ตอนที่ 132 วันที่สิบ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 132 วันที่สิบ
แม้ว่าท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอา และบรรดาน้องชายจะเสียชีวิตลงที่หนานเจียงทั้งหมด ตระกูลไป๋ต้องเผชิญกับหายนะครั้งยิ่งใหญ่ ทว่า หลานสาวของนางก็ยังคงรักษาความดี ความตั้งใจเดิมและความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาที่อยู่ในใจของได้ รากฐานความแข็งแกร่งของตระกูลไป๋ที่มีอยู่ในคนทุกรุ่นหล่อหลอมรวมเป็นร่างเดียวกันกับไป๋ชิงเหยียน

นอกจากความเจ็บปวด องค์หญิงใหญ่กลับรู้สึกดีใจ ดีใจที่แม้มือของนางต้องเปื้อนเลือด…ทว่า อาเป่าไม่ใช่คนเช่นนั้น อาเป่าเป็นคนของตระกูลไป๋อย่างแท้จริง!

“เจ้าลุกขึ้นมาเถิด!” องค์หญิงใหญ่ลืมตาขึ้น สีหน้าอ่อนล้า

“เจ้านำป้ายหยกครึ่งแผ่นนี้ไปมอบให้อาเป่า ข้าจะมอบองครักษ์ที่ฝึกฝนเสร็จแล้วกลุ่มนี้ให้อาเป่า!”

“เจ้าจงบอกกับอาเป่าว่าหลังจากเสร็จสิ้นพิธีทั้งหมดในวันพรุ่งนี้ นางจะจัดการกับลูกอนุผู้นั้นอย่างไรก็ได้ ข้า…จะไม่เข้าไปขัดขวางอีก!” องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจยาว ปวดใจอย่างที่สุด น้ำเสียงแหบพร่า

“ขอนางอย่าได้เกลียดย่าอย่างข้า ข้าแก่แล้ว อาจหน้ามืดตามัวไปบ้างเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือด และความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจ”

ยามโฉ่ว[1] ถงหมัวมัวเดินเข้ามาในห้อง ทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าว

“คุณหนูใหญ่ เจี่ยงหมัวมัวข้างกายขององค์หญิงใหญ่มาพบคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

หญิงสาวมองไปทางจี้ถิงอวี๋ซึ่งนอนอยู่บนเตียงโดยที่ลมหายใจสม่ำเสมอแล้ว วางเตาอุ่นมือในมือลง กล่าวกับท่านหมอหงที่ยังอยู่เฝ้าดูอาการของจี้ถิงอวี๋

“รบกวนท่านหมอหงดูแลจี้ถิงอวี๋ด้วย ข้าจะรีบไปรีบกลับ!”

“คุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนสักชั่วยามเถิดขอรับ เดี๋ยวยังต้องวุ่นวายเรื่องเคลื่อนขบวนศพอีก จี้ถิงอวี๋ปลอดภัยแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาเป็นอันใดไปเด็ดขาดขอรับ!”

หญิงสาวพยักหน้าพลางย่อกายลง หยิบเตาอุ่นมือ คลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเรียบร้อยจากนั้นเดินออกมาจากห้องที่สว่างไสวจากแสงของเตาผิง

ลมหนาวพัดผ่าน เจี่ยงหมัวมัวยืนอยู่ที่หน้าประตู ไป๋ชิงเหยียนกำเตาอุ่นมือแน่น ก้าวเท้าเดินออกมา

“คุณหนูใหญ่…” เจี่ยงหมัวมัวรีบถลาเข้าไปทำความเคารพ น้ำตาไหลพรากออกมาในทันที

“เจี่ยงหมัวมัวมีเรื่องอันใดก็รีบกล่าวเถิด ข้าเหนื่อยมากแล้ว” น้ำเสียงเหนื่อยล้าของหญิงสาวแฝงไปด้วยความเย็นชา ไม่มีความสนิทสนมดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว

เจี่ยงหมัวมัวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน สองมือยื่นป้ายหยกดำลายมังกรครึ่งแผ่นให้ไป๋ชิงเหยียน

“คุณหนูใหญ่คงทราบดีว่าองค์หญิงใหญ่มีองครักษ์ลับของราชวงศ์อยู่กลุ่มหนึ่ง! นี่คือป้ายหยกที่ใช้สั่งการองครักษ์ลับเจ้าค่ะ องครักษ์ลับจะฟังคำสั่งของผู้ครอบครองป้ายหยกเท่านั้น หลังจากเสร็จพิธีเคลื่อนขบวนศพในวันพรุ่งนี้ เว่ยจงจะมาพบคุณหนูใหญ่ ต่อไปจะเชื่อฟังแต่คำสั่งของคุณหนูใหญ่คนเดียวเจ้าค่ะ องค์หญิงใหญ่ให้บ่าวนำป้ายหยกนี้มามอบให้คุณหนูใหญ่ยังกล่าวอีกว่า หลังจากเสร็จพิธีเคลื่อนขบวนศพในวันพรุ่งนี้ คุณหนูใหญ่จะจัดการกับบุตรอนุผู้นั้นเช่นไรก็ได้ องค์หญิงใหญ่จะไม่สนใจอีกเจ้าค่ะ!”

เมื่อเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนไม่ยอมรับป้ายหยก เจี่ยงหมัวมัวรีบเดินเข้าไปจับมือไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าว

“บ่าวเดินกลับเรือนชิงฮุยไปพร้อมกับคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ สนทนากันระหว่างทางเจ้าค่ะ!”

“ข้าจะไปโถงทำพิธี” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว

ดวงวิญญาณของท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอา และบรรดาน้องชายต้องมีคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา

เจี่ยงหมัวมัวพยักหน้า ประคองไป๋ชิงเหยียนเดินไปยังโถงทำพิธี

“คุณหนูใหญ่ องค์หญิงใหญ่กล่าวว่านางแก่จนเลอะเลือน เห็นแก่ความสัมพันธ์ทางสายเลือด และความรู้สึกผิดจนหน้ามืดตามัวไป คุณหนูใหญ่ได้โปรดอย่าได้เกลียดนาง คุณหนูใหญ่เจ้าคะ บ่าวรับใช้องค์หญิงใหญ่มาทั้งชีวิต เคยได้ยินองค์หญิงใหญ่ยอมรับผิดอยู่เพียงสองครั้งเท่านั้น ล้วนเป็นการสำนึกผิดกับคุณหนูใหญ่คนเดียว! คุณหนูใหญ่ให้องค์หญิงใหญ่เลือกระหว่างคุณหนูกับบุตรอนุผู้นั้น ทว่า คุณหนูใหญ่คือก้อนเมฆบนท้องฟ้า เป็นดั่งแก้วตาดวงใจขององค์หญิงใหญ่ บุตรอนุผู้นั้นต่ำต้อยราวเศษโคลน จะมาเทียบกับคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกันเจ้าคะ!”

ลมหนาวยามดึกสงัดหนาวเหน็บมากที่สุด ทว่า หนาวสู้ความเหน็บหนาวในใจของคนไม่ได้

ถ้อยคำอ่อนโยนมากมายเพียงใดก็ทำให้ใจที่ตายไปแล้วอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้หรอก

“ครั้งนี้ องค์หญิงใหญ่ยอมมอบองครักษ์ลับให้แก่คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่เจ้าคะ องค์หญิงใหญ่อยากให้คุณหนูเห็นถึงความจริงใจของท่านนะเจ้าคะ อีกไม่นานองค์หญิงใหญ่ก็จะเดินทางไปบำเพ็ญเพียรที่วัดแล้ว คุณหนูใหญ่ต้องเดินทางกลับซั่วหยาง หากกล่าวไม่น่าฟังสักนิด ต่อไปสองย่าหลานอาจจะไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย! องค์หญิงใหญ่ชราภาพมากแล้ว…คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี คุณหนูใหญ่ได้โปรดเห็นใจท่านสักนิดเถิดเจ้าค่ะ บุรุษตระกูลไป๋ล้วนไม่อยู่แล้ว คนที่เหลืออยู่ไม่ควรหมางเมินกันเช่นนี้นะเจ้าคะ!” เจี่ยงหมัวมัวอ้อนวอน

“ถ้อยคำนี้ เจี่ยงหมัวมัวเคยเตือนองค์หญิงใหญ่แล้วหรือไม่”

น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนเย็นชาจนเจี่ยงหมัวมัวมือสั่นเทา องค์หญิงใหญ่…ไม่ใช่ท่านย่า คุณหนูใหญ่ต้องการตัดขาดความสัมพันธ์กับองค์หญิงใหญ่จริงๆ อย่างนั้นหรือ!

“คุณหนูใหญ่…” เจี่ยงหมัวมัวกัดฟันพลางกุมมือไป๋ชิงเหยียนแน่น “เจี่ยงหมัวมัวเป็นคนเสนอความคิดให้องค์หญิงใหญ่ฆ่าจี้ถิงอวี๋เองเจ้าค่ะ หากคุณหนูใหญ่ยังไม่หายโกรธ บ่าว…จะฆ่าตัวตายเป็นการชดใช้เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่อย่าโกรธเกลียดองค์หญิงใหญ่เลยนะเจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียชะงักฝีเท้าลง มองดูเจี่ยงหมัวมัวแล้ว พลันนึกถึงอวี้เหลียนที่มาฆ่าจี้ถิงอวี๋เพื่อมารดาของนาง

หญิงสาวชักมือออกจากการเกาะกุมของเจี่ยงหมัวมัว มองไปยังเจี่ยงหมัวมัวนิ่งๆ

“หมัวมัว เรื่องที่โง่ที่สุดบนโลกใบนี้คือการเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลก ฝากชีวิตหรืออนาคตของคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตัวเองไว้ในมือของผู้อื่น! หมัวมัวจงมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลองค์หญิงใหญ่เถิด! ส่วนองครักษ์ลับ…ข้าจะรับไว้ก็แล้วกัน แต่ว่าระหว่างข้ากับท่านย่า นอกจากคำเรียกขานแล้ว ความสัมพันธ์ย่าหลานของเรามิอาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”

คนในตระกูลไป๋ยังต้องการความคุ้มครองจากองค์หญิงใหญ่ ขอแค่องค์หญิงใหญ่ไม่ปกป้องบุตรอนุผู้นั้นอีกต่อไป นางก็คงไม่ตัดขาดอย่างไร้เยื่อใยถึงเพียงนั้น

อย่างไรซะ ความผูกพันระหว่างนางกับท่านย่าคือเรื่องจริง บัดนี้ ทั้งสองคนต่างมีจุดยืนอยู่คนละทาง กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

หญิงสาวรับป้ายหยกครึ่งแผ่นมาจากเจี่ยงหมัวมัว หมุนตัวเดินไปยังโถงทำพิธี

เจี่ยงหมัวมัวยืนมองดูไป๋ชิงเหยียนเดินจากไปพร้อมกับถงหมัวมัว และชุนเถาทั้งน้ำตาอยู่ตรงระเบียงทางเดินพลางถอนหายใจ สุดท้ายแล้วสองย่าหลานก็บาดหมางกันอยู่ดี เกรงว่าชาตินี้คงกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

ไป๋ชิงเหยียนหยุดอยู่หน้าโถงทำพิธี ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปด้านในก็ชะงักฝีเท้าลง นางหันไปกล่าวกับถงหมัวมัว

“หมัวมัวช่วยไปบอกกับลุงผิงให้ข้าหน่อย ให้เขาคัดเลือกองครักษ์ฝีมือดีสักสิบคนมาเฝ้าอยู่หน้าโถงทำพิธี ไม่ว่าผู้ใดพาลูกอนุผู้นั้นก้าวเข้ามาในโถงทำพิธี สังหารเขาทันที อย่าให้พลาดเด็ดขาด!”

“เจ้าค่ะ!” เจี่ยงหมัวมัวพยักหน้ารับคำ

หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปในโถงทำพิธี เห็นไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นถง ไป๋จิ่นจื้อ ที่เดิมทีกลับไปพักผ่อนแล้วล้วนอยู่ในโถงด้านใน

“พี่หญิงใหญ่…” ไป๋จิ่นซิ่วลุกขึ้นยืน

พริบตานั้น ไป๋ชิงเหยียนขอบตาร้อนผ่าว “เหตุใดพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่”

“ต้องมีคนเฝ้าวิญญาณของท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอา ท่านลุง และบรรดาน้องชายนี่เจ้าคะ” ไป๋จิ่นถงกล่าว

“พี่หญิงใหญ่!” ไป๋จิ่นจื้อเดินไปหยุดอยู่ข้างกายของไป๋ชิงเหยียน กล่าวอย่างหนักแน่น

“พรุ่งนี้ข้าจะปลิดชีพลูกอนุนั่นด้วยดาบของข้าเจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ!”

ไป๋ชิงเหยียนลูบผมน้องสาวอย่างแผ่วเบา

“พวกเราพี่น้องอยู่เฝ้าวิญญาณของท่านปู่ด้วยกันที่นี่แหล่ะ”

วันที่สิบ หิมะตกหนักในช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ทั้งเมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ

ยามอิ๋น[2] ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง จวนเจิ้นกั๋วกงเต็มไปด้วยควันไฟสำหรับประกอบอาหาร บรรดาบ่าวรับใช้เดินเข้าออกประตูหลังกันอย่างวุ่นวาย

สาวใช้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบงานหนักของแต่ละเรือนถือถังน้ำร้อนลายดอกเหมย ไม่ก็ถือกล่องอาหารสีดำสลับทองเดินเข้าออกโรงครัวอย่างมีระเบียบ ต่างเดินตามระเบียงทางเดินที่มีผ้าไหม และโคมไฟสีขาวแขวนประดับอยู่ไปยังเรือนที่ตัวเองรับผิดชอบอย่างมีระเบียบ

[1] ยามโฉ่ว หมายถึง เวลาช่วง 01.00-03.00 นาฬิกา

[2] ยามอิ๋น ช่วงเวลาระหว่าง 03.00-05.00 นาฬิกา