บทที่ 236 คุกน้ำ

สุดยอดชาวประมง

บทที่ 236 คุกน้ำ

บทที่ 236 คุกน้ำ

ไม่ทันไรเขาก็ถูกบังคับให้เข้าไปในห้องๆ หนึ่งในนั้นมีผู้หญิงที่ค่อนข้างยั่วยวนใจ 2 คนอยู่ ตัวห้องไม่ได้ใหญ่โตเกินไปนัก ขนาดประมาณ 7-8 ตารางเมตร ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การตกแต่งหรือการประดับประดาของที่นี่ มันสไตล์โบราณไปหมด ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วละก็ เกรงว่าฉู่เหินคงจะตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้ไปเสียแล้ว

ในตอนแรกฉู่เหินคิดว่าเขาจะถูกทารุณกรรมทันทีที่มาถึง แต่ตอนนี้เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเธอไม่ถามไม่ไถ่ฉู่เหินเลยสักคำ แต่แบบนี้ก็ดีฉู่เหินเองก็ไม่อยากพูดอะไรเช่นกัน เขารู้ว่าเมื่อเข้ามาในรังของอีกฝ่ายแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบหนีออกไป

เมื่อได้นั่งอยู่เงียบๆ เขาก็ไม่ให้เวลาผ่านไปเสียเปล่าเขานั่งโคจรลมปราณ จนไม่กี่ชั่วโมงพลังดวงดาวของเขาก็ถูกกลับมาเต็มเปี่ยม! แต่ถึงจะกลับมาสภาพเต็ม 100% เขาก็รู้ตัวดีว่าเขาหนีไปจากที่นี่ไม่ได้จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น ผู้หญิงสองคนเมื่อกี้ก็นำอาหารมาวางไว้ข้าง ๆ ฉู่เหิน พวกเธอไม่ได้จากไปไหม แต่พวกเธอจะอยู่คอยอำนวยความสะดวกสบายให้กับเขาหลังฟังคำพูดของผู้หญิงสองคนนี้ ฉู่เหินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา

ไม่ต้องพูดเรื่องที่เขามีแฟนอยู่แล้ว ก็บอกได้เลยว่าไม่มีใครอยากแต่งงานกับหญิงแก่แน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหญิงชราคนนี้มีนายบำเรออยู่แล้วตั้งมากมายขนาดนั้น

ในสายตาของฉู่เหินหญิงชราคนนี้แทบจะนับว่าเป็นผู้หญิงสำส่อนผ่านตามมาตรฐานได้เลย ตามโบราณว่าไง ชายนับพันนอนหนุนแขนหยก ภมรนับพันดอมดมบุปผา* ถ้าเขาต้องได้ผู้หญิงแบบนี้เป็นภรรยาแล้วอยู่ร่วมกัน

ฉู่เหินรู้สึกขออภัยให้กับตัวเองไม่ได้แน่ๆ (两条玉臂千人枕,一点朱唇万人尝*เปรียบเทียบผู้หญิงที่หลับนอนกับผู้ชายหลายคน)

หากไม่ตอบตกลงก็จะถูกกำจัดทิ้ง หากบอกว่าเขาไม่กลัวก็บ้าแล้วแต่ถ้าให้เขาทรยศร่างกายและจิตใจตัวเอง ฉู่เหินก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน ทุกคนมีวิถีชีวิตของตัวเองและมีอุดมการณ์ของตัวเอง แม้ว่าต้องตายก็ไม่สามารถละทิ้งอุดมการณ์ตัวเองได้!

ตอนนี้ใบหน้าของฉู่เหินแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มอันขมขื่น มันคงจะดีกว่านี้หากเขาถูกเด็กสาวคนหนึ่งจับตัวมันคงจะรู้สึกดีไม่น้อย แต่เขาดันดวงดี ไปถูกใจหญิงชราคนหนึ่งแทนซะงั้น เขายังไม่ได้แต่งงานเลยด้วยซ้ำพอมาคิดๆดูแล้วก็อดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้

ผู้หญิงสองคนที่เข้ามาอำนวยความสะดวกสบายให้เล็กน้อยหลังจากวางอาหารลง เห็นว่าฉู่เหินไม่มีท่าทีเปลี่ยนใจ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอยออกไป แต่ฉู่เหินรู้ว่าเมื่อหญิงทั้งสองจากไป น่ากลัวว่าคงเป็นลมสงบก่อนพายุจะเข้า แล้วมันก็เป็นความจริงเมื่อหญิงสาวทั้งสองจากไปได้นานนัก ก็มีชายร่างใหญ่หลายคนโผล่เข้ามามัดฉู่เหินโดยไม่พูดอะไรสักคำจากนั้นพวกเขาก็เดินจากไป

หลังจากมาถึงที่นี่สักพัก ฉู่เหินก็ได้รู้ว่าพรรคนี้มีชื่อว่า ‘พรรคดาบแห่งเทียนซาน’ มันถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง หนึ่งคือสายนักดาบ หัวหน้าของพวกเขาเดินขบวนความยุติธรรมปล้นคนรวยช่วยเหลือคนจน ถูกมองว่าเป็นพรรคคุณธรรมแห่งหนึ่ง! หัวหน้าของอีกสายก็คือผู้หญิงคนนี้ ฝั่งของพวกเธอส่วนใหญ่เป็นวิชาที่ต้องใช้มนตร์เสน่ห์ ที่เกือบจะไม่ต่างอะไรจากวิชาของพรรคมารเลย

เป็นเรื่องแปลกที่พรรคนี้มีวิชาที่แตกต่างกันคนละขั้วอยู่ในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ใช่ไม่มีที่มาที่ไป ว่ากันว่าเพราะผู้ก่อตั้งพรรคดาบแห่งเทียนซานกับภรรยาของเขาใช้วิชาที่แตกต่างกันเลยเป็นแบบนี้ แม้จะเป็นวิชามนตร์เสน่ห์ แต่มันก็ไม่ถือว่าเป็นวิชานอกรีตอะไรขนาดนั้น

หลังจากวิชานี้ตกทอดมาอยู่ในกำมือของหญิงชรา จนเธอได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเก้าภพแห่งกรรม รวมไปถึงเรื่องความผิดพลาดครั้งใหญ่เมื่อตอนยังสาว เธอจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงมาจึงถึงทุกวันนี้ แม้ว่าเธอที่เป็นผู้สืบทอดของพรรคกระบี่แห่งเทียนซานเจียนจะไม่ค่อยปกตินัก แต่ยังไงพวกเขาก็อยู่ในสำนักเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางอื่นนอกจากต้องปล่อยมันไป

หนึ่งในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในพรรคกระบี่แห่งเทียนซานแห่งนี้คือ คุกน้ำ! น้ำที่นี่แตกต่างจากน้ำธรรมดา มันมีฤทธิ์กัดกร่อนอย่างรุนแรง ถ้ามีคนถูกแช่ลงในน้ำของคุกน้ำนี้ แค่ 20 วัน กระทั่งผู้ที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดก็ยังเหลือแต่กองกระดูกเท่านั้น!

หากเขายังหนีออกไปไม่ได้ภายใน 20 วัน แม้แต่กระดูกก็จะสลายหายไปเขาจะหายสาบสูญไปอย่างสมบูรณ์ ไม่มีแม้แต่กระดูกเหลืออยู่ เถ้ากระดูก ก็จะไม่เหลือด้วย เหตุนี้ทำให้เขตบริเวณคุกน้ำทั้งหมดถือว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามพรรคกระบี่แห่งเทียนซานไปโดยปริยาย

เมื่อหลายร้อยปีก่อนพรรคกระบี่แห่งเทียนเป็นพรรคที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลานั้น ในคุกน้ำเต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่นแต่หลังจากกลเวลาผ่านไปหลายร้อยปีสถานที่แห่งนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากไม่มีใครอยู่ในคุกน้ำเลยสักคนแม้แต่พวกศิษย์ในพรรคก็เดินเล่นเข้าออกได้อย่างสบายๆ

ฉู่เหินรู้สึกสบายใจอย่างเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ปิดกั้นพลังของเขาและก็ไม่ได้มัดเขาเอาไว้ด้วย ทำให้เขาสามารถเดินไปมาในคุกน้ำแห่งนี้ได้

ชายร่างใหญ่หลายคนโยนฉู่เหินเข้าไปในคุกน้ำ พวกเขากล่าวเพียงประโยคเดียวและหันร่างจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าพวกเขาหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวก่อนที่จะจากไปว่า “ไอ้หนุ่มขอให้รอดตายล่ะ แล้วแกจะเข้าใจว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ควรจะมาหรอกนะ”

หลังจากพูดจบ พวกเขาก็ไม่ได้หยุดรอฉู่เหินตอบพวกเขารีบวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าพวกเขากำลังกลัวว่าจะมีสัตว์ออกมาจากคุกน้ำอย่างนั้นแหละ ฉู่เหินเองก็ไม่ได้สนใจเท่าไร เขาส่ายหัวแล้วเดินลึกเข้าไปในคุก

เมื่อเขาเดินลงไปในน้ำเขาก็พบว่าน้ำมีฤทธิ์กัดกร่อน หากยังอยู่ที่นี่เขาเกรงว่าไม่ถึงสิบวัน คงถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นกองกระดูกแน่ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ฉู่เหินก็ไม่ได้ถอยหนีแต่อย่างใด!

เขายังมุ่งหน้าลึกเข้าไปเรื่อยๆ ฉู่เหินกำลังคิดคำนวณสถานที่โดยรอบ น้ำในแม่น้ำมีฤทธิ์กัดกร่อนอย่างมาก เขาไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์กับการฝึกตนหรือไม่ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ไม่ลังเลและหันมาโคจรพลังในร่างของตัวเองอย่างรวดเร็ว ด้วยการโคจรพลังดวงดาวอย่างช้าๆ ฉู่เหินก็ประหลาดใจเมื่อพบว่าในคุกน้ำนี้มีพลังดวงดาวอยู่มากมายมหาศาล!

หากเขาดูดซับพลังเหล่านี้อย่างเต็มที่เขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากแน่ๆ เขาลองโคจรพลังดวงดาวอย่างต่อเนื่อง เขาพบว่าร่างกายของเขากำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

สำหรับฉู่เหินแม่น้ำตรงหน้าเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ เขานั่งลงขัดสมาธิและเริ่มฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ จากการคาดเดาของเขา อาศัยพลังของที่นี่ไม่เกิน 2-3 วันเขาจะสามารถทำให้พลังดวงดาวของเขาไปถึงขั้นเต๋าได้แน่

ถ้าเขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเต๋า ได้มันจะเป็นผลดีต่อเขามาก! การหลบหนีที่ผ่านมาทำให้เขาผ่านเส้นทางแห่งความตายมาหลายครั้ง สภาพจิตใจของเขาถึงขั้นเต๋าเต็มขั้นแล้ว หากเขาใช้โอกาสนี้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเต๋ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร ในขณะที่ฉู่เหินกำลังฝึกอย่างเงียบ ๆ ภายในคุกน้ำแห่งนี้

ทางด้าน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ในที่สุดเฉินเจียนก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาเธอรู้สึกถึงแสงที่ส่องแสงออกมาจากร่างกายของเธอ ด้วยยาอันล้ำค่าทำให้เลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็ว

บางทีนี่อาจเกี่ยวข้องกับร่างกายที่มีความพิเศษของเธอ หลังจากใช้เวลานานกว่าหนึ่งเดือนในที่สุดเฉินเจียนก็เข้าสู่ขั้นเต๋าได้โดยไม่ได้ตั้งใจ ต่อมามีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาหาเธอและบอกเธอว่าตอนนี้ฉู่เหินอยู่ในเทือกเขาเทียนซานแล้ว หากเธออยากล้างแค้นให้กับพ่อของเธอ เธอสามารถไปที่นั่นได้เลย

เมื่อเขาพูดถึงศัตรูที่ฆ่าพ่อของเธอ ดวงตาของเฉินเจียนก็เต็มไปด้วยความอำมหิตพร้อมร่างกายปล่อยจิตสังหารออกมา ท่าทางของเธอนั้นทำให้หัวหน้าพอใจมาก หลังจากพยักหน้าเธอก็เลือกอาวุธที่เหมาะสมแล้วเขาก็ส่งเธอไปที่ภูเขาเทียนซานในทันที

เฉินเจียนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที จนกระทั่งร่างของเฉินเจียนหายไปอย่างสมบูรณ์ เสียงลึกลับก็ถามชายตรงหน้าเขาอย่างอ่อนโยน

“ท่านผู้นำ ปล่อยให้เธอไปในเวลานี้จะไม่มีปัญหางั้นเหรอ”

“วางใจได้ เศษเสี้ยวแห่งความทรงจำถูกฝังอยู่ในสมองของเธอแล้ว ตอนนี้ความทรงจำของเธอกำลังสับสนวุ่นวายเธอเกือบจะลืมเรื่องราวในอดีตของเธอทั้งหมดแล้ว สิ่งเดียวที่เธอจำได้ก็คือเรามีความเมตตาต่อเธอและฉู่เหินเป็นศัตรูของเธอ ถึงเวลาของเธอแล้วที่เธอจะต้องลงไปยังภูเขาเทียนซาน!”