“ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถ้าคืนนี้แกยิงพี่กล้ามโตของเรา แก๊งเต่าดำไม่เอาแกไว้แน่” ชายคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมกล่าวคำพูดด้วยน้ำเสียงสุดกร้าว “ถ้าแกยังยืนกรานที่จะจับกุมตัวพี่กล้ามโต พวกเราเองก็ไม่ขอรับประกันนะว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป… อยากเป็นฮีโร่มากนักหรือยังไงกัน? ยังไงก็เถอะ ถ้าแกยังอยากใช้ชีวิตในเมืองซ่างเฉิงอย่างมีความสุข สิ่งที่ต้องทำก็คือไปหาท่านฉินแห่งแก๊งเสือขาว กราบขอโทษแทบเท้า แล้วก็ขออภัยจากท่านเสีย!”

เสี่ยวเฉิงพลันมองไปยังเหล่าอันธพาลประมาณสี่สิบถึงห้าสิบคนรอบกาย “นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังบังคับใช้กฎหมายอยู่นะ แน่ใจใช่ไหมว่าจะมาขวางทางกันแบบนี้?”

“เออ! แล้วไงว่ะ?” ชายในชุดเสื้อคลุมเผยเสียงหัวเราะออกมา “ถ้าอยากใช้กฎหมายนัก ก็เอาเลยสิ! ได้ยินมาว่าแกเองก็สู้เก่งพอตัวเหมือนกันนี่… แต่ยังไงก็เถอะ หน่วยกำลังเสริมของแก๊งเต่าดำเองก็มีนักสู้มากฝีมืออยู่เยอะเหมือนกันแหละน่า อยากลองดูสักหน่อยไหมล่ะ?”

ทั้งนี้ คนที่มาจากหน่วยกำลังเสริมของแก๊งเต่าดำนั้นถือเป็นคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานสกปรกในสังคม อันที่จริง คนเหล่านี้ถือเป็นนักสู้ที่ได้รับการฝึกฝนและเป็นถึงรากฐานของแก๊งเต่าดำเลยก็ว่าได้

เสี่ยวเฉิงพลันยัดปืนลงไปเก็บในซองหนังข้างกาย ทันทีที่เห็นเช่นนั้น ชายที่สวมเสื้อคลุมก็คิดว่าเสี่ยวเฉิงน่าจะกลัวจนหัวหดแล้ว เขาจึงยิ้มออกมาด้วยสีหน้าสุดพอใจ ทว่า ทันทีที่เสี่ยวเฉิงเก็บปืนเสร็จ เขาก็พลันกล่าวคำพูดออกมา “ดูเหมือนว่ากระสุนคงจะไม่พอ แต่ถ้าหมัดก็น่าจะได้อยู่”

ทันใดนั้นเอง เสี่ยวเฉิงก็พุ่งเข้าไปซัดหมัดใส่ชายเสื้อคลุมตรงหน้าจนเลือดพุ่งออกมาจากจมูกราวกับน้ำพุ หมัดของเสี่ยวเฉิงในครั้งนี้ถือเป็นตัวจุดชนวนแห่งการต่อสู้ขึ้นมาทันที

หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวเฉิงก็ดำดิ่งลึกลงไปในจิตใต้สำนึกและเข้าสู่สภาวะอัลตราซาวนด์ทันที ภายในเวลนาหนึ่งวินาที ความถี่ในการเคลื่อนที่ของวัตถุทั้งหมดรอบกายก็สะท้อนกลับมายังสมองของเสี่ยวเฉิง มันให้ความรู้สึกราวกับว่าสมองของตนนั้นกำลังสแกนและสร้างแผนที่สามมิติของทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวขึ้นมา

ทว่า เสี่ยวเฉิงในตอนนี้ก็ไม่ได้ต้องการที่จะแสดงความเมตตาหรือเห็นใจอีกต่อไปแล้ว เขาพลันระเบิดพลังที่ซ่อนอยู่ในกำปั้นและฝ่าเท้าของตนเองออกมาราวกับเป็นการปลดปล่อยพลังแห่งความหายนะ ถึงกระนั้น เสี่ยวเฉิงเองก็ยังควบคุมพลังของตนได้โดยรู้ตัวดีว่าความแข็งแกร่งระดับสูงสุดของตนนั้นสามารถแยกกะโหลกของใครสักคนออกมาได้เลย

ทั้งนี้ เสี่ยวเฉิงพลันควบคุมพลังหมัดของตัวเองไว้ได้ประมาณ 500 ถึง 800 กิโลกรัม เขาพลันทำลายทุกสิ่งอย่างที่สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการเหวี่ยงหมัด เหวี่ยงขาหรือเหวี่ยงศอกใส่อีกฝ่าย

ทว่า โลกนี้จะมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ถูกเรียกว่ามนุษย์รถถัง พวกเขาทั้งแข็งแกร่งและทรงพลัง แม้แต่เหล็กกล้าหรือกำแพงคอนกรีตก็ไม่สามารถหยุดคนประเภทนี้เอาไว้ได้ ทุกอย่างที่สัมผัสกับคนประเภทนี้จะถูกทำลายสิ้นในทันที

นั่นแหละคือสภาพของเสี่ยวเฉิงในตอนนี้! ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้!

ด้วยร่างกายที่ทรงพลัง เขาก็พลันพุ่งเข้าไปซัดอีกฝ่ายด้วยหมัดและฝ่าเท้าอย่างโหดเหี้ยม ทั้งนี้ เสี่ยวเฉิงเองก็ไม่ได้ต้องการเทคนิคในการชกต่อยอะไรที่แปลกใหม่เลย นั่นเพราะมันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว

ในตอนนี้ ทั้งถนนเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องอย่างโอดครวญและน่าสังเวช

แน่นอน เสี่ยวเฉิงไม่เพียงแต่มีพละกำลังที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวเท่านั้น แต่เขายังความสามารถดุจดั่งเทพเจ้าในการจับการเคลื่อนไหวของทุกคนรอบกายอีกด้วย! และนี่ก็คือความสามารถในการใช้คลื่นอัลตร้าโซนิคของค้างค้าว ไม่ว่าจะเป็นท่อนเหล็ก กระบองหรืออะไรก็ตามที่อีกฝ่ายเหวี่ยงมา เสี่ยวเฉิงก็สามารถหลบได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นฮีโร่ในหนังแอ็คชั่น

ในตอนนี้ เสี่ยวเฉิงเองก็ไม่ต่างอะไรกับแฮ็กเกอร์ที่คอยเขียนโค้ดเพื่อสร้างสกิลในการต่อสู้และการหลบหลีกทั้งหมดในเกมให้กับตนเองเลย เสี่ยวเฉิงพลันไล่กระทืบและซัดหน้าเหล่าอันธพาลแต่ละคนที่พุ่งเข้ามาจนล้มลงไปนอนกองกับพื้น ในตอนนั้นเอง ลูกค้าหลายสิบคนที่เพิ่งจะออกมาจากไนต์คลับต่างก็ตกใจทันทีที่เห็นการต่อสู้ตรงหน้า ห้าสิบต่อหนึ่ง! และไม่ต้องพูดให้มากความเลย หนึ่งคือฝ่ายที่ชนะ! สิ่งนั้นทำให้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์พลันตกตะลึงไม่น้อย

สำหรับวันนี้ เสี่ยวเฉิงก็ได้แสดงความโหดมากถึงมากที่สุดออกมาให้อีกฝ่ายเห็นแล้ว แต่ทุกอย่างยังไม่จบแค่นี้ หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวเฉิงก็พุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายอีกครั้งในทันที แค่แรงพุ่งตัวที่น่าสะพรึงกลัวของเสี่ยวเฉิงนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้อันธพาลทุกคนหมดสติและนอนจมกองเลือดของตัวเองแล้ว

หลังจากล้มเหล่าอันธพาลไปได้กว่าหนึ่งโหลด้วยการพุ่งเพียงครั้งเดียว เสี่ยวเฉิงก็พลันหยิบท่อเหล็กสองอันขึ้นมาและเริ่มเล่นเกมตีตัวตุ่น… แค่การซัดท่อเหล็กไปยังกะโหลกของอันธพาลแต่ละคนนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาลุกขึ้นมาสู้ต่อไม่ได้อีก

นอกจากนี้ ชายกล้ามโตที่ยอมรับว่าตนเป็นคนกระทืบเจ้าหน้าที่หวังก็พลันฉี่แตกคากางเกง เขาพลันเผยสีหน้าสุดซีดเซียวราวกับกระดาษออกมา คำเดียวที่อยู่ในหัวในตอนนี้ก็คือคำว่า “วิ่ง!”

ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเฉิงก็พลันขว้างไม้ปลายแหลมด้วยพละกำลังอันน่าเหลือเชื่อใส่ชายกล้ามโตที่กำลังหันหลังและวิ่งหนี ทั้งนี้ ไม้ปลายแหลมเองก็พลันพุ่งเป็นเส้นตรงจนเสียบเข้าไปกลางหลังของชายกล้ามโตอย่างน่าสยดสยอง วินาทีที่ไม้ปักเข้ากลางหลัง ชายกล้ามโตก็พลันกระอักเลือดจนล้มลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมกับเริ่มชักดิ้นชักงอ

ระหว่างที่มองไปยังอันธพาลของแก๊งเต่าดำที่นอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น เสี่ยวเฉิงก็พลันหอบหนักด้วยความเหนื่อย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มองไปยังชายที่สวมเสื้อคลุมและถามขึ้น “เป็นยังไงบ้างล่ะ? เราสะสางปัญหากันจบหรือยัง?”

ทันทีที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้า ชายเสื้อคลุมก็พลันตกใจมาก มากเสียจนลืมวิธีขยับขาไปเลย และนั่นก็ทำให้เขายืนอยู่ที่เดิมด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา…