ตอนที่ 138

Silver Overlord

138 – เข้าเมืองหู

ในคืนนั้นเอี้ยนลี่เฉียงฝันร้ายจนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา ความเจ็บปวดจากการตายของเอี้ยนเต๋อชางจะหลอกหลอนเอี้ยนลี่เฉียงตลอดไป

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเอี้ยนลี่เฉียงก็อดไม่ได้ที่จะจมลึกลงไปในการตำหนิตัวเองและเสียใจทุกครั้งที่เขานึกถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้น…

หากเพียงสำนึกในความชอบธรรมของเขาไม่แข็งแกร่งนักสำหรับเขาที่จะต่อสู้กับชาวชาตูเหล่านั้น… หากเพียงแต่เขาไม่ใช้ทางลัดเหล่านั้นในวันนั้น… ถ้าเพียงแต่เขาไม่เข้าไปในอุโมงค์นั้น

ผลลัพธ์สุดท้ายจะแตกต่างออกไปหรือไม่? เอี้ยนเต๋อชางจะยังมีชีวิตอยู่ไหม? มี ‘ถ้าอยู่ในใจของเอี้ยนลี่เฉียง’ มากเกินไป

เอี้ยนลี่เฉียงเช็ดใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเขา เขายืนขึ้นโดยไม่พูดอะไรแล้วเดินไปที่ถนนสายหลัก

เขาต้องมีพลังมากขึ้น ต้องมีพลังเท่านั้นถึงจะสามารถโค่นศัตรูลงได้

เอี้ยนลี่เฉียงกำหมัดแน่น…

คนทั้งเมืองได้ตื่นขึ้นแล้วและผู้คนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับวันทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ เอี้ยนลี่เฉียงเดินตามทางที่เขามาเมื่อวานนี้และออกจากเมืองเล็กๆ

เมื่อเขาไปถึงถนนสายหลักด้านนอก เขาใช้กิ่งไม้ของเขาเป็นไม้เท้าเดิน และค่อยๆเดินไปที่เมืองหู

ถนนระหว่างเมืองเล็กๆกับเมืองหูมีเพียงหกถึงเจ็ดพันวาเท่านั้น เอี้ยนลี่เฉียงเดินต่อไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ก่อนที่เขาจะพบว่าตัวเองอยู่นอกเมืองหูอีกครั้งเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นอย่างสมบูรณ์

ประตูเมืองของมณฑลหูเปิดกว้าง มีการจราจรไม่ขาดสายไหลผ่าน คนขายผักและพ่อค้ากำลังเข้าแถวที่ทางเข้าเมือง พร้อมที่จะเข้าเมือง

โดยไม่คาดคิดเอี้ยนลี่เฉียงสังเกตเห็นคนอื่นๆสองสามคนที่แต่งตัวคล้ายเขา—เสื้อผ้าของพวกเขาขาดรุ่งริ่ง พวกขอทานหน้าเปื้อนฝุ่นก็เข้าคิวเข้าเมืองเหมือนกัน

ดูเหมือนพวกเขาจะเข้าไปขออาหาร พวกเขาน่าจะได้อาหารในเมืองมากกว่าข้างนอก

นอกจากทหารกลุ่มหนึ่งที่ทางเข้าเมืองแล้ว ชายอีกสองคนในวัยสามสิบก็กำลังมองทุกคนที่เข้าเมืองด้วยดวงตาแดงก่ำ

เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมเหมือนกันหมดกับชายอีกสองคนที่ถูกเอี้ยนลี่เฉียงฆ่าทิ้งเมื่อคืน ไม่เพียงแต่เครื่องแต่งกายเท่านั้น แต่รัศมีของพวกมันยังคล้ายคลึงกันอีกด้วย ชายสองคนนี้ที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าเมืองส่งกลิ่นอายที่ของพวกเขาโหดเหี้ยมเช่นเดียวกันกับพวกอันธพาลที่ตลาด

เอี้ยนลี่เฉียงใช้เพียงหางตาก็สามารถมองเห็นว่าคนพวกนี้ต้องมาจากหอคอยพระจันทร์อย่างแน่นอน

เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงตามคนอื่นๆเข้าไปในเมืองและเผชิญหน้ากับพวกเขา ทั้งคู่ก็เหลือบมองเอี้ยนลี่เฉียงเพียงครั้งเดียวก่อนที่จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนอากาศและสนทนากันต่อด้วยความเคร่งเครียด

“เจ้าคิดว่าพวกอู๋เต้าจะเป็นอะไรหรือเปล่า…:”

“ใครจะไปรู้ล่ะ พวกเขาทำงานรับใช้นายน้อยมานานการส่งไปจัดการกับเด็กหนุ่มอายุ 14-15 เพียงคนเดียวไม่น่าจะมีปัญหามากนัก…”

“ให้ตายสิ! ข้ายืนอยู่ที่นี่มาหลายชั่วยามแล้วพวกมันไปตายที่ไหนกันหมด.”

“ข้าได้ยินว่านายน้อยฟู่ต้องการเด็กคนนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อคืนเขาอาละวาดทุบตีผู้คนตลอดทั้งคืน”

“นายน้อยฟู่เป็นผู้อุปถัมภ์ที่สำคัญที่สุดของหาคอยจันทราไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องที่เราสามารถยุ่งเกี่ยวได้!”

ขณะดักฟังการสนทนาของพวกอันธพาลที่อยู่ข้างหลังเขาเอี้ยนลี่เฉียงหยุดอยู่หน้าช่องเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าเมืองและส่งเหรียญทองแดงสามเหรียญจากแขนเสื้อลงไปในกล่อง

เมืองที่อยู่ข้างหน้าเขาค่อนข้างเป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เขาอาจเผชิญการเข้าสู่นิกายภูเขาวิญญาณเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากกว่า

หากเขาไม่เข้าร่วมนิกายใหญ่เหล่านี้และได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ มันจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพัฒนาตัวเองจนสามารถแก้แค้นได้สำเร็จ

เพื่อเห็นแก่โอกาสนี้เอี้ยนลี่เฉียงยินดีที่จะเสี่ยง

ทันทีที่เขาเดินผ่านประตูเมืองหูเอี้ยนลี่เฉียงก็ได้รับการต้อนรับจากถนนที่พลุกพล่านและมีชีวิตชีวา สองข้างทางของถนนเต็มไปด้วยอาคารขนาดใหญ่ที่ประดับประดาอย่างหรูหราสูงอย่างน้อยเจ็ดชั้น

บนถนนคนเดินเท้าและรถม้าใช้ช่องทางแยกจากกัน ช่องจราจรกว้างพอที่จะวางรถม้าสิบคันไว้ข้างกัน สินค้าที่ขายในร้านค้าริมถนนเป็นนิทรรศการที่สวยงามตระการตาซึ่งมีทุกสิ่งที่ทุกคนต้องการ

ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองมณฑลหูเหนือกว่าเมืองผิงซีเกือบสิบเท่า

เอี้ยนลี่เฉียงเดินไปรอบๆเมืองหูโดยไม่สนใจใดๆ การปรากฏตัวของเขาทำให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าขอทาน ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจกับตัวเขาอีก

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามเอี้ยนลี่เฉียงพบว่าตัวเองอยู่บนถนนที่ค่อนข้างเงียบสงบในเมือง ก่อนที่เขาจะค้นหาร้านเสื้อผ้าและรองเท้าของผู้ชาย

ไม่มีลูกค้ารายอื่นในร้านยกเว้นเจ้าของร้านอ้วนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะคิดเงินทางเข้าร้าน เขาเฝ้าดูคนเดินถนนอย่างใจจดใจจ่อ

เอี้ยนลี่เฉียงเหลือบมองสินค้าในร้านก่อนจะเดินเข้าไป

“ออกไป ออกไป ออกไป…” ทันทีที่เจ้าของร้านอ้วนเห็นเอี้ยนลี่เฉียงเข้ามา ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจ

เขาออกมาจากด้านหลังโต๊ะคิดเงินทันทีและไล่เอี้ยนลี่เฉียงออกไปข้างนอกด้วยความรำคาญ

“ยังเช้าอยู่ ไม่มีแม้แต่ลูกค้าเข้ามา เจ้าจะนำความโชคร้ายมาให้ข้าในวันนี้!”

“ใครบอกว่าข้ามาที่นี่เพื่อขออาหาร?” เอี้ยนลี่เฉียงมองเจ้าของร้านก่อนจะหยิบเงินสองสามเหรียญออกมาแล้วกระแทกกับกลับโต๊ะคิดเงินเสียงดัง

“ข้ามาซื้อเสื้อผ้า”

เมื่อเห็นเงินใบหน้าของเจ้าของร้านก็เปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าและความโกรธของเขาก็หายไปอย่างสมบูรณ์

“เป็นความเข้าใจผิดกันเท่านั้น! ยินดีต้อนรับนายน้อยท่านนี้
มีเสื้อผ้าสำเร็จรูปหลากหลายให้เลือกในร้าน ตั้งแต่เสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุหยาบกร้านไปจนถึงเสื้อคลุมผ้าไหมคุณภาพสูง ไม่ว่าจะระดับใดพวกเรามีทั้งหมด

เอี้ยนลี่เฉียงใช้เวลาเพียงไม่นานในการเลือกชุดสำหรับตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ทุกอย่างเท่าไหร่?”

เจ้าของร้านคำนวนด้วยลูกคิดอย่างเสียงดัง

“เสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า และหมวกเหล่านี้ถือเป็นสินค้าที่ดีที่สุดในร้านของเรา หากท่านต้องการทั้งหมดเราสามารถลดให้สิบเจ็ดเหรียญทองแดง รวมทั้งสิ้นสามเหรียญเงินถ้วน”

สามเหรียญเงิน แม้ว่าจะฟังดูไม่มากนัก แต่ก็ไม่ถูก เงินห้าหรือหกเหรียญเพียงพอสำหรับครอบครัวที่มีฐานะปานกลางสี่คนที่จะมีชีวิตอยู่ได้หนึ่งปี ราคาของชุดนี้ที่เอี้ยนลี่เฉียงเลือกก็เพียงพอแล้วสำหรับครอบครัวโดยที่มีฐานะปานกลางที่จะอยู่ได้ครึ่งปี

“ขอเปลี่ยนชุดในร้านของเจ้าได้ไหม”

“ได้สิ มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสองห้องอยู่ด้านหลัง…” เจ้าของร้านตอบทันที

“ดี ข้าจะจ่ายเงินให้เจ้าสี่เหรียญ แต่ข้าต้องการน้ำสามถังเพื่อมาชำระร่างกาย”

“อ-เอ่อ… ข้าเกรงว่าร้านเล็กๆที่ต่ำต้อยของเราไม่สามารถหาน้ำร้อนมากขนาดนั้นได้ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้…”

“น้ำธรรมดาก็พอแล้วไม่ต้องเป็นน้ำร้อน”

น้ำปริมาณมากขนาดนี้แทบหาได้จากบ่อในสวนหลังบ้านของทุกคน เมื่อเจ้าของร้านคิดว่าเขาจะสามารถหาเงินจากน้ำเพียงสองถัง รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที

ในเวลาไม่ถึงสองก้านธูป เอี้ยนลี่เฉียงซึ่งเพิ่งอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เขาแทบจะจำตัวเองไม่ได้เมื่อเห็นเงาสะท้อนในกระจก

เอี้ยนลี่เฉียงดูเหมือนเป็นคนใหม่ เขาสวมหมวกสีม่วง คาดศีรษะด้วยผ้าไหมสีแดงขนนกสีเหลืองอำพัน และเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินทำด้วยผ้าไหมพร้อมกางเกงเข้าชุดกัน

ใต้เสื้อคลุมมีชุดเสื้อกั๊ก และเสื้อกล้ามครบชุด เอวของชุดถูกมัดด้วยเข็มขัดสีเงินประดับด้วยหินสีแดง เท้าของเขาถูกคลุมด้วยรองเท้าหนังกวางหนาคู่หนึ่ง

ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้มันทำให้ใบหน้าและบุคลิกของเขาสูงๆขึ้นกว่าเมื่อวานหลายเท่าตัว เอี้ยนลี่เฉียงก็พอใจมากเช่นกันเมื่อเห็นเงาสะท้อนของเขาในกระจก

เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงออกมาจากห้องอีกครั้ง เจ้าของร้านก็มึนงงและแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าขอทานจากเมื่อก่อนจะกลายเป็นนายน้อยที่หล่อเหลาถึงขนาดนี้

“เถ้าแก่เสื้อผ้าที่อยู่หลังร้านของข้าเจ้านำไปเผาทิ้งให้ด้วย!”

“แปลกจัง นายน้อยคนนี้เล่นกลหรือเปล่า…?” เจ้าของร้านพึมพำกับตัวเองขณะมองดูเอี้ยนลี่เฉียงจากไป