บทที่ 143 ยกเลิกโครงการ

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 143 ยกเลิกโครงการ

“ผู้จัดการเฝิง ความหมายของคุณคือ…..”

เมื่อเฝิงจงเหลียงได้ยินคำติถามอันฉะฉาน เขาก็ตื่นตระหนกทันที

“เจียงมู่หลง ผมขอบอกความจริงกับคุณแล้วกัน ที่คุณได้รับโครงการนี้มา เป็นเพราะประธานสวีเห็นแก่เจียงหว่าน ถึงได้มอบหมายโครงการนี้ให้คุณ ตอนนี้โครงการของคุณทำได้ไม่ดีก็ไม่ว่ากัน แต่กลับคิดจะมาเอาโครงการในมือของเจียงหว่านไปด้วย เรื่องนี้ ผมต้องรายงานประธานสวีตามความเป็นจริง เมื่อถึงเวลานั้นประธานสวีจะตัดสินใจว่าคุณจะสามารถดำเนินโครงการนี้ต่อไปได้หรือไม่” เฝิงจงเหลียงพูด

“อันนี้……”

เจียงมู่หลงตกตะลึงทันที พวกเขาไม่สามารถดำเนินโครงการก่อสร้างในเขตซีไห่ต่อไป?

จุดประสงค์การมาที่นี่ของพวกเขา คือการเอาโครงการที่อยู่ในมือของเจียงหว่าน แต่ทำไมพูดไปพูดมา แม้แต่โครงการของพวกเขาเองก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว?

“ผู้จัดการเฝิง ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่อยากช่วยเจียงหว่านแบ่งปันความกดดันเท่านั้นเอง หากคุณไม่ชอบฟัง ก็ถือเสียว่าผมไม่ได้พูด” เจียงมู่หลงพูดอย่างกระวนกระวาย

โครงการเขตซีไห่ เป็นขนมหวานที่ทุกคนต่างก็จ้องมอง ตระกูลระดับต้นๆจำนวนไม่น้อยที่อยากได้ หากรู้ว่าเขาสูญเสียโครงการนี้ ในพริบตาเดียวก็คงจะถูกแย่งจนไม่เหลือซากทันที

เฉินเสว่ก็ตื่นตระหนกแล้วเช่นกัน เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะมีจุดจบเช่นนี้

สีหน้าของเฝิงจงเหลียงเย็นชา ปฏิเสธผู้อื่นอย่างเยือกเย็นและไม่ใยดี และพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ในเมื่อพวกคุณไม่เห็นโครงการนี้อยู่ในสายตา แล้วทำไมมู่ซื่อกรุ๊ปของเราต้องร่วมมือกับพวกคุณด้วย?””

“ตอนแรกอยู่ในบริษัทมู่หราน พวกคุณก็คิดอยากเปลี่ยนการร่วมมือ ผมเคยปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง และตอนนี้พวกคุณต้องการจะเปลี่ยนอีก เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า หากผมยังไม่บอกประธานสวีอีก เกรงว่าแม้แต่งานของตัวเองก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว!”

“ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”

บูม!

คำพูดเหล่านี้ราวกับฟ้าผ่าลงมา ทำเอาเจียงมู่หลงตกตะลึงงัน

เขายืนอยู่กับที่ ขณะนี้แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกเสียใจสุดขีด ถ้ารู้แบบนี้ ก็ไม่น่ามาที่นี่ เขาคงไม่ต้องพบจุดจบเช่นนี้ แม้แต่โครงการในมือก็ไม่เหลือแล้ว

นี่คือบันไดของตระกูลเจียงที่ก้าวไปสู่ตระกูลระดับต้น หากไม่มีโครงการนี้แล้ว เกรงว่าตระกูลเจียงทั้งหมด ตลอดชีวิตนี้คงไม่มีวันได้กลายเป็นตระกูลระดับต้นอย่างแน่นอน!

“ผู้จัดการเฝิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมเถอะผู้จัดการเฝิง!” เจียงมู่หลงร้องไห้อย่างขมขื่น

“ไสหัวไป!” เฝิงจงเหลียงพูดอย่างเย็นชา

ถ้าไม่ใช่เพราะประธานสวีสั่งมา

คนประเภทนี้ แม้แต่โครงการลงทุนเขตซีไห่แทบไม่มีคุณสมบัติเลย

ตอนนี้เขาถึงกับโลภมากจนน่ารังเกียจ ทำให้เขารู้สึกขยะแขยง

“ผู้จัดการเฝิง……”

เจียงมู่หลงยังคงขอร้องต่อ แต่ถูกรปภ.ที่หน้าประตูเดินเข้ามาลากเขาออกไปโดยตรง

บูม!

ประตูสำนักงานถูกปิดอย่างแรง ตระกูลของเจียงมู่หลงทั้งหมด และสมาชิกตระกูลเจียง ถูกขวางไว้ให้อยู่ข้างนอก

เจียงมู่หลงและคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน

“นี่ ถูกปฏิเสธเหรอ?”

“เจียงมู่หลง ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี หากปราศจากความร่วมมือ ตระกูลเจียงของเราแทบไม่มีทางที่จะตั้งหลักได้ แม้แต่แหล่งที่มาของรายได้ก็ไม่มีแล้ว”

“ถูกต้อง มู่หลง เป็นเพราะนายที่อยากจะมามู่ซื่อกรุ๊ปให้ได้ ตอนนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นายต้องรับผิดชอบ!”

“ชีวิตความเป็นความตายของตระกูลเจียงอยู่ที่นายคนเดียวแล้วนะ!”

ลูกหลานตระกูลเจียงที่ยืนอยู่หน้าประตูต่างก็เปิดปากพูด ตอนที่มา พวกเขาต่างก็ชื่นชมเจียงมู่หลง แต่ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเขาเปลี่ยนคำพูด ต่างก็หันมาตำหนิเจียงมู่หลง

ลูกหลานตระกูลเจียงเหล่านั้นเป็นเพียงกลุ่มคนอ่อนหัด เทียบกับเจียงมู่หลงไม่ได้เลย

“ไห่เชา ตอนนี้ควรทำยังไงต่อดี?” เฉินเสว่พูดด้วยความตื่นตระหนก

“ทำยังไงได้ล่ะ? คุณไม่ได้ยินที่เฝิงจงเหลียงพูดหรือ เขาเห็นแก่เจียงหว่านถึงยอมให้สัญญาร่วมมือกับเรา ในสถานการณ์เช่นนี้ ได้แต่ไปหาเจียงหว่านเท่านั้น”เจียงไห่เชาถอนหายใจเ

เจียงมู่หลงขมวดคิ้ว? ไปขอร้องคนสารเลวแบบนั้น? ทรมานยิ่งกว่าการฆ่าเขาให้ตาย

แต่ว่า หากขาดการร่วมมือจริงๆล่ะ

ตระกูลเจียงของพวกเขา เกรงว่าอยู่ในเจียงหนานคงจะไม่มีารากฐานและจุดยืนอีกต่อไป เพราะพวกเขาได้ทุ่มเทด้านนี้มามากเกินไป

“เจียงหว่านนางแพศยาคนนี้ ยังบอกว่าไม่เคยนอนกับผู้จัดการเฝิง! ผมว่าบนหัวของไอ้เศษสวะนั่น คงถูกสวมเขาจนเต็มแล้วมั้ง!” เจียงมู่หลงพูดอย่างโมโหแต่ถึงโกรธแค่ไหนก็ตัดสินใจ โทรศัพท์ไปหาเจียงหว่าน

“คุณชายมู่”

ในเวลาเดียวกัน ที่ชั้นบนสุดของมู่ซื่อกรุ๊ป สวีเจ๋อปิงก็โทรหามู่เซิ่งเช่นกัน

หลังจากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นในมู่ซื่อกรุ๊ปแล้ว มู่เซิ่งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “คนเรานี่โลภมากไม่รู้จักพอจริงๆ ไอ้เศษสวะคนนี้ แม้แต่การร่วมมือของตัวเองยังจัดการไม่ได้ ยังคิดจะเข้าไปแทรกแซงโครงการของภรรยาผม”

“คุณชายมู่ เฝิงจงเหลียงให้พวกเขาไสหัวออกไปแล้ว” สวีเจ๋อปิงพูดด้วยความเคารพ “เจียงมู่หลงคุกเข่าขอร้อง แต่เฝิงจงเหลียงไม่เห็นด้วย คาดว่าสักครู่เจียงหว่านต้องโทรหาผมแน่ การตัดสินใจของท่านคือ?”

“อย่าเพิ่งรับสาย” มู่เซิ่งพูดนิ่งๆ

“ได้ครับ คุณชาย”

สวีเจ๋อปิงวางสายโทรศัพท์

ที่ตระกูลเจียง เจียงหว่านได้รับโทรศัพท์จากเจียงมู่หลง หลังจากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น เธอโกรธจนลุกขึ้นนั่งบนโซฟา แม้ว่าเจียงมู่หลงไม่ได้บอกจุดประสงค์ที่พวกเขาไปมู่ซื่อกรุ๊ป มีหรือเจียงหว่านจะเดาไม่ออก เขาต้องใช้ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเจียง เพื่อแย่งชิงโครงการเขตไห่ที่อยู่ในมือของตัวเอง

คิดจะให้ร้ายตัวเอง ผลสุดท้ายตัวเองกลับโชคร้าย และสุดท้ายก็ต้องมาอ้อนวอนเธอเหรอ? เจียงหว่านอยากรู้จริงๆ ทำไมเจียงมู่หลงถึงได้หน้าด้านขนาดนี้!

“เจียงหว่าน ตอนนี้เธอเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเจียง จำเป็นต้องหาวิธี หารือกับประธานสวีเพื่อกู้คืนเรื่องนี้” เจียงมู่หลงพูดผ่านสายโทรศัพท์

เจียงหว่านโกรธจนเกือบจะหัวเราะออกมาและพูดว่า “ขอโทษนะ แม้ว่าฉันจะรู้จักประธานสวี แต่ฉันก็ไม่มีอำนาจมากขนาดนั้น”

“เธอกล้าปฏิเสธฉันเหรอ?”

เจียงมู่หลงโกรธแค้นมากแต่ก็อดทนไว้ “หากเธอไม่ขอร้องประธานสวี ฉันจะตัดแหล่งรายได้ตระกูลเจียงของเธอซะ เธอต้องรู้ว่า เงินร้อยล้านยังอยู่ในมือของฉัน!”

“เจียงมู่หลง ไร้ยางอาย!” เจียงหว่านโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“เหอ เหอ คุณคิดเอาเองแล้วกัน อย่างมากก็แค่สนุกด้วยกัน อดตายกันหมด!” เจียงมู่หลงเล่นลูกไม้หน้าด้านๆ แล้วก็วางสายโทรศัพท์

เจียงหว่านจนปัญญา เจียงมู่หลงไม่มีความมุ่งมานะเลยและดูถูกตัวเอง แต่เธอทำไม่ได้ เธอยังต้องหาเงินสี่สิบล้านเพื่อมอบให้กับจ้าวหลิน จนปัญญา เธอทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วโทรหาสวีเจ๋อปิง

แต่โทรไปแต่ละครั้ง ก็ถูกกดวางสาย เจียงหว่าน โทรหาเฝิงจงเหลียง และผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม

ด้วยความจนปัญญาสิ้นหวัง เธอได้แต่ถอนหายใจ

ดูเหมือนว่าครั้งนี้ ประธานสวีคงจะโกรธจริงๆแล้ว

มู่เซิ่งสวมหมวกแก๊ป เดินลงจากเครื่องบิน เขามาเมืองเยียนจิงครั้งนี้ นอกจากแจ้งคนในครอบครัวเจียงหว่านแล้ว เขาไม่ได้บอกคนอื่นแม้แต่คนเดียว

เมืองเยียนจิงที่ไม่ได้เห็นมานาน สำหรับเขาแล้ว มีความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูก ในปีนั้น เขากับแม่ได้หนีไปจากที่นี่พร้อมกัน เพื่อปกป้องให้เขาหนีรอดจนแม่ต้องมาเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ เขาถูกส่งไปยังค่ายทหารและเป็นทหารสิบกว่าปี

เมืองเยียนจิงใหญ่มาก มีสถานที่มากมาย ที่เขาไม่เคยไปมาก่อน ในปีนั้นความวุ่นวายที่เกิดกับครอบครัว คุณพ่อเพื่อต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าวงศ์ตระกูล มีปัญหาทั้งภายในและภายนอก เพื่อเห็นแก่ความปลอดภัย นอกจากไปเรียนแล้ว เขาก็จะถูกขังไว้ที่บ้านตลอด มองออกไปนอกหน้าต่าง คือท้องฟ้าสีครามที่ทอดยาวเสมอ

มู่เซิ่งไม่ได้กลับไปที่ตระกูลมู่ในทันที แต่ออกเดินทางไปที่อาคารเหวินเฟิง

ในฐานะที่เป็นบริษัทระดับกลางในเมืองเยียนจิง บริษัทเหวินเฟิงมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมเยอะมาก และมีเงินทุนที่หนาแน่น ถึงกับซื้อตึก ตั้งชื่อในนามของบริษัทและใช้ทำเป็นสำนักงาน

มู่เซิ่งไม่มีหลักฐานในการเข้าออก เมื่อมาถึงประตู ก็ถูกรปภ.ขวางไว้

รปภ.หยาบคายมาก สภาพอย่างมู่เซิ่ง ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในอาคารอาคารเหวินเฟิง อ้าปากก็บอกให้เขาไสหัวออกไป ดูถูกและไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย

“ให้เหยาเผิงลงมา” มู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตูพูดอย่างนิ่งๆ

เมื่อรปภ.ได้ยินเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ

“บอกให้นายไสหัวไปนายก็ไสหัวออกไปดีๆ? ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีจริงๆ อยากพบท่านประธานของเรา? นายเป็นตัวอะไร นายคู่ควรเหรอ?” รปภ.หน้าประตูเย้ยหยัน

“ใช่ นายรีบไปเถอะ อย่ามายืนอยู่ตรงนี้มันจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของพวกเรา ไม่มองสภาพตัวเองเลย” พนักงานต้อนรับหญิงก็พูดอย่างเหยียดหยาม แต่ละวันเธอต้อนรับแต่นักธุรกิจหนุ่มที่ใส่สูท นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนแต่งกายด้วยชุดข้างถนน ยังคิดจะเข้าไปในอาคารเหวินเฟิง

ไม่รู้จักส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองบ้าง