ตอนที่ 255 เทือกเขาเมฆา (2) ตอนที่ 256 เทือกเขาเมฆา (3)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 255 เทือกเขาเมฆา (2)

จวินอู๋เสียจ้องไปที่คนกลุ่มนั้นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนางทะลวงผ่านขึ้นมาอยู่ในระดับสีส้มแล้ว ประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางก็แข็งแกร่งขึ้นมาก ด้วยระดับพลังนี้นางจึงได้ยินคำเยาะเย้ยถากถางนั้นผ่านเข้ามาในหูทุกคำโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว แต่กระนั้นนางก็ไม่ได้ตอบสนองหรือตอบโต้กลับไป

ก็แค่กลุ่มมดปลวก มีอะไรให้ต้องใส่ใจกัน

เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาที่เทือกเขาเมฆาเพื่อสอบคัดเลือกเข้าสำนักชิงอวิ๋น การสอบจึงไม่อาจแยกประเมินทีละคนๆ ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้ใช้เวลาทั้งเดือนก็ไม่มีทางสอบเสร็จ สำนักชิงอวิ๋นจึงตั้งเกณฑ์การทดสอบแบบง่ายๆ ขึ้นมาโดยแบ่งสอบเป็นด่านๆ ไป

การทดสอบด่านแรก เป็นการทดสอบเรื่องความรู้พื้นฐาน…การแยกแยะสมุนไพร

ณ จุดกึ่งกลางของไหล่เขาเทือกเขาเมฆา มีโต๊ะยาวนับหลายร้อยตัวตั้งเรียงรายอยู่เต็มสองข้างถนนที่ใช้ขึ้นยอดเขา กองสมุนไพรจำนวนมากถูกวางซ้อนกันเกลื่อนบนโต๊ะแต่ละโต๊ะ ในด่านแรกนี้ ผู้เข้าสอบต้องคัดเลือกสมุนไพรที่สำนักชิงอวิ๋นบอกให้หาจากกองสมุนไพรเหล่านั้นภายในห้านาที หากหาเจอก็จะนับว่าผ่านด่านแรกไปได้

การระบุชื่อสมุนไพรไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากจะให้หาสมุนไพรที่ระบุชื่อมาแล้วจากกองสมุนไพรที่มีสมุนไพรหลายร้อยชนิดผสมปนเปกันอยู่นี้ ผลลัพธ์มันจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

สมุนไพรที่กองอยู่บนโต๊ะ เพิ่งถูกเก็บและยังไม่ได้ผ่านการทำความสะอาดและจัดการใดๆ จึงยังมีโคลนและราก หรือส่วนประกอบที่นอกเหนือไปจากบันทึกในตำราติดอยู่เต็มไปหมด อาจเพราะระหว่างเก็บไม่ได้ใส่ใจมาก หรือว่าเป็นความตั้งใจแต่เดิมอยู่แล้วของสำนักชิงอวิ๋นเพื่อใช้ทดสอบศิษย์โดยเฉพาะก็แล้วแต่ สมุนไพรมากมายจึงอยู่ในสภาพเสียหาย มีหลายต้นที่ใบและลำต้นถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้ยากต่อการจำแนกแยกแยะชนิดของมันว่าเป็นสมุนไพรอะไรและอยู่ในประเภทไหน เหล่าผู้เข้าสอบหลายคนทันทีที่ได้เห็นกองสมุนไพรเสียหายจำนวนมากก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งไป พวกเขาแทบจำลักษณะเดิมของมันไม่ได้เลย!

ความมั่นใจที่เคยมีมาแต่ต้นถูกขยี้ลงในพริบตา!

พวกเขาเคยแต่ระบุชื่อสมุนไพรจากสมุนไพรที่ถูกทำความสะอาดและจัดการมาเป็นอย่างดีแล้ว แน่นอนว่าสมุนไพรพวกนั้นล้วนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่กองหญ้ากองสมุนไพรเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะถูกสุมไว้เป็นชั้นๆ อย่างไม่ไยดี สภาพยังเละเทะน่าเกลียด แล้วพวกเขาจะหามันเจอได้อย่างไรในเมื่อลักษณะเดิมที่เคยถูกฝังอยู่ในหัวไม่มีเหลืออยู่เลย

การทดสอบที่ดูเหมือนง่ายในตอนแรก พริบตากลับกลายเป็นการทดสอบที่ทำให้ผู้เข้าสอบจำนวนมากจนปัญญาทำอะไรไม่ถูก

เด็กหนุ่มสาวในวัยเพียงสิบกว่าปี แม้จะเกิดในครอบครัวที่มีทักษะทางการแพทย์และคลุกคลีกับสมุนไพรมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็เป็นไม่ได้ที่พวกเขาจะจดจำสมุนไพรทุกอย่างได้อย่างถูกต้องและแม่นยำไร้ซึ่งจุดบกพร่อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชิ้นส่วนที่ไม่สมบูรณ์และยังคงไม่ผ่านการจัดการใดๆ อย่างสมุนไพรที่กองอยู่ตรงหน้า

สมุนไพรเหล่านี้คงไว้ซึ่งลักษณะเฉพาะเพียงเล็กน้อยเผื่อไว้ใช้แยกแยะเท่านั้น

เด็กหนุ่มสาวที่ขึ้นมาด้วยความมั่นใจอันเปี่ยมล้นแต่แรก พากันก้มหน้าลงต่ำแทบอยากจะร้องไห้ออกมา พวกเขาแทบอยากจะวิ่งเข้าไปรื้อกองสมุนไพรทั้งหมด แต่ติดอยู่ตรงที่สำนักชิงอวิ๋นให้เวลาพวกเขาจำกัด พวกเขามีเวลาเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น

จวินอู๋เสียเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างโต๊ะตัวหนึ่งอย่างไม่รีบร้อนนัก นับตั้งแต่ที่นางขึ้นมาถึงไหล่เขาและมีลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นคนหนึ่งเดินมายื่นป้ายชื่อสมุนไพรที่นางต้องค้นหาให้ นางก็กวาดสายตามองไปทั่วโต๊ะที่มีสมุนไพรกองเกลื่อนกลาด

หญ้าแสวงหารึ…

หญ้าแสวงหาเป็นสมุนไพรทั่วไปที่ดูไม่ต่างจากวัชพืชที่ขึ้นอยู่ข้างทาง เด็กหนุ่มสาวที่มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันกับจวินอู๋เสียล้วนได้รับภารกิจเดียวกันนี้ แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นรายชื่อสมุนไพรที่ต้องค้นหา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ ฉับพลันก็ถูกแทนที่ด้วยความเศร้าหมองตรอมตรม

“ข้าจะหามันเจอได้อย่างไรกัน!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่น้ำตาไหลอาบเต็มใบหน้า แทบจะอดใจไม่ไหวมองทะลุผ่านป้ายชื่อในมือของตัวเอง แล้วเห็นชื่อสมุนไพรลอยปักอยู่ด้านบนหญ้าแสวงหาที่ตัวเองต้องค้นหานั้น!

ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงมองหาไปรอบๆ ราวกับแมลงวันไร้หัว จวินอู๋เสียก็ค่อยๆ เดินผ่านโต๊ะไป ก่อนจะหยิบเศษชิ้นส่วนของสมุนไพรที่ผ่าครึ่งแล้วที่มีขนาดเท้านิ้วก้อยชิ้นหนึ่งขึ้นมาและเดินไปข้างหน้าต่อโดยไม่หยุดพัก

เด็กหนุ่มสองสามคนที่ติดตามอยู่ข้างหลังจวินอู๋เสีย เมื่อเห็นว่านางหยิบสมุนไพรขึ้นมาแล้วและต้องการจากไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของทั้งคู่ก็ซีดเผือดทันที

จวินอู๋เสียเพิ่งจะก้าวเท้าออกไปได้เพียงสองสามก้าว เด็กหนุ่มสองคนที่ตามมาด้านหลังติดๆ ก็รีบรุดขึ้นไปขวางทางนางไว้ จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้น นางขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพิจารณาใบหน้าของเด็กหนุ่มสองคนนั้น ที่แท้พวกเขาก็คือคุณชายที่วิพากษ์วิจารณ์และชี้นิ้วใส่นางอย่างดูถูกเหยียดหยันที่เชิงเขานั่นเอง

“ไปให้พ้น” จวินอู๋เสียพูดอย่างเย็นชา

แต่เด็กหนุ่มทั้งสองคนนั้นไม่มีเจตนาปล่อยให้จวินอู๋เสียผ่านไป ดวงตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ชิ้นส่วนสมุนไพรในมือของจวินอู๋เสีย แม้ว่ามันจะเป็นชิ้นเล็กๆ เพียงครึ่งเดียว แต่พวกเขาก็แน่ใจว่ามันเป็นหญ้าแสวงหาของแท้อย่างแน่นอน

เจ้าเด็กนี่มันทำได้อย่างไรกัน! เพียงพริบตาที่ได้ป้ายชื่อสมุนไพร มันก็หาสมุนไพรจากกองหญ้าพวกนั้นเจอแล้ว ในขณะที่พวกเขายังหัวหมุน ยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มลงมือจากตรงจุดไหน!

ตอนที่ 256 เทือกเขาเมฆา (3)

ควรบอกว่านางโชคดี…หรือว่าอย่างไรกัน

สำนักชิงอวิ๋นให้เวลาพวกเขาอย่างจำกัด และพวกเขาก็ไม่มั่นใจแม้แต่น้อยว่าภายใต้ช่วงเวลาที่กดดันนี้ พวกเขาจะสามารถหาหญ้าแสวงหาเจอหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่าจวินอู๋เสียได้มันมาแล้ว พวกเขาก็บังเกิดความคิดใหม่ขึ้นมา

เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาแต่งตัวธรรมดา ดูๆ ไปแล้วก็น่าจะเป็นเด็กน้อยจากบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีตระกูลใหญ่หนุนหลัง

ในสายตาของบรรดาเด็กผู้เข้าสมัครสอบ สภาพที่ดูอ่อนแอบอบบางไร้ที่พึ่งพิงของจวินอู๋เสียนี้นี่มันเหยื่อชั้นดีชัดๆ

เป็นเป้าหมายที่อ่อนแอและสามารถกดขี่ข่มเหงได้!

สำนักชิงอวิ๋นบอกเพียงว่าให้ค้นหาสมุนไพรตามชื่อ แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าห้ามแย่งชิงสมุนไพรหรือขโมยมันจากมือของผู้อื่น

“ไอ้หนู ส่งสมุนไพรในมือของเจ้ามาซะ อย่างไรเจ้าก็หามันได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ตัวเองไปหาใหม่อีกรอบก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มคนหนึ่งมองมาที่จวินอู๋เสียอย่างขุ่นเคืองและไม่มีเจตนาดี เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะมาปล้นนางกลางวันแสกๆ

อันที่จริงเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทุกปีที่มีการสมัครสอบ เด็กหนุ่มสาวที่มีอายุน้อยกว่าที่หาสมุนไพรเจอก่อน มักจะเป็นเป้าหมายให้ผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ที่มีอายุมากกว่าหรือว่ามีฐานะสูงกว่ารังแกและหาเรื่องเพื่อฉกชิงเอาสมุนไพรไป ศิษย์สำนักชิงอวิ๋นที่มาจับตาดูก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ผู้อื่นจะเป็นเหยื่อหรือไม่นั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา สำนักชิงอวิ๋นให้โอกาสพวกเขาได้เข้าสอบแล้ว จะรักษาสิทธิ์นั้นไว้ได้หรือไม่มันก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถพอหรือไม่ หากสมุนไพรในมือของเจ้าถูกแย่งชิงไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดนั่นก็หมายความว่าเจ้าไร้ความสามารถ และจะถูกตัดสินให้ตกรอบแรกแล้วถูกส่งกลับไปยังเชิงเขาเพื่อกลับบ้าน ส่วนผู้ที่มีสมุนไพรอยู่ในมือก็จะได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วมกับสำนักชิงอวิ๋นอันยิ่งใหญ่ต่อไป

แต่ก็นะ ผู้ใดใช้ให้เจ้าไม่มีขุมอำนาจใหญ่โตหนุนหลังกันเล่า คงมีแต่ต้องยอมก้มหัวให้แก่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า และถูกผู้อื่นแย่งชิงสิทธิ์ไปก็เท่านั้น!

แน่นอนว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจวินอู๋เสียก็มีความคิดเช่นเดียวกัน

แต่จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ รูปลักษณ์ของจวินอู่เสียในเวลานี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มร่างเล็กดูคล้ายกับบัณฑิตอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงจะเชือดไก่ มิหนำซ้ำอายุของนางเพิ่งจะสิบสี่ปีเท่านั้น แม้ว่านางจะเปลี่ยนรูปร่างและใบหน้าให้คล้ายกับเด็กผู้ชายในวัยแรกรุ่นแล้วก็ตามที แต่มันก็เปลี่ยนความจริงเรื่องที่นางเป็นเด็กผู้หญิงไม่ได้ โครงร่างของเด็กสาว แน่นอนว่าต้องมีกระดูกและโครงร่างที่เล็กกว่าเด็กหนุ่มมากโข ยิ่งในเวลานี้นางสวมใส่ชุดเสื้อผ้าธรรมดาไม่ได้มีเครื่องประดับล้ำค่าใดๆ ใส่ติดตัวมาด้วยแล้ว…

อ่อนแอ อายุน้อย และภูมิหลังต่ำต้อย ดูอย่างไรนี่ก็เป็นแกะอ้วนพีที่ชวนให้ผู้อื่นรังแกชัดๆ

จวินอู๋เสียขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองไปที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนที่เลิกคิ้วท้าทายนางอย่างโอหัง

เหอะ! ไม่คิดเลยว่าจะมีพวกตาต่ำที่ไม่กลัวตายเข้ามาปล้นสิ่งของที่อยู่ในมือของนางด้วย

แต่ก่อนที่จวินอู๋เสียจะได้เปิดปากพูดอะไรออกไป ร่างร่างหนึ่งก็ทะยานเข้ามายืนกั้นอยู่ข้างหน้านางเหมือนกับสายฟ้า จวินอู๋เสียกำลังจะตอบสนอง ร่างนั้นที่เพรียวบางก็ยื่นแขนของเขาออกไปข้างหน้าแล้วจับเด็กหนุ่มคนหนึ่งโยนออกไปจากจุดที่เขายืนอยู่แล้ว เสียงอัดกระแทกกับต้นไม้ดังก้องไปทั่ว ทันทีที่ได้สติกลับคืนมา ก็เห็นเพียงแต่ร่างของเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายคนนั้นร่วงจากอากาศลงสู่พื้น!

“ไอ้พวกสารเลว พวกเจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะถึงได้กล้ามาดักปล้นเช่นนี้! ข้าจะฆ่าพวกเจ้า!” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าซอมซ่อ ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยปะชุน ชี้นิ้วไปทางเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายแล้วด่ากราดไปอย่างไม่กลัวใคร เด็กหนุ่มอีกเจ็ดแปดคนที่มายืนล้อมรอบอยู่ มองไปที่คนที่ชี้นิ้วตะโกนด่าใส่พวกเขาอย่างตกตะลึง

“…” สีหน้าจวินอู๋เสียแข็งค้างไปชั่วขณะ

หลังจากด่าเสร็จ ชายหนุ่มผู้นั้นถึงค่อยหมุนตัวกลับมา เขาเดินเข้ามาหาจวินอู๋เสียพร้อมกับรอยยิ้มยินดีเต็มใบหน้า

“ฮ่าๆๆ ช่างบังเอิญเสียนี่กระไรที่ได้มาเจอเจ้าที่นี่! ไม่ต้องกังวลไป ต่อไปข้าจะปกป้องเจ้าเอง ใครก็ตามที่กล้ามากลั่นแกล้งเจ้า ข้าจะต่อยให้พวกมันหน้าเละไปเลย” เขาพล่ามด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า รอบตัวเปล่งประกายแสงจนแสบตาไปหมด เขามองมาที่จวินอู๋เสียอย่างอารมณ์ดี

จวินอู๋เสียขมวดคิ้วเล็กน้อย มุมปากกระตุกยิก แม้ชายหนุ่มตรงหน้าจะให้บรรยากาศที่คุ้นเคย แต่ทำอย่างไรนางก็นึกไม่ออกเสียทีว่านางกับเขาเคยรู้จักกัน นางไม่มีภาพของชายหนุ่มผู้นี้อยู่ในความทรงจำแม้แต่น้อย

“เจ้า…ทักคนผิดแล้วกระมัง” จวินอู๋เสียพูดด้วยเสียงเย็น

ชายหนุ่มคนนั้นก็ผงะไปทันใด รอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าฉับพลันแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว เขามองไปที่จวินอู๋เสียด้วยแววตาปวดร้าวเล็กน้อยและตัดพ้อ ก่อนจะตัดสินใจนั่งยองๆ ลงกับพื้น โกยเอาเศษดินที่อยู่บนพื้นขึ้นมาลูบหน้า แล้วดึงหญ้าป่าที่ขึ้นอยู่แถวนั้นขยี้ไปที่ศีรษะ ก่อนจะส่งเข้าไปในปากแล้วคาบไว้ เขาเงยหน้าขึ้นมองจวินอู๋เสีย แต่แม้ใบหน้าจะยังคงฉายแววละห้อยน้อยใจ ทว่าเขาก็ยังพยายามทำให้นางจำเขาให้ได้ “เจ้าลองนึกดูดีๆ อีกสักครั้งสิ”