ตอนที่ 291 คนจิตใจดีมีเมตตา ตอนที่ 292 ปัญหายิ่งน้อยยิ่งดี

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 291 คนจิตใจดีมีเมตตา?

ปรากฏว่าเป็นไปตามที่คาดคิดไว้ แสงสีทองกะพริบวูบวาบ!

ซ่งอิงสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งจึงสงบนิ่งลง

อย่างน้อยก็เคยเห็นปีศาจมาหลายตนแล้ว เคยพบเห็นอะไรมานักต่อนัก จะส่งเสียงโหวกเหวกได้ที่ไหนกัน…

แต่ซ่งอิงอดกลั้นไม่ได้ หนังตากระตุกขึ้นมาคล้ายเป็นลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องบางอย่าง

แม่นางทั้งสองคนเป็นปีศาจทั้งคู่หรือไม่ ซ่งอิงไม่กล้าฟันธง

แต่คนที่ดูสดใสร่าเริงหน่อย สวมเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผู้นั้นต้องใช่แน่ อีกทั้งน่าจะเป็นปีศาจที่ตัวใหญ่ทีเดียวเชียว ไม่เช่นนั้นคงไม่กดต้าไป๋ของนางจนก้าวเดินไม่ออก

ส่วนแม่นางอีกคน…

แม่นางผู้นั้นผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้านมาก ตามเนื้อตัวแค่มอมแมมเล็กน้อย นางสวมชุดกระโปรงยาวผ้าพลิ้วสีเขียวหยก แม้ขาดวิ่นไปหลายจุด แต่ดูแล้วเนื้อผ้าไม่เลวทีเดียว อย่างน้อยก็ดีกว่าที่เสี่ยวชิง พ่อหนุ่มน้อยกบเขียวของบ้านนางสวมใส่

ในมุมมองนาง เสี่ยวชิงเคยเห็นโลกภายนอกมาไม่น้อย แต่ในฐานะปีศาจ เขาค่อนข้างยากจน

ตัวตนอย่างปีศาจพวกนี้ค่อนข้างหัวรั้น ยึดติดแต่อะไรเดิมๆ ไม่เหมือนนางที่วันๆ คิดแต่ว่าจะหาเงินได้อย่างไร อย่างเช่นภูตโสม สำหรับมัน เห็ดหลินจือและผักกาดขาวมีค่าเท่ากัน ได้มาก็สามารถยกให้คนอื่นได้ แต่ความคิดประเภทจะเอาไปขายเปลี่ยนเป็นเงินกลับแทบไม่เคยมีมาก่อน

ดังนั้นซ่งอิงจึงรู้สึกประหลาดใจมาก หากแม่นางผู้นี้เป็นปีศาจเช่นกัน แล้วนางเป็นปีศาจอะไร หาเงินได้อย่างไร ถึงขั้นซื้ออาภรณ์ดีๆ ขนาดนี้ได้

“เจ้าวางใจเถิด เรานั่งรถเกวียนลาคันนี้ใช้เวลาไม่นานก็ถึงตัวเมืองแล้ว เจ้าส่งข้าไปหาหมอ จากนั้นข้าส่งเจ้ากลับบ้าน ดีเยี่ยมเลยใช่หรือไม่” แม่นางที่สวมใส่ชุดซึ่งตัดเย็บจากผ้าป่านกล่าว

แม่นางชุดเขียวหยกพยักหน้า น้ำเสียงอู้อี้ดุจยุงก็ไม่ปาน “ขอบคุณน้องสาว”

“ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ว่าผู้ใดเจอเรื่องแบบนี้ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว นับประสาอันใดกับ…” แม่นางชุดผ้าป่านชะงักไป ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เรื่องของข้าเจ้าคงไม่เอาไปพูดให้ทั่วกระมัง”

แม่นางชุดเขียวหยกหน้าตาตื่นลนลาน “ไม่ ข้าไม่พูดหรอก!”

“ข้าเชื่อเจ้า เจ้ารูปลักษณ์งดงามขนาดนี้ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา” แม่นางชุดผ้าป่านกล่าว

ซ่งอิงอยู่ข้างหน้า สบถฮึเบาๆ

ปีศาจโง่เขลาตนนี้มาจากไหน คงได้พบเห็นโลกภายนอกมาไม่เท่าไรสินะ?

รูปลักษณ์งดงามคือคนจิตใจดีมีเมตตา?

ทว่าได้ยินคำพูดของพวกนาง ซ่งอิงก็พอคาดเดาในใจได้แล้ว แม่นางชุดเขียวหยกน่าจะเป็นคน อีกทั้งไม่ได้คุ้นเคยกับปีศาจตนนี้แต่อย่างใด ส่วนที่ว่ารู้ตัวตนของปีศาจตนนี้หรือไม่…

ซ่งอิงไม่มั่นใจเช่นกัน แต่คิดว่าอาจจะรู้

“ท่านป้า สร้อยลูกปัดเขาวัวนี้ท่านอย่าได้เอาไปจำนำเชียวนะ นั่นเป็นของดี ป้องกันปีศาจชั่วร้ายได้จริงๆ นะเจ้าคะ” แม่นางชุดป่านชะโงกศีรษะมาบอกกล่าว

ซ่งอิงหนังตากระตุก “ตกลง”

ในสมองเริ่มครุ่นคิดให้วุ่นวายสับสน

ชั่วชีวิตนี้ ต่อให้นางไม่มองใจกลางฝ่ามือ ยามที่เห็นปีศาจก็มักเกิดลางสังหรณ์ที่ค่อนข้างชัดเจนไม่น้อย…

ชีวิตก่อนนี้เล่า? ตอนนั้นนางไม่มีความสามารถเช่นนี้ แต่ก็เคยเห็นปีศาจมาแล้วไม่น้อยไม่ใช่หรือ เพียงแต่มองไม่ออก?

เมื่อคิดอย่างนี้ ซ่งอิงก็ค่อนข้างหวาดกลัว

ตอนยังศึกษาเล่าเรียนเคยเจอคนที่วิ่งและกระโดดไกลได้เก่งกาจสุดๆ ไม่แน่ว่า…จะเป็นบรรพบุรุษเดียวกับชิงเหลียน ปีศาจกบเขียวบ้านนาง ใช่แล้ว ทั้งยังเคยเจอคนที่กลิ่นตัวแรงเป็นพิเศษ อาจเป็นไปได้ว่าเปลี่ยนร่างมาจากพังพอน แล้วก็มีผู้ชายที่หน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเคราน่ากลัวเหล่านั้น ไม่แน่ว่าจะเป็นหมี

ซ่งอิงถอนหายใจ

นี่หากอยู่ภพชาติที่แล้ว คงต้องไปพบจิตแพทย์ และอาจต้องอยู่โรงพยาบาลจิตเวชสักสองสามปีด้วย

เดิมทีพวกนางก็อยู่ไม่ห่างจากเมืองยงเท่าไร ไม่ถึงสองชั่วยาม คนทั้งสามพร้อมลาหนึ่งตัวก็มาถึง

ซ่งอิงเพิ่งมาเมืองยงเป็นครั้งแรก สิ่งแรกที่เข้าสู่สายตาก็คือความอลังการโอ่อ่า

กำแพงเมืองนั่นสูงตระหง่านและหนาเตอะกว่าอำเภอหลี่ เงยหน้ามองไปเห็นทหารอารักขาบนกำแพงเมืองก็ให้รู้สึกน่าเกรงขามไม่น้อย มิหนำซ้ำยังมีถนนหนทางที่กว้างขวางและสะอาดสะอ้านกว่าหน่อย ผู้คนก็เยอะกว่ามาก

แม่นางทั้งสองคนลงจากรถทันที แม่นางชุดผ้าป่านกล่าวขึ้นมา “ไว้เจอกันใหม่ท่านป้า” ส่วนแม่นางอีกคนแทบจะไม่หันกลับมามองก็ว่าได้ ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะเห็นนางนั่งรถลามาก็ไม่ปาน

ตอนที่ 292 ปัญหายิ่งน้อยยิ่งดี

ซ่งอิงใช้ปลายนิ้วแตะที่ปาก มองแผ่นหลังอันผอมบางของแม่นางในชุดผ้าป่านคนนั้น เกิดความรู้สึกว่าเด็กคนนี้ค่อนข้างซื่อไปหน่อย

“ต้าไป๋ เราตามไปดูหน่อยเป็นไร?” ซ่งอิงลังเลเล็กน้อย

นางต้องประสาทไปแล้วแน่

หากคนอื่นเห็นปีศาจ คงกระโดดโหยงแล้ววิ่งหนีไปในชั่วพริบตา แต่นางล่ะ ยังคิดจะเข้าหาอย่างหน้าตาเฉย ถึงขั้นรู้สึกอยากปกป้องเจ้าปีศาจตนนั้นอีก!

นางเป็นใครกัน? ก็แค่คนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ยังริคิดปกป้องปีศาจ? นี่บ้าไปแล้วเห็นๆ

ซ่งอิงขมวดคิ้วนิ่วหน้า พลันคิดว่าข้อเสียนี้ของตนน่าจะเป็นเพราะช่องว่างระหว่างมิตินั่น

น้ำและต้นไม้ในช่องว่างระหว่างมิติเหล่านั้นค่อนข้างแปลกประหลาด

ตัวอย่างเช่นน้ำผ่านจิต แม้ทำให้พืชผลเจริญเติบโตมีชีวิตชีวาและแข็งแรงยิ่งขึ้น แต่จะว่าไปแล้ว พืชที่โตขึ้นมาจะยิ่งเป็นที่ชื่นชอบของปีศาจอย่างที่ภูตโสมกล่าวไว้ มิหนำซ้ำยังช่วยชะล้างพลังวิญญาณและยกระดับสติปัญญาให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้นด้วย…

ต้นไม้ในนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ก่อนหน้านี้ยังดูดซับดวงจิตปีศาจปลาดุกเข้าไป

ซ่งอิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย

เรื่องยิ่งน้อยยิ่งดี ไปหาอาสี่อย่างที่วางแผนไว้จะดีกว่า อีกทั้งเพิ่งเข้าเมืองมา สักเดี๋ยวจะต้องหาที่พัก นางเตรียมตัวหาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดสักแห่งและจองชั้นบนสักห้อง ถึงอย่างไรใต้เท้าฮั่วผู้นั้นก็เป็นคนจ่าย นางจะเกรงอกเกรงใจเกินไปคงไม่ดี

อาสี่เขียนจดหมายถึงนางเมื่อสองวันก่อน ซึ่งก็ได้บอกกล่าวที่อยู่ให้นางทราบแล้ว

ซ่งอิงสอบถามเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าถนนนั้นอยู่ที่ใด จากนั้นก็พาต้าไป๋ไปด้วยกัน

สมกับเป็นเมืองยง อำเภอหลี่ถึงขั้นเทียบชั้นไม่ติด ถนนหนทางที่นี่มีรถม้าที่ดูหรูหราไม่น้อยเลย เมื่อก่อนลาของนางเดินตามถนนของอำเภอหลี่ถือเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากและดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อยแล้ว ครั้นมาอยู่เมืองยงยิ่งดูโกโรโกโสเข้าไปใหญ่

ต่อให้เป็นถนนธรรมดาทั่วไปก็มีรถม้าผ่านไปมาจำนวนไม่น้อย ม้าขาวของคนอื่นเขาดูสง่างามมีราศีจริงๆ

“ต้าไป๋ ส่วนหัวของเจ้ายังยาวได้อีกหน่อยหรือไม่ หากเทียบกับเขาไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียใจไปหรอก ต่อไปเราก็หาราชาม้าขาวสักตัว จะได้ให้กำเนิดล่อที่ตัวสูงกำยำสักตัวหนึ่งก็ใช้ได้เหมือนกัน” ซ่งอิงลูบขนต้าไป๋ กล่าวปลอบใจ

“ฟู่…” ต้าไป๋พ่นลมออกทางจมูก ไม่รู้ว่าโกรธหรือไม่

ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงที่หมายเสียที

ซ่งอิงรู้อยู่แล้วว่าอาสี่นางจัดการธุระได้รวดเร็ว นี่เพิ่งกี่วันเอง? ก็ทำร้านค้าออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

ตั้งชื่อได้ไม่เลวเช่นกัน ชื่อว่าร้านเซียนเส้อ ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าอาสี่ของนางที่หยาบคายระดับนั้นจะตั้งชื่อที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนกินใจได้เพียงนี้ เกือบทำให้นางขนลุกขนชันไปทั้งตัว

ในร้านเซียนเส้อค่อนข้างเรียบง่าย อย่างไรพวกเขาก็ขายสินค้าแค่ชนิดเดียว

ซ่งอิงกวาดตามอง คิดว่าโล่งเกินไปแล้ว

สินค้าน้อยเกินไป ไม่ค่อยดึงดูดผู้คน

“มาแล้วหรือ” ซ่งหม่านซานเงยหน้ามองก็เห็นนาง “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าไว้เจ้ามาจะปรึกษาหารือกับเจ้าสักหน่อยอยู่พอดี”

“เรื่องอันใดหรือ คิดจะขายของอย่างอื่นในร้านนี้ด้วยใช่หรือไม่” ซ่งอิงกวักมือให้เสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ด้านในจูงลาของนางไปลานกว้างด้านหลัง “ในถุงสัมภาระมีหัวไชเท้าอยู่ รบกวนพี่ชายช่วยป้อนให้ที ส่วนหญ้าแห้งและน้ำก็ให้ตามธรรมดาเป็นอันใช้ได้แล้ว”

ซ่งหม่านซานรู้สึกว่าซ่งอิงพิลึกคน “ลาเลือกกินด้วยหรือ ที่นี่ไม่ว่าอะไรก็หาซื้อได้ทั้งนั้น นี่อุตส่าห์ขนหัวไชเท้าจากหมู่บ้านมาด้วยเลย?”

“อาสี่ ท่านไม่รู้อะไร ต้าไป๋ชอบกินเจ้าสิ่งนี้ หากท่านให้หัวไชเท้ามัน มันจะหัวเราะให้ท่านฟังด้วย” ซ่งอิงคลี่ยิ้ม

“หัวเราะ?” ซ่งหม่านซานเดินเข้าไป หัวเราะเยาะแล้วกล่าว “เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือไร ก็แค่ลาตัวหนึ่ง ยังจะขายหัวเราะได้ด้วยหรือ”

“เช่นนั้นท่านลองดูสิ? เราพนันกันสิบตำลึงเงิน ตกลงหรือไม่” ซ่งอิงขยิบตา

แต่ซ่งหม่านซานไม่ใช่คนโง่เง่า ซ่งอิงกล้าพนันโดยไม่ลังเลขนาดนี้ ก็หมายความว่าลาตัวนี้หัวเราะได้จริงๆ

ลาน่ะ…เสียงที่มันร้องออกมาค่อนข้างประหลาดทีเดียว

“ข้าให้เจ้าสิบอีแปะ ซื้อหัวเราะของมัน ส่วนเรื่องพนันขอไม่ดีกว่า อาสี่อย่างข้าไม่ใช่คนเที่ยวพนันสุ่มสี่สุ่มห้าระดับนั้น” ซ่งหม่านซานหาทางกู้หน้าตนเอง