ภาคที่ 5 ตอนที่ 4 ชื่อของเจ้า

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เรื่องตระกูลฟางแบ่งสมบัติ ฟางเฉิงอวี่ไม่ปิดบังคุณหนูจวิน คุณหนูจวินอ่านจดหมายที่ฟางเฉิงอวี่ส่งมาแล้วเงียบงันไม่เอ่ยวาจา

มีกระบองไม้ทิ่มนางข้างหลัง

“ท่านทำอะไร?” คุณหนูจวินดึงออกโดยที่ศีรษะก็ไม่หันกลับ “มีอะไรก็พูด อย่าทั้งวันจับนั่นจับนี่”

“ข้าทำที่ไหน” จูจั้นหนึ่งก้าวเดินเข้ามานั่งลงข้างนาง ก้มศีรษะเด็ดหญ้าบนพื้น “เจ้าสิแจับนั่นจับนี่น่ะ”

คุณหนูจวินไม่สนใจเขา มองถนนใหญ่ด้านหน้า

“มีอะไรเจ้าก็พูดสิ เก็บไว้มีความหมายอะไร” จูจั้นเอ่ย

“ก็ไม่มีอะไรให้พูดได้” คุณหนูจวินเอ่ย “พูดไปแล้วตระกูลฟางก็เป็นคนน่าสงสาร”

“น่าสงสารอะไร ใครรู้ว่าตอนแรกพวกเขารู้อะไรบ้าง” จูจั้นเอ่ยพลางโยนหญ้าในมือทิ้ง

คุณหนูจวินเลี่ยงการสืบสาวราวเรื่องสิ่งนี้มาตลอด ได้ยินพลันเงียบไปครู่หนึ่ง

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พี่น้องตระกูลฟางก็เป็นผู้บริสุทธิ์” นางเอ่ย “ตระกูลฟางมารวมกันเพราะทรัพย์ วันนี้ก็แยกจากกันเพราะทรัพย์ แม้สำหรับเต๋อเซิ่งชางแล้วเป็นความเสียหาย แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ค้นพบหนทางอื่น ก้าวเดินบนทางรอดเส้นหนึ่งใหม่อีกครั้ง”

พูดจบก็ตบมือลุกขึ้นยืน

“พวกเราไปเถอะ”

นางหมุนตัวเดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไม่ได้ยินเสียงพูดจึงอดไม่ได้หันกลับไปมอง

จูจั้นกำลังยิ้มตามมา ฉับพลันนางหยุดหันมาก็คล้ายตกใจสะดุ้งโหยง รีบหุบยิ้ม กะพริบตา ยังคงไม่พูดเช่นเดิม

คุณหนูจวินมองเขา

“ท่านไม่เป็นไรนะ?” นางเอ่ยถาม

จูจั้นส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจอยู่บ้าง

“ท่านทำไมไม่พูดเป็นต่อยหอยแล้วเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม คิดขึ้นมาเหมือนเนิ่นนานนักแล้วที่จูจั้นไม่ได้พร่ำพูดไม่จบไม่สิ้น

จูจั้นถลึงตา

“เจ้าถึงพูดเป็นต่อยหอย” เขาเอ่ย “ข้าเดิมก็ไม่ชอบพูด”

พูดถึงตรงนี้ก็เสียงเบาลงอีก

“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เคยพูดรึ”

นั่นเป็นระหว่างจากแดนเหนือกลับเมืองหลวง เขาไล่ตามมาร่วมทางกับนาง ถูกนางโกรธจนเลิกโกรธ คร้านจะเปลืองคำพูดสอบสวนอีก

ไม่รู้ว่านางยังจำได้ไหม?

จากนั้นก็คิดถึงเรื่องโง่เขลามากมายเมื่อตอนนั้นอีก ฉับพลันทั้งร่างขนลุก อยากให้ตอนนั้นไม่เคยเกิดขึ้นยิ่งนัก นางอย่าจำได้เชียวนะ

คุณหนูจวินไม่รู้ว่าชั่วหนึ่งประโยคในใจเขาผุดความคิดว้าวุ่นสารพันมากมายปานนี้ นางเพียงถามส่งๆ หนึ่งประโยค ถามจบก็หมุนตัวเดินจากไปแล้ว ไม่ได้พูดอันใด

จูจั้นโล่งอกแล้วก็ผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดให้ผิดหวังเช่นกัน อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องสุขสันต์อันใด ลืมไปเสียจะดีกว่า เขาเผยรอยยิ้มตามไปอีกหน

คุณหนูจวินรั้งม้าหันกลับมาจ้องมองเขาอีกหน

“ท่านมีเรื่องใดมีความสุขเช่นนี้?” นางเอ่ยถาม

จูจั้นตะลึงอีกหน หน้าบึ้งตึง

“ไม่มีนี่” เขาเอ่ย

มีเรื่องมีความสุขอะไรที่ไหน ความลับที่ป้องกันแล้วป้องกันอีกของตระกูลฟาง ที่แท้กลับคือเรื่องอื้อฉาวสุดจะรับเช่นนั้นของราชวงศ์ เขาจะดีใจอะไร มีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นหรือ?

“ถ้าเช่นนั้นวันจรดค่ำท่านยิ้มอะไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

จูจั้นยื่นมือลูบใบหน้า

“ข้าทำหรือ?” เขาเอ่ยถาม

คุณหนูจวินค้อนเขาทีหนึ่งไม่พูดอีกหันไปเร่งม้า เพิ่งหันศีรษะไปฉับพลันก็หันมาอีกครั้ง เห็นมุมปากจูจั้นยกขึ้น

“แน่ะแน่ะ” นางยื่นมือชี้ “ท่านดูสิท่านดู”

มือจูจั้นลูบมุมปากที่ยกขึ้น ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าน่าขันนัก เขาหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาเสียเลย

คุณหนูจวินเหล่มองเขาทีหนึ่งไม่เอ่ยวาจาอีกเร่งม้าวิ่งเร็วรี่ไปข้างหน้า

จูจั้นมองแผ่นหลังของนาง สตรีสวมชุดเดินทางเปื้อนฝุ่นซีดหมองบนกลางทุ่งกว้างยามฤดูใบไม้ร่วงที่สีสันตัดสลับกัน ดูไปแล้วเดียวดายทั้งยังองอาจ เหมือนเช่นนั้นที่เขาจดจำได้มาตลอดมา

อายุจริงขององค์หญิงจิ่วหลิงยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่วันนี้ร่างกายร่างนี้เพิ่งอายุสิบหกสิบเจ็ดปี ไม่แตกต่างอันใดนักกับอายุสิบสามปีเมื่อตอนนั้น ดังนั้นดูไปแล้วจึงเหมือนเวลาไหลย้อนกลับ

คนที่เคยหายไปยิ่งวิ่งยิ่งไกลในความทรงจำ ปรากฏตัวชัดเจน

“นี่” จูจั้นป้องมือข้างปากอดไม่ได้ตะโกนเสียงดัง

เงาร่างที่ควบเร็วรี่ไม่ได้จากไปไม่เห็นฝุ่นแล้วก็ไม่ได้ไม่สนใจไยดี แต่หยุดลง คนบนม้าหันกลับมา ลมสารทฤดูพัดเป่าเสื้อผ้าและเส้นผมของนาง

“อะไร?” นางเอ่ยถาม

จูจั้นยิ้ม

“ไม่มีอะไร” เขาเอ่ย

คนบนม้าเหล่มองเขาทีหนึ่ง หมุนตัวเร่งม้าต่อ

“นี่” จูจั้นตะโกนอีกครั้ง

ครั้งนี้ม้ารั้งบังเหียนหยุด คนกลับไม่หันหน้ากลับมา

“ข้ามีชื่อนะ” นางเพียงตะเบ็งเสียงเอ่ย ท่าทางรำคาญอยู่บ้าง

นางมีชื่อ

ใช้แล้ว ชื่อนั้น

จูจั้นสองมือออกแรงกำข้างริมฝีปาก คล้ายผนึกกำลังนับไม่ถ้วนขึ้นมา

“จิ่วหลิง” เขาตะโกน

เขาคิดว่ากำลังตะโกน ที่จริงเสียงเพียงประหนึ่งยุงและแมลงวัน

คนในสายตายิ่งไกลออกไปทุกที

“จิ่วหลิง” เขาตะโกนเสียงดังอีกครั้ง

เสียงดังกังวานส่งออกไป เขาเห็นสตรีในสายตาหันกลับมาเล็กน้อย นางไม่ตอบ เพียงยกมือขึ้น

มีชีวิต ขยับได้ จูจั้นฉับพลันรู้สึกว่าดวงตาถูกทิ่มแทงจนเจ็บปวดไม่อาจมองได้อีกต่อไป เขาเงยศีรษะมองท้องฟ้า

“จิ่วหลิง” เขาตะโกนเสียงดังอีกครั้ง คล้ายส่งเสียงไปยังท้องฟ้า

ดังกังวานจนคล้ายเสียงแตก ฟังแล้วระคายหูอยู่บ้าง

เสียงนี้ยังไม่ทันจบ เขาก็ตะโกนออกมาอีก

เสียงดังกังวานแล้วยังแหบพร่า ทั้งยังแหลมสูงคล้ายต้องการตะโกนให้ทะลุฟ้าดิน บนทุ่งกว้างรกร้างเสียงหนึ่งตามต่ออีกเสียงหนึ่งกระจายออกไป

กีบเท้าม้าดังรัวเร็ว พร้อมกับเสียงแส้ม้าหวดตีดังปั้บ

“จูจั้น ท่านเป็นบ้าอะไร!” คุณหนูจวินตะโกนขุ่นเคือง

จูจั้นตอนนี้ถึงวางมือลง มองคุณหนูจวินที่ขี่ม้าวิ่งกลับมา

“ไม่มีอะไรนี่” เขายิ้มบอก “ตะโกนชื่อของเจ้าไง”

“ต้องตะโกนเช่นนี้ไหม?” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าไม่ได้หูหนวก ท่านตะโกนไม่มีจบสิ้นรึไง?”

จูจั้นมองนางแล้วยิ้ม

“ก็แค่อยากเรียกชื่อของเจ้า” เขาเอ่ย พลางผายมือ “ก็เลยเรียก”

ก็แค่อยากเรียกชื่อของเจ้า

คุณหนูจวินมองเขา จูจั้นไม่ได้ไม่กล้ามองนางหลบสายตาออกไปทันทีเช่นนั้นอย่างปกติแล้ว แต่ยิ้มสบสายตาของนาง

คุณหนูจวินพลันคิดขึ้นมาได้ ไม่นานก่อนหน้านี้ระหว่างทางจากแดนเหนือกลับเมืองหลวง นางเคยหยอกล้อจูจั้น ให้เขาเรียกตนเองว่าจิ่วหลิง แต่จูจั้นโมโหปฎิเสธอย่างไม่ลังเลสักนิด

หลังจากนั้นนางก็คิดได้ ตั้งแต่รู้จักจูจั้นมา เขาไม่เคยเรียกจิ่วหลิงชื่อนี้

นั่นเพราะเขาจำชื่อนี้ไม่ได้หรือ?

แน่นอนไม่ใช่ เขาวิ่งมายังเมืองหลวงไปหน้าสุสานขององค์หญิงจิ่วหลิงด้วยตนเอง ต่อให้อยู่ต่อหน้าสุสานคนตายที่ว่างเปล่า เขาก็ตั้งใจใช้น้ำค้างจัดการเสื้อผ้าหน้าผม

ถ้าเช่นนั้นก็เพราะเขาไม่ชอบชื่อนี้หรือ?

แน่นอนไม่ใช่ เขาเดินทางอยู่ข้างนอก ไม่ว่าใครถามล้วนประสานหมัดแจ้งชื่อหลิงจิ่ว หลิงจิ่วด้วยเสียงดังกังวาน

เขาอารมณ์หม่นหมองเพราะจางเป่าถังเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาบนโต๊ะอาหารอย่างไม่ตั้งใจ

เขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพราะประโยคที่ว่าข้าคือองค์หญิงจิ่วหลิงประโยคเดียวของตน

นี่เพราะอะไรเล่า?

ทำไมเขาไม่เคยเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา?

ทำไมเขาฉับพลันกล้าตะโกนชื่อนี้เสียงดังเช่นนี้?

ทำไมเขาฉับพลันไม่พูดมากเช่นนั้นอีกต่อไป ไม่พูดไร้สาระหยอกล้ออีกต่อไป แต่มักจะยิ้มเพียงอย่างเดียว ยามเดินมาข้างกายนาง ตามอยู่หลังร่างนางก็แย้มยิ้มเต็มหน้าโดยไม่รู้ตัว?

เพราะ ชอบชื่อนี้สินะ

คุณหนูจวินมองเขาแล้วขานอืมคำหนึ่ง เก็บแส้ม้าไป กระตุ้นม้าหันกลับ มุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง

บางทีตัวนางเองก็ไม่ทันรู้สึกตัวว่านางเร่งม้าให้ความเร็วเร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เช่นนี้ลมที่พัดต้องใบหน้าถึงยิ่งรุนแรง เช่นนี้ถึงพาความร้อนบนใบหน้านางไปได้มากขึ้น ไม่ให้ความร้อนนี่แผ่ลามขยายเช่นต้นหญ้าวสันต์ฤดู แหวกกำแพงศิลาทะลวงดินโคลนเติบโตงอกเงยอย่างสะเปะสะปะและไร้การควบคุม

………………………