ตอนที่ 443 เกาะอีเยี่ย

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 443 – เกาะอีเยี่ย

 

    หนึ่งเดือนให้หลัง ชายทะเลของทะเลกุยสวีสุดทักษิณของอวิ๋นจง กลางอากาศของเกาะเล็กเกาะหนึ่ง บัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ ก้มหน้ามองดูเกาะเล็กใต้เท้า

    เกาะเล็กนี้ไม่ใหญ่ รัศมีเพียงหลายสิบลี้ มองลงไปจากข้างบน รูปทรงของมันประดุจใบไม้เขียวหนึ่งใบ ด้วยเหตุนี้ถูกเรียกขานว่าเกาะอีเยี่ย*

    หากพูดถึงขนาด เกาะอีเยี่ยนี้เล็กจนน่าสมเพชจริง ๆ ตลาดของเมืองใด ๆ สักเมืองของอาณาจักรตงถังล้วนใหญ่กว่ามัน แต่หากถกถึงมาตรฐาน อวิ๋นจงไม่มีตลาดที่มาตรฐานสูงกว่าเกาะอีเยี่ยอีกแล้ว บนเกาะเล็กแห่งนี้ ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสามารถเห็นได้ทั่วไป ปีศาจเฒ่าจิตวิญญาณใหม่เผยโฉมบ่อยครั้ง แม้แต่ผู้ค้าที่ดูแลร้านค้าโดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานพลังขึ้นไป

    สาเหตุที่เกาะเล็กซึ่งมีขนาดเล็กยิ่งและพลังวิญญาณก็พื้นเพมากแห่งนี้มีผู้ฝึกตนมากขนาดนี้มาชุมนุมกันสรุปโดยย่อคือเกี่ยวเนื่องกับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์อันพอเหมาะพอดีของมัน

    ผู้ฝึกตนของอวิ๋นจงมักจะไปสองสถานที่เพื่อล่าอสูรปีศาจ หนึ่งของทะเลเหนือทางทิศเหนือ สองคือทะเลกุยสวีที่สุดทักษิณ

    ที่ทะเลเหนือมีเกาะเป่ยจี๋ซึ่งเป็นเกาะใหญ่พอดี อสูรปีศาจรอบด้านนับไม่ถ้วน มีตั้งแต่ขั้นต่ำถึงสูง ดังนั้นเกาะเป่ยจี๋ชุมนุมด้วยผู้ฝึกตนระดับตั้งแต่หลอมรวมพลังวิญญาณถึงก่อเกิดตานกลุ่มใหญ่ ใช้การล่าอสูรเลี้ยงชีพ ก่อตัวเป็นตลาดค้าแกนปีศาจขนาดมหึมา

    ทว่าทะเลกุยสวีไม่ได้เป็นดังนั้น ตลาดแกนปีศาจของมันไม่ได้ใหญ่โตเลย เทียบกับเกาะเป่ยจี๋แล้วพูดได้ว่าเล็กจนน่าสมเพช แต่ว่า ชื่อเสียงของมันในหมู่ผู้ฝึกตนระดับสูงกลับเหนือกว่าเกาะเป่ยจี๋ เพราะว่า อสูรทะเลในทะเลกุยสวีอยู่ขั้นห้าขึ้นไปเป็นหลัก และซากศพกับแกนปีศาจที่ได้จากอสูรปีศาจเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขึ้นไปต้องการพอดี

    เกาะอีเยี่ยตั้งอยู่ปากทะเลแห่งหนึ่งของทะเลกุยสวีพอดี ทำเลดียิ่ง นานวันเข้า ผู้ฝึกตนที่มาล่าอสูรที่ทะเลกุยสวีเหล่านั้นก็ได้สร้างตลาดค้าแกนปีศาจที่ถึงจะขนาดเล็กแต่ก็คุณภาพสูงขึ้นแห่งหนึ่งที่นี่

    โม่เทียนเกอยืนอยู่กลางอากาศมองดูครู่หนึ่ง ถามว่า “ซือฟุ ต้องพักเท้าที่นี่หรือเจ้าคะ เกรงแต่ว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านั้นล้วนจะชุมนุมกันอยู่ที่นี่กระมัง?”

    กระบี่ฝูเซิงส่งเสียงหึ่งเบา ๆ เสียงของฝูเหยาจื่อดังขึ้นมาว่า “ไปเถอะ เจ้าได้รับการยอมรับเป็นนายจากกระบี่ฝูเซิงแล้ว มีเหวยซืออยู่ ผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะระดับสูงอีกแค่ไหนก็จับเจ้าไปทำอันใดไม่ได้”

    โม่เทียนเกอลังเลชั่วขณะแล้วจึงเชื่อ

    หลายปีที่อยู่ด้วยกันมานี้ ระหว่างนางกับฝูเหยาจื่อก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ที่แท้จริงแล้ว นางเชื่อถือสายตาของซือฟุว่าจะไม่ดูผิด

    ทิ้งตัวลงที่ชายขอบเกาะอีเยี่ย ใช้นาม “เยี่ยเสี่ยวเทียน” ลงทะเบียนที่หน้าประตูเมือง เข้าไปในเมืองน้อย

    เกาะอีเยี่ยนี้สมแล้วที่ได้รับนามว่ามาตรฐานสูงที่สุดจริง ๆ พอเข้าเมืองก็เห็นว่าบนถนนมีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานจำนวนมากไป ๆ มา ๆ ผู้ที่ร้องค้าขายเสียงดังและดูแลร้านค้าล้วนเป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณและปุถุชนที่พบเห็นบ่อยที่สุดในเมืองฝึกเซียนแห่งอื่นกลับมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นเพียงลูกมือจิปาถะในร้านค้าเท่านั้น นี่ทำให้โม่เทียนเกอประหลาดใจไม่รู้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทียนจี๋หรือว่าอวิ๋นจง นางยังไม่เคยเห็นผู้ฝึกตนระดับสูงมากมายขนาดนี้มาชุมนุมอยู่ด้วยกันเลย ถึงขนาดที่ว่า ในผู้ฝึกตนระดับสูงเหล่านี้ บางครั้งจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนสองคนโผล่ออกมา

    “เกาะอีเยี่ย ยังเป็นดั่งวันวานเลย!” ฝูเหยาจื่อทอดถอนใจ ถึงเขาจะไร้สภาพไร้ร่างทิ้งไว้เพียงจิตหยั่งรู้เสี้ยวหนึ่ง แต่ทักษะลับน่าทึ่ง ยังคงสามารถสัมผัสถึงวัตถุเรื่องราวรอบด้าน

    โม่เทียนเกอยิ้มน้อย ๆ เอ่ยว่า “ซือฟุคล้ายจะคุ้นเคยกับเกาะอีเยี่ยมาก”

    ฝูเหยาจื่อเอ่ยว่า “เหวยซือไม่ใช่เจ้า ไม่มีสำนักอาจารย์หนุนหลัง ตั้งแต่ที่ย่างก้าวบนเส้นทางเซียนจนผูกจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ เป็นผู้ฝึกตนอิสระมาตลอดทาง ชีวิตผู้ฝึกตนอิสระไม่ง่าย ตอนหลอมรวมพลังวิญญาณสร้างฐานพลัง เหวยซือตกระกำลำบากมาก หลังก่อเกิดตาน ได้มาที่เกาะอีเยี่ยเพื่อล่าอสูรปีศาจบ่อยครั้ง จึงได้สบายขึ้นมาก”

    เมื่อได้ยินวาจานี้ โม่เทียนเกออดพยักหน้าแสดงความเข้าใจไม่ได้ นางมีประสบการณ์ชีวิตอันยากลำบากที่อยู่กับท่านอารองในปีนั้น สำหรับการตกระกำลำบากที่ฝูเหยาจื่อพูดมีความเข้าอกเข้าใจถึงสิบส่วน แต่ว่า คิดเยี่ยงนี้แล้ว ซือฟุผู้นี้ของนางช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ อาศัยศาสตร์แห่งต้นกำเนิดอันขาดวิ่นเล่มเดียว ไม่มีวาสนาเซียนอันท้าทายสวรรค์ แต่จากผู้ฝึกตนระดับต่ำผู้ตกระกำลำบากจนกลายเป็นผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งนามสะท้านอวิ๋นจง ในนี้ไม่รู้ว่ามีความลำบากมากมายเท่าไร

    “ซือฟุ พวกเราตรงไปพักเท้า พักผ่อนสักหน่อยจากนั้นออกทะเลเลยไหมเจ้าคะ”

    “ไม่” ฝูเหยาจื่อกลับเอ่ยว่า “เรื่องการออกทะเล เจ้าคนเดียวไม่ไหว”

    โม่เทียนเกอฟังแล้วตะลึงไป “วาจานี้ของซือฟุหมายความว่าอะไรเจ้าคะ……”

    ฝูเหยาจื่อหัวเราะคำหนึ่ง “สถานที่นั้นต้องใช้กุญแจห้าดอกรวมเป็นหนึ่งเดียวจึงจะสามารถเปิดได้ เจ้าคนเดียวไปแล้วมีประโยชน์อะไร? ย่อมต้องรอคนอื่นเข้าร่วม”

    “แต่ว่า……” โม่เทียนเกอมีคำถามเต็มท้อง ถึงแม้ตอนนี้นางมีซือฟุหนุนหลังให้คำแนะนำ แต่ถึงที่สุดแล้วเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน จะสามารถแย่งชิงกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายได้อย่างไร ถึงเวลาพอสถานที่ลับเปิดออก อย่าว่าแต่ผลประโยชน์ เกรงแต่ว่าจะถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก

    “เจ้าอย่ากังวลไปเลย” ฝูเหยาจื่อยังคงกล่าวอย่างเฉยเมย “เหวยซือย่อมไม่ทำให้เจ้าเสียหาย”

    “ซือฟุ ข้าไม่อาจไม่กังวล!” โม่เทียนเกอยอมรับตรง ๆ “ถึงข้าจะมีกระบี่ฝูเซิงในมือ แล้วยังมีซือฟุมาหนุนหลัง แต่ว่า ถึงที่สุดแล้วเป็นเพียงคนคนหนึ่ง พวกเขามีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในมือเหมือนกัน ไม่เพียงความแข็งแกร่งสูงส่ง อีกทั้งกลุ่มอำนาจที่หนุนหลังน่าทึ่ง ข้า……”

    ฝูเหยาจื่อยิ้มแล้ว “พวกเขามีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีประโยชน์”

    “เอ๊ะ?  เพราะอะไรเจ้าคะ?” โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ

    ฝูเหยาจื่อเอ่ยว่า “พูดตามจริงกับเจ้าแล้วกัน ห้าปราชญ์ที่เรียกขานกัน อีกสี่คนที่เหลือล้วนมีศิษย์สืบทอด มีเหวยซืออยู่คนเดียวที่ไม่มี ดังนั้น ตอนที่เหวยซือผนึกจิตหยั่งรู้ได้วางอุบายเอาไว้เล็กน้อย อีกสี่คนเพียงผนึกจิตหยั่งรู้กับทักษะลับบางส่วน หากมีศิษย์ในสำนักได้รับกุญแจยอมรับเป็นนาย หลังจากพวกเขาถ่ายทอดทักษะลับไขเปิดแล้ว จิตหยั่งรู้จะสลายไป มีแค่จิตหยั่งรู้ของเหวยซือคนเดียวที่สามารถคงอยู่ได้เนิ่นนาน”

    โม่เทียนเกอเคยพบเห็นฝีมือของนักเดินทางจื่อเวย ถูกเขาทิ้งรอยประทัยไว้ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ นักเดินทางจื่อเวยนั่นช่างเก่งกาจเหลือคณา หลังจากถูกกระตุ้นขึ้นมายังคงไม่สลายไป ถึงขนาดสามารถคงอยู่ต่อไปอีก ดังนั้น นางไม่เคยมีความกังขาต่อฝีมือในการผนึกจิตหยั่งรู้ของฝูเหยาจื่อเลย ถึงอย่างไรพูดไปแล้วอีกฝ่ายก็เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในตำนานของอวิ๋นจง สำหรับห้าปราชญ์คนอื่น นางก็คิดว่าย่อมจะเป็นเช่นนี้ — พวกเขาเรียกขานรวมเป็นห้าปราชญ์ คนอื่น ๆ ถึงจะอ่อนกว่าซือฟุสักหน่อย ก็ไม่ควรจะอ่อนกว่ามากมายเกินไป ขณะนี้ฟังวาจานี้ของฝูเหยาจื่แล้วจึงทราบว่าที่แท้ซือฟุของตนเองทักษะสูงกว่าขั้นหนึ่ง

    คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอเกิดตระหนักรู้ครั้งใหญ่ ทอดถอนใจ “ซือฟุ ที่แท้ท่านไม่ได้สัตย์ซื่ออย่างภายนอก!”

    “วาจาอันใด!” ฝูเหยาจื่อดุ “เหวยซือถึงจะประพฤติตนเปิดเผยเที่ยงธรรม แต่ก็ไม่ใช่ชนชั้นไร้กลอุบายนะ”

    จริง จากผู้ฝึกตนที่ไร้รากฐานสักนิดคนหนึ่งถึงผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งอวิ๋นจง เวลาแสนกว่าปีไม่มีใครเหนือล้ำ ซือฟุท่านนี้ของนางจะ “เที่ยงธรรมผุดผ่อง” อย่างสิ้นเชิงได้อย่างไรเล่า?

    คิดเช่นนี้แล้ว นางคลายใจขึ้นมากมาย

    เมื่อคลายใจแล้ว นางก็รู้สึกสนใจตลาดของเกาะอีเยี่ยแห่งนี้ขึ้นมา กำลังเตรียมจะไปจับจ่ายซื้อของ จู่ ๆ สัมผัสได้ถึงจิตหยั่งรู้อันกล้าแข็งสายหนึ่งหยุดอยู่บนร่างของตนเอง

    นางเงยหน้าขึ้นไปมองทันที กลับเห็นว่าที่ชั้นสองของร้านสุราแห่งหนึ่งมีผู้ฝึกตนอายุห้าสิบกว่าปีแต่งกายคล้ายคหบดีโลกปุถุชนนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง สายตากำลังงจับจ้องนางอย่างแหลมคม คนคนนี้พลังกดดันแกร่งกล้า กลับเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ผู้หนึ่ง

    โม่เทียนเกอไม่แน่ใจไปชั่วขณะว่าผู้ฝึกตนคนนี้หมายความว่าอะไร แต่นางมีฝูเหยาจื่ออยู่ข้างกาย ไม่หวาดหวั่นเลย กลับยิ้มน้อย ๆ ให้คนคนนี้ กุมมือแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส

    ผู้ฝึกตนคนตะลึงไป คล้ายจะคิดไม่ถึงว่านางจะกระทำเยี่ยงนี้ จากนั้น ไม่ว่าจะจิตหยั่งรู้หรือว่าสายตาล้วนผละไปจากร่างของนาง

    โม่เทียนเกอเป่าลมหายใจออกมา เยี่ยมชมตลาดต่อไป ไม่ว่าคนผู้นี้จะค้นพบมายาของนาง หรือว่าสังเกตเห็นสิ่งอื่นล้วนไม่สำคัญ ถึงอย่างไรนางมาถึงทะเลกุยสวีแล้ว การติดต่อกับเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ชั้นนำของอวิ๋นจงพวกนั้นเป็นเรื่องช้าหรือเร็ว

    “พี่หนาน ท่าน……” ชั้นสองของร้านสุรา ตรงกันข้ามกับผู้ฝึกตนคนนี้ ผู้ฝึกเต๋าหนุ่มคนหนึ่งยิ้มแย้มมองเขา ในแววตามีความไม่เข้าใจวูบขึ้น

    ผู้ฝึกตนบุรุษที่ถูกเรียกว่าพี่หนานลูบหนวดเคราสีขาว เอ่ยว่า “ไม่มีอะไร เหล่าฟูเพียงบังเอิญค้นพบว่าผู้เยาว์คนนี้ผิดปกติอยู่บ้าง”

    “อ้อ?” ผู้ฝึกเต๋าหนุ่มหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง คนมาคนไป ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานนั่นมองไม่เห็นแล้ว “ผิดปกติที่ใดหรือ?”

    “บนร่างคนผู้นี้มีความผันผวนของจิตหยั่งรู้อันกล้าแข็ง อีกทั้ง เหล่าฟูเพียงมองเขามากขึ้นแวบเดียว เขาก็ค้นพบทันที”

    “จริงหรือ” ผู้ฝึกเต๋าหนุ่มกวาดสายตาไปตามถนน ยิ้มเอ่ยอย่างมีความหมายแอบแฝงอื่นว่า “เร็ว ๆ นี้เกาะอีเยี่ยช่างคึกคักโดยแท้ ไม่เพียงปีศาจเฒ่าเหล่านั้นปรากฏสู่โลกกันหมด แม้แต่ผู้เยาว์ระดับก่อเกิดตานก็ไม่เบากันทุก ๆ คนเลย!”

    ผู้ฝึกตนแซ่หนานก็ยิ้ม ถือจอกสุราตามสบาย จิบหนึ่งคำ “หรูอี้เต้าซยงเอ๋ย ด้วยมิตรภาพหลายปีของเราท่าน บอกเบื้องลึกเบื้องหลังกับข้าหน่อยเป็นไร? พวกท่านหุบเขาห้าธาตุครั้งนี้สรุปว่าวางแผนอันใดหรือ?”

    “เบื้องลึกเบื้องหลัง?” ผู้ฝึกเต๋าหนุ่มลูบจมูก มองคนที่อยู่ตรงกันข้ามคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผินเต้าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรเล่า? พวกเราหุบเขาห้าธาตุความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ แต่มาดูความครึกครื้น หากำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นพี่หนานที่พวกท่านสำนักตานเสียคนที่มาครั้งนี้ไม่น้อยเลย……”

    “ฮี่……” ผู้ฝึกตนแซ่หนานหัวเราะเยาะตนเอง “หรูอี้เต้าซยง ข้าบอกกับท่านตามตรงแล้วกัน พวกเราสำนักตานเสียมีสถานการณ์อย่างไร ในใจทุกคนล้วนทราบกระจ่าง พวกเราคิดจะคว้าโอกาสครั้งนี้ให้ได้จริง ๆ แต่ว่านะ คิดส่วนคิด ข้ากลับมีใจไม่มีแรง!”

    วาจารอบนี้ของผู้ฝึกตนแซ่หนานทำให้ผู้ฝึกเต๋าหนุ่มจิตใจโศกเศร้า ถอนหายใจเอ่ยว่า “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ? ห้าสำนักใหญ่ฝ่ายเต๋า เราท่านสองสำนักความแข็งแกร่งอ่อนด้อยที่สุด เผอิญว่าเวลานี้ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าปราชญ์ดันปรากฏสู่โลก ส่วนเราท่านกลับความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดว่าโชคดีหรือว่าไม่ดี”

    “หึ! หยวนมู่กับพวกเชิญเรามา ภายนอกคือบอกว่าทุกคนล้วนเป็นผู้ร่วมเส้นทาง ไม่กล้าฮุบโดยลำพัง แต่ในความเป็นจริงเล่า?” ผู้ฝึกตนแซ่หนานคนนี้หัวเราะเสียงเย็นหนึ่งคำ “พวกเขามีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในมือ ความแข็งแกร่งก็เหนือกว่าเราที่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง พวกเราแค่มาทำท่าทำทางไปตามแกนเท่านั้นเอง”

    ผู้ฝึกเต๋าหนุ่มชูจอกขึ้นยิ้มว่า “พี่หนานเอ๋ย หรือว่าท่านจนถึงตอนนี้ยังคิดจะไม่เปิดเผย? ใครเรียกให้เราท่านความแข็งแกร่งไม่สู้เขา โชคก็ต่ำกว่าอีก? สมมติว่าเราเลื่อนขึ้นขั้นปลาย ถึงจะไม่ได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถแก่งแย่งกับหยวนมู่และพวกสักครา น่าเสียดาย หลายปีขนาดนี้ เราท่านติออยู่ที่ปากด่านนี้มาตลอด ไม่อาจเลื่อนขั้น เช่นนั้นย่อมได้แต่ยอมรับชะตา”

    การกล่าวตามหลักเหตุผลนี้ ผู้ฝึกตนแซ่หนานไหยเลยจะไม่เข้าใจ สุดท้ายเพียงถอนหายใจหนึ่งคำ ไม่พูดไม่จาแล้ว

    เวลานี้ โม่เทียนเกอกำลังเดินทอดน่องไปยังโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ฟังคนอื่นคุยข่าวซุบซิบอย่างออกรสออกชาติ

    เรื่องของห้าปราชญ์ทุกวันนี้กำลังเป็นที่นิยมในอวิ๋นจง เกาะอีเยี่ยชุมนุมด้วยผู้ฝึกตนระดับสูงจำนวนมาก อีกทั้งพอดีเป็นจุดที่เกิดเหตุอีก เรื่องนี้ย่อมยิ่งเพิ่มความนิยม

    หนึ่งเดือนมานี้ โม่เทียนเกอเร่งเดินทางอย่างระมัดระวังมาตลอดทาง กลับไม่ทราบว่าที่แท้เรื่องนี้เป็นที่นิยมจนถึงระดับนี้แล้ว

    ที่แท้สามสำนักใหญ่นอกจากเชื้อเชิญผู้ครอบครองเจดีย์มารสวรรค์ ในเวลาเดียวกันก็ได้เชื้อเชิญผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ของกลุ่มอำนาจใหญ่ต่าง ๆ นานา ตามหน้ากระดาษคือบอกว่า สิ่งที่ห้าปราชญ์เหลือทิ้งไว้เป็นความมั่งคั่งร่วมกันของอวิ๋นจง พวกเขาสามสำนักไม่กล้าฮุบโดยลำพัง ด้วยเหตุนี้ หลังจากเปิดมิติสถานที่ลับนั้น ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนใดล้วนเข้าไปสำรวจได้ แต่เป็นเช่นนี้จริงหรือ?

    โม่เทียนเกอไม่ต้องคิดก็รู้สาเหตุแท้จริง ทุกวันนี้เรื่องของห้าปราชญ์เลื่องลือไปในอวิ๋นจงแล้ว ไม่ใช่ความลับที่มีเพียงผู้ฝึกตนระดับสูงไม่กี่คนจึงจะทราบอีกต่อไป สมมติว่าพวกเขาสามสำนักฮุบโดยลำพัง แม้ว่ากลุ่มอำนาจสามสำนักของพวกเขาจะใหญ่อีกแค่ไหน คนอื่น ๆ รวมตัวกันมาโจมตีก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้านรับไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้แบ่งผลประโยชน์เล็กน้อยให้คนอื่น ถึงอย่างไรในมือพวกเขามีวัตถุศักดิ์สิทธิ์อันสำคัญที่สุด ความแข็งแกร่งก็กล้าแข็งที่สุดด้วย สุดท้ายแล้วยังคงจะได้รับผลประโยชน์ที่มากที่สุด

    แต่ว่า ถึงหลักเหตุผลนี้เหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จะทราบกระจ่างอยู่ในใจก็ยังคงเร่งรุดมาที่เกาะอีเยี่ยเหมืองฝูงผึ้ง อย่างไรเสียของอย่างโชควาสนา ปัจจัยด้านโชคสำคัญมาก ไม่แน่ว่าพวกเขาจะได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่เทียมฟ้าก็ได้?

    แปลงเทพ นี่เป็นสิ่งยั่วยวนที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกฝึกเซียนไม่อาจปฏิเสธได้

    ใฝ่หาผลประโยชน์ คนหน้าโถมเข้าคนหลังโถมตาม

……………….

*อีเยี่ยแปลว่าหนึ่งใบ

 

ตอนที่ 444 – พบหลิงอวิ๋นเฮ่ออีก