ภาคที่ 5 ตอนที่ 3 ทางเลือกของตนเอง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คำตอบเช่นนี้ไม่ใช่คำตอบอย่างที่ควรเป็น

ตามหลักแล้วเขาควรจะส่ายศีรษะอย่างลำบากใจยิ่ง

“ท่านย่าสมมติเช่นนี้ไม่ได้” แล้วเขาก็จะเอ่ยอย่างเจ็บปวด

หรือทำหน้าระรื่น

“ท่านย่าเรื่องเช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร” เขาจะเอ่ยตอบปฏิเสธ

อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเลือกตรงไปตรงมาเด็ดขาดเช่นนี้ คนที่เลือกยังเป็นพี่ใหญ่กับพี่รองอีก

นายหญิงผู้เฒ่าฟางตะลึง จากนั้นก็คิ้วตั้ง

ใครจะเชื่อกัน!

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มลำบากใจ ผายมือออก

“ในใจท่านย่ามีคำตอบของตนเองแล้ว ข้าตอบสิ่งที่ท่านอยากฟังท่านไม่เชื่อหลังจากนั้นก็โกรธเกรี้ยวด่าข้า ข้าตอบสิ่งที่ท่านไม่อยากได้ยิน ท่านก็ยังจะโกรธเกรี้ยวด่าข้า” เขาเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยต้องถามข้าเล่า”

“นั่นเพราะข้ามองเจ้าทะลุ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางตวาดเอ่ย

“ในเมื่อท่านย่ามองทะลุแล้วก็น่าจะเชื่อคำที่ข้าตอบ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางอย่างตั้งใจ “หากมีสถานการณ์เช่นนี้จริง จิ่วหลิงต้องให้ข้าช่วยพี่ใหญ่กับพี่รองแน่”

“เจ้า!” นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิ้วตั้ง หัวเราะหยันอีกครั้ง “คำตอบนี้ของเจ้าพอใจทั้งสองฝ่ายจริงๆ”

“ท่านย่า เรื่องบนโลกนี้ไหนเลยจะมีพอใจทั้งสองฝ่ายได้” ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจเอ่ย เด็กหนุ่มถอนหายใจทำให้คนรู้สึกว่าน่าขันอยู่บ้าง

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่หัวเราะ ถอนหายใจเช่นกัน

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนไร้หัวใจเช่นนั้น” นางเอ่ย “แล้วข้าก็รู้ว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของตระกูลฟางเราไม่สงบนัก อนาคตก็คงไม่สงบนัก เจ้าจะทำสิ่งใดย่าต้องอยู่กับเจ้าแน่นอน เพียงแต่พี่สาวทั้งหลายของเจ้าน่ะช่างเถิด เกิดที่ตระกูลฟาง พวกนางก็โชคร้ายพอแล้ว”

“ข้าไม่ได้ไร้หัวใจนะ” ดวงตาฟางเฉิงอวี่อมยิ้มเอ่ย “ข้าให้พี่สาวทั้งหลายเลือกด้วยตัวเอง”

“ตัวเลือกนั่นของเจ้าเรียกว่าเลือกอย่างไร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะหยัน “ข้าเลือกแทนพวกนางเอง ข้าให้พวกนางแต่งออกไป”

“ท่านย่า อย่างไรท่านก็ให้พี่สาวทั้งหลายเลือกเองเถอะ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยแล้วยิ้ม “อย่างไรพวกนางก็เกิดที่ตระกูลฟาง”

คำพูดของนาง เขาเอ่ยซ้ำอีกหน มีสิ่งใดไม่เหมือนกันหรือ?

เกิดที่ตระกูลฟางโชคร้ายเช่นนี้ไม่อาจมีทางเลือกได้เชียวหรือ?

นายหญิงผู้เฒ่าฟางโบกมือท่าทางโกรธเคือง

“เชิญคุณหนูทั้งหลายมา” นางเอ่ย

……………………………………….

……………………………………….

เด็กผู้หญิงทั้งหลายไม่เหมือนเด็กผู้ชาย สตรีทั้งสามเดินเข้ามา แม้ไม่มีการพูดคุยเจื้อยแจ้ว ในห้องก็ยังคงครึกครื้นขึ้นมา

บนโต๊ะวางของว่างนานาชนิดไว้เฉกเช่นวันวาน

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่คุยเล่นหัวเราะกับหลานสาวทั้งหลายอย่างไรนัก หลานสาวทั้งหลายมาหานางที่นี่ล้วนเพื่อคุยเรื่องกิจการ แต่ทุกครั้งนายหญิงผู้เฒ่าฟางล้วนเตรียมของว่างไว้เสมอ

ฟางอวี้ซิ่วนั่งลงเช่นปกติ

“เอาน้ำบ๊วยมาให้ข้า” นางเอ่ยกับสาวใช้ทั้งหลาย “เอาน้ำขิงใส่น้ำผึ้งให้คุณหนูใหญ่”

พูดพลางมองฟางจิ่นซิ่วอีก

“จิ่นซิ่วรสนิยมเจ้าเปลี่ยนหรือยัง? น้ำสาลี่ภูเขาหรือน้ำไม้กฤษณา?”

“ตอนี้ข้าชอบดื่มน้ำถั่วกระวาน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย

“รสนิยมเป็นคนเมืองหลวงแล้วจริงๆ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย พยักหน้าให้สาวใช้ทั้งหลาย

สาวใช้ทั้งหลายถอยไปครู่หนึ่งก็ยกน้ำหวานมาตามคำสั่ง สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายทั้งหมดถอยออกไป เหลือเพียงพวกนางย่าหลานนั่งอยู่ด้วยกัน

“ไม่ต้องฟังน้องชายเจ้า ตระกูลนี้ยังผลัดไม่ถึงตาเขาตัดสิน” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเปิดปากเข้าประเด็นเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าแต่งออกไปเถอะ สินเดิมเจ้าสาวจะไม่น้อยกว่าสมบัติตระกูล ข้าจะเลือกคนดีๆ ให้พวกเจ้าเช่นกัน”

ฟางอวิ๋นซิ่วไม่เอ่ยวาจามองไปทางฟางอวี้ซิ่ว

“ท่านย่า สินเดิมเจ้าสาวมากอีกเท่าใดก็ไม่สู้ร้านแลกเงินที่ให้กำเนิดเงินได้ไหมเจ้าคะ” ฟางอวี้ซิ่วยิ้มเอ่ย

“ข้าต้องการร้านแลกเงิน” ฟางจิ่นซิ่วก็เอ่ยอย่างเด็ดขาดตรงไปตรงมาเช่นกัน

นายหญิงผู้เฒ่าฟางขมวดคิ้วมองพวกนาง แต่ไม่บันดาลโทสะเช่นนั้นอย่างที่ฟางอวิ๋นซิ่วกังวล

“เอาล่ะ ไม่ต้องเอ่ยวาจาวางมาดกันแล้ว” นางเอ่ย “พวกเจ้ารู้ว่าเฉิงอวี่ทำไมต้องแยกตระกูล เพราะต่อไปตระกูลฟางจะอันตรายยิ่ง เขาคิดแบกรับเผชิญหน้าเพียงคนเดียวลำพังจึงคิดเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง ไม่ให้ย่อยยับทั้งรัง พวกเราก็รู้ว่าพวกเจ้าทำไมเลือกแยกตระกูล ก็เพื่อร่วมแรงร่วมใจ วันหน้าช่วยเหลือเขาได้”

แม้เดาได้แล้ว แต่ได้ยินชัดๆ บนหน้าฟางอวิ๋นซิ่วถึงโล่งอกอย่างสิ้นเชิง

“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกเจ้าแต่งงานไปใช้ชีวิตดีๆ มีความช่วยเหลือของตระกูลสามี ตระกูลฟางพบเรื่องลำบากก็ช่วยเหลือพวกเราได้เหมือนกัน ต่อให้อนาคตวันนั้นมาถึงจริงๆ พวกเจ้าใช้ชีวิตดีๆ มีชีวิตอยู่ดี ก็นับว่ารักษาตระกูลฟางไม่ให้ย่อยยับทั้งรังเหมือนกัน” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยต่อ

ฟางอวี้ซิ่วยิ้ม วางน้ำหวานในมือลง

“ท่านย่า ท่านพูดผิดแล้ว” นางเอ่ย “หากมีวันนั้นจริง พวกเราไม่มีทางมีชีวิตดีๆ ได้ เพราะพวกเราแซ่ฟาง”

นายหญิงผู้เฒ่าฟางขมวดคิ้วมองนาง

“เจ้าจะบอกว่า แซ่นี้ยังจะพัวพันไปทำร้ายพวกเจ้าที่แต่งออกไปแล้วได้อีกหรือ?” นางเอ่ย สีหน้านิ่งเฉย “ข้าเชื่อว่าด้วยความฉลาดของพวกเจ้า เพียงพอทำให้ตนเองใช้ชีวิตดียิ่งที่บ้านตระกูลสามีได้”

“เรื่องนี้แน่นอนไม่ต้องสงสัย” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “แต่สิ่งที่ข้าพูดไม่ใช่หมายถึงนี้ สิ่งที่ข้าพูดคือ ท่านย่า ท่านคิดว่าเห็นตระกูลฟางย่อยยับ เห็นท่าน ท่านแม่กับเฉิงอวี่พบโชคร้าย พวกเราจะยังมีชีวิตที่ดีได้หรือ?”

นางเน้นเสียงที่คำว่าดี คำว่าดีนี้มีความหมายมากกว่านั้น ใช้ชีวิตดีๆ กับมีชีวิตที่ดี

ไม่ได้พูดสิ่งใดชัดๆ แต่เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น น้ำตาของฟางอวิ๋นซิ่วพลันหลั่งไหลลงมาอย่างไม่อาจห้ามได้ กระทั่งนางยังไม่ทันรู้ตัว เพียงแค่ลองคิดว่า ลองคิดว่าตระกูลฟางย่อยยับท่านย่า ท่านแม่กับน้องชาย…

นางยกมือขึ้นปิดปาก

นายหญิงผู้เฒ่าฟางตะลึงอยู่บ้าง

“ท่านย่า ท่านดูสิ” ฟางอวี้ซิ่วผายมือเบาๆ “แค่คิดนิดเดียว พี่ใหญ่ก็เป็นเช่นนี้แล้ว หากเรื่องเกิดขึ้นจริง ท่านคิดว่าพวกเรายังจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร?”

“พวกเราคงร่ำไห้ทุกวัน ถึงต่อหน้าคนจะฝืนยิ้มแย้มมีความสุข แต่คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ค่ำคืนฝันร้ายไม่หยุด”

“พี่ใหญ่จะทนตรอมตรมเช่นนี้ตายไป”

“ส่วนข้ารวมถึงจิ่นซิ่วเพื่อแก้แค้นจะไม่สนทุกสิ่ง ไม่ตนเองตาย ก็ลากตระกูลสามีทั้งตระกูลไปด้วย”

“ท่านย่า ท่านคิดว่านี่คือชีวิตที่ดีที่พวกเราจะมีหรือ?”

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองฟางอวี้ซิ่ว แม้นางไม่ปิดหน้าร้องไห้เช่นนั้นอย่างฟางอวิ๋นซิ่ว น้ำเสียงก็ยังคงเจ็บปวดรวดร้าว

“พวกเจ้า นี่ไยต้อง…” นางเอ่ยเสียงพร่า

ฟางอวี้ซิ่วยิ้มเล็กน้อย

“ไม่ใช่ไยต้อง แต่เพราะพวกเราแซ่ฟาง” นางเอ่ย เฉิงอวี่พูดถูกต้อง พวกเราเกิดที่ตระกูลฟางเพราะสวรรค์ลิขิตไว้ ไม่อาจเลือกได้ ทว่าพวกเราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร

แซ่ฟาง ประการแรกพูดถึงสายเลือดผูกพัน ท่านย่ากับท่านแม่เกิดเรื่อง พวกนางย่อมไม่มีวันทำตัวเป็นคนผ่านทางทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นได้ อาจถึงขั้นหันไปก็ลืมเลือนการมีชีวิตอย่างมีความสุข อีกประการก็คือเรื่องที่เฉิงอวี่ผู้แซ่ฟางทำได้กล้าทำ พวกนางก็กล้าก็ทำได้เช่นกัน

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าผ่อนคลายลงช้าๆ เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ

นางเข้าใจว่าประโยค ‘พวกนางเกิดที่ตระกูลฟาง’ นั่นที่ฟางเฉิงอวี่เอ่ยซ้ำหมายความว่าอย่างไรแล้ว

เฉิงอวี่มองออกนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องร้องไห้รำพันเจ้าห้ามข้าข้าห้ามเจ้า ไม่สู้เหี้ยมไปเลยเถอะ

เขาจะเหี้ยมขับไล่พี่สาวทั้งหลายออกจากตระกูล เลือกบ้านสามีส่งเดชให้พวกนางจริงๆ เพราะบ้านสามีดีหรือเลวล้วนเหมือนกัน ขอเพียงคนยังอยู่ ชีวิตเลวร้ายก็ใช้ชีวิตอยู่ดีได้ หากคนไม่อยู่แล้ว ชีวิตที่ดีย่อมอันตรธานไม่เหลือ

แทนที่จะให้ผู้อื่นบีบบังคับ ไม่สู้ตนลงมือกับคนของตนเองเถอะ

แม้เขาทำเพื่อเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง บีบบังคับให้พี่สาวทั้งหลายเลือกดูแลร้านแลกเงินต่ออย่างไร้หัวใจ แต่ต่อให้เขาไม่ไร้หัวใจ ศัตรูในอนาคตยิ่งไร้หัวใจ

“ดี” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเหยียดหลังตรง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ให้เป็นดังที่ทุกคนปรารถนาเถอะ”

……………………………………….

……………………………………….

ฟางเฉิงอวี่เดินออกจากเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง รออยู่ด้านนอก

“ดูท่าพี่สาวทั้งหลายก็เกลี้ยกล่อมท่านย่าได้เหมือนกัน” เขายิ้มเอ่ย “ร้ายกาจจริงๆ”

ฟางอวี้ซิ่วเลิกคิ้วหัวเราะ

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องร้ายกาจขึ้นหน่อย อย่าทำเรื่องเลินเล่อ พัวพันพวกเรา” นางเอ่ย “พวกเราหาเงินได้นิดหน่อยไม่ง่าย เจ้าก็รู้สตรีคนนั้นใช้เงินขึ้นมาเหมือนไม่ใช่เงิน”

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

“ถ้าเช่นนั้นพี่สาวทั้งหลายก็ต้องยิ่งร้ายกาจ เช่นนี้ถึงจะไม่ถูกคนเลินเล่อพัวพันเอาได้” เขาเอ่ย

ฟางอวี้ซิ่วโบกมือให้เขา คล้องแขนฟางอวิ๋นซิ่ว

“พี่ใหญ่ ท่านว่าร้านแลกเงินของพวกเราจะชื่ออะไรดี?” นางดวงตาวิบวับเอ่ยขึ้นท่าทางตื่นเต้น

กระทั่งชื่อก็ต้องเปลี่ยนหรือ ร้านแลกเงินที่พวกนางได้มาหลังจากนี้ก็ไม่ใช่เต๋อเซิ่งชางแล้ว นี่แบ่งแยกได้ชัดเจนและถึงที่สุดจริงๆ ฟางอวิ๋นซิ่วในใจรสชาติแปลกแปร่ง อมยิ้มพยักหน้าให้ฟางอวี้ซิ่ว

“เจ้าว่าอะไรดีก็อันนั้นดี” นางว่า

ฟางจิ่นซิ่วที่อยู่ด้านข้างกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง

“พี่ใหญ่ ข้าคิดๆ ดู ท่านมาอยู่ด้วยกันกับข้าเถอะ” นางเอ่ยขึ้น

ฟางอวี้ซิ่วตวัดตามองนางทีหนึ่ง

“โอ๊ะโอ๋ น้องสาม เจ้าจะแย่งคนหรือแย่งกิจการกับข้าล่ะ?” นางเอ่ยถาม

“แย่งกิจการสิ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย เม้มปากยิ้ม

ฟางอวิ๋นซิ่วก็ยิ้มแล้ว นางยิ้มเพราะคำว่าพี่ใหญ่คำนั้นของฟางจิ่นซิ่วรวมถึงน้องสามคำนั้นของอวี้ซิ่ว

เสียงหยอกล้อโต้เถียงคุยเล่นของบรรดาแม่นางในเรือน นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้ยิน นางเดินเข้ามาในห้องเล็กห้องหนึ่งด้านหลังห้องนอนแล้ว ยามปกติภาพวาดผืนหนาบนฝาผนังบังอยู่จึงไม่มีคนสังเกตว่าตรงนี้ยังมีห้องห้องหนึ่ง

ในห้องมืดสลัวคับแคบ วางโต๊ะบูชาเล็กๆ กับเบาะกลมอันหนึ่งไว้ เหนือโต๊ะบูชาแขวนรูปวาดไว้รูปหนึ่ง

นายหญิงผู้เฒ่าฟางจุดธูปสามดอกอย่างเคารพนบนอบ มองคนในภาพวาด

ในภาพวาดเป็นสตรีชราคนหนึ่ง มองแวบเดียวก็เหมือนนายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ่งนัก

“แม่” นายหญิงผู้เฒ่าฟางคุกเข่าลง ใบหน้าเหี่ยวย่นมีน้ำตาไหลลงมา “ชีวิตหน้าข้าใช้คืนท่าน ที่ข้าติดค้างท่าน ชีวิตหน้าใช้คืนให้นะ”

นางค้อมกายโขกศีรษะครั้งหนึ่งแล้วก็อีกครั้งหนึ่ง

……………………