายคนนั้นหันไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่อีกคนก่อนจะส่ายศีรษะแล้วบอกว่า

“นิกายภูเขาวิญญาณไม่รับคนที่มีพื้นหลังไม่ชัดเจน เจ้าออกไปได้ คนต่อไปเข้ามา!”