ตอนที่ 133 มั่นคงหนักแน่น

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 133 มั่นคงหนักแน่น
วันนี้มีพิธีเคลื่อนขบวนศพของเจิ้นกั๋วกงที่ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการแต่งตั้งเป็นเจิ้นกั๋วอ๋อง ท่านชายและคุณชายของตระกูลไป๋ ต้องทำพิธีฝังร่างของพวกเขาก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น

ยามอิ๋น[1] ยังไม่ทันผ่านพ้นไป ทุกคนในตระกูลไป๋ต่างมารวมตัวกันอยู่ที่โถงรับรองด้านหน้า

ฉินหมัวมัวพยุงต่งซื่อที่ดวงตาแดงก่ำเดินเข้าไปด้านใน ฮูหยินท่านอื่นๆ และพวกเด็กๆ ต่างรออยู่ในโถงรับรองแล้ว

“น้องสะใภ้ห้า วันนี้หิมะตกพื้นลื่นทำให้เดินลำบาก เจ้าตั้งครรภ์อยู่มิต้องไปหรอก” ต่งซื่อมองดูฮูหยินห้าฉีซื่อซึ่งท้องนูนออกมาแล้วพลางกล่าว

ฉีซื่อลูบท้องของตัวเองอย่างแผ่วเบา กล่าวออกมาด้วยความยากลำบาก “ข้ากับลูกอยากไปส่งวีรบุรุษของตระกูลไป๋เป็นครั้งสุดท้ายเจ้าค่ะ!”

จากนั้น องค์หญิงใหญ่ในชุดไว้อาลัยสีขาวก็เดินถือไม้เท้าหัวพยัคฆ์เข้ามาด้านในโดยมีเจี่ยงหมัวมัวคอยช่วยประคอง

“ท่านแม่…”

“ท่านแม่…”

ทุกคนย่อกายทำความเคารพ

องค์หญิงใหญ่พยักหน้าน้อยๆ สายตาหยุดอยู่ที่ไป๋ชิงเหยียน ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมมองนาง ไม่เข้ามาพยุงนางเหมือนดั่งที่เคยทำ องค์หญิงใหญ่เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว นางกล่าวขึ้น “ส่งบุรุษตระกูลไป๋เป็นครั้งสุดท้าย ข้ายังทนไหว!”

ต่งซื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ รวบรวมสติพลางกล่าวขึ้น “พ่อบ้านเหา เปิดประตู!”

“เปิดประตู…”

สิ้นเสียงตะโกนของพ่อบ้านเหา เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูไม้ดังขึ้น ประตูสีแดงเคลือบบานใหญ่ซึ่งมีโคมไฟสีขาวแขวนประดับอยู่ทั้งหกบานของจวนเจิ้นกั๋วกงเปิดออกอย่างพร้อมเพรียงกัน

ทว่า ต่งซื่อนึกไม่ถึงเลยว่าหน้าประตูของจวนเจิ้นกั๋วกงจะมีชาวบ้านถือโคมไฟมารวมตัวกันอยู่มากมายถึงเพียงนี้

ท่ามกลางบรรดาชาวบ้านยังมีคุณชายของตระกูลสูงศักดิ์และบรรดาขุนนางหนุ่มยืนอย่างสงบนิ่งท่ามกลางหิมะอยู่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงด้วย

ไม่มีผู้ใดบอกพวกเขาว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจะเคลื่อนขบวนศพในเวลาใด พวกเขาจึงมายืนรออยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าเพื่อส่งดวงวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้าของตระกูลนี้

ต่งซื่อเห็นต่งชิงเยว่น้องชายของตนสวมเครื่องแบบแม่ทัพ คาดผ้าไว้อาลัยไว้ที่ศีรษะ ยืนอยู่หน้าสุดของบรรดาแม่ทัพของราชสำนักด้วยท่าทีองอาจ สง่างาม

ภาพนี้ทำให้ต่งซื่อนึกถึงคืนวันสิ้นปีที่ชาวบ้านมายืนรอฟังข่าวที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นเพื่อนพวกนาง นึกถึงวันที่ห้าที่ชาวบ้านถือโคมไฟเดินฝ่าหิมะไปรอรับการกลับมาของวีรบุรุษของตระกูลไป๋ที่ประตูทิศใต้พร้อมกับพวกนาง

ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในใจของต่งซื่อ ในที่สุดน้ำตาไหลก็ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เมื่อคืนต่งชิงเยว่นอนไม่หลับทั้งคืน เขาแวะไปที่จวนของแม่ทัพในราชสำนักทีละจวน ขอให้เหล่าแม่ทัพมาช่วยแบกโลงศพร่วมกับเขาเพื่อส่งเจิ้นกั๋วกงไป๋เวยถิงเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อเห็นประตูเปิดออก ต่งชิงเยว่วางโคมไฟขนแกะในมือลง คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นแล้วทำความเคารพอย่างทหาร “ข้า ต่งชิงเยว่ น้อมส่งเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงและท่านแม่ทัพตระกูลไป๋ทุกท่าน! จิตวิญญาณของกองทัพไป๋จะคงอยู่มิเสื่อมคลาย!”

แม่ทัพสือพานซานซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ต่งชิงเยว่ดวงตาแดงก่ำ กำหมัดขึ้นแล้วคุกเข่าลงบนพื้น “ข้า สือพานซาน น้อมส่งเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงและท่านแม่ทัพตระกูลไป๋ทุกท่าน! จิตวิญญาณของกองทัพไป๋จะคงอยู่มิเสื่อมคลาย!”

“ข้า แม่ทัพเจียงหรูไห่ น้อมส่งเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงและท่านแม่ทัพตระกูลไป๋ทุกท่าน! จิตวิญญาณของกองทัพไป๋จะคงอยู่มิเสื่อมคลาย!”

“ข้า เจินเจ๋อผิง น้อมส่งเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงและท่านแม่ทัพตระกูลไป๋ทุกท่าน! จิตวิญญาณของกองทัพไป๋จะคงอยู่มิเสื่อมคลาย!”

“ข้า จางตวนรุ่ย น้อมส่งเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงและท่านแม่ทัพตระกูลไป๋ทุกท่าน! จิตวิญญาณของกองทัพไป๋จะคงอยู่มิเสื่อมคลาย!”

แม่ทัพในชุดเครื่องแบบซึ่งขี่ม้าเร็วเข้ามากระโดดลงจากหลังม้า คุกเข่าอยู่ทางด้านหลัง ตะโกนออกมาเสียงดัง “ข้า หลิวหง น้อมส่งเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงและท่านแม่ทัพตระกูลไป๋ทุกท่าน! จิตวิญญาณของกองทัพไป๋จะคงอยู่มิเสื่อมคลาย!”

ฮูหยินสองหลิวซื่อมองดูบรรดาแม่ทัพที่คุกเข่าน้อมส่งดวงวิญญาณของวีรบุรุษตระกูลไป๋ท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ร่างทั้งร่างซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของไป๋จิ่นซิ่ว ทุบหน้าอกพลางร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ร้องไห้ให้กับสามีและบุตรชายที่ล่วงลับไปแล้ว

ฮูหยินสามหลี่ซื่อร้องไห้จนแทบดูไม่ได้เช่นเดียวกัน

ทว่า คนที่เจ็บปวดจนใจแทบสลาย หวังพุ่งชนโลงศพเพื่อปลิดชีพตัวเองในวันที่ร่างของคุณชายสิบเจ็ดของจวนเจิ้นกั๋วกงถูกส่งกลับมาอย่างฮูหยินสี่หวังซื่อกลับยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่ง มือทั้งสองประสานไว้บริเวณหน้าท้อง ดวงตาทั้งสองข้างไร้ซึ่งวิญญาณราวกับท่อนไม้ที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ อีกแล้ว

ฮูหยินห้าฉีซื่อหมุนกายหนี กัดริมฝีปากของตัวเองแน่นจนได้กลิ่นคาวเลือดแต่ก็ยังไม่ยอมผ่อนแรง นางกลัวว่าตัวเองจะเปล่งเสียงร้องไห้ออกมา

ชาวบ้านที่ยืนอยู่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง ต่างคุกเข่าร้องไห้อยู่บนพื้น เอ่ยเรียกเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกง ตะโกนออกมาว่าตระกูลไป๋มีแต่คนดีๆ ทว่า แม่ทัพหนุ่มของตระกูลไป๋กลับต้องมาเสียชีวิตเพื่อปกป้องชาวบ้าน

พ่อบ้านเหาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา กลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองไว้ ตะโกนขึ้น “คุกเข่า…”

ชาวบ้านทั่วท้องถนนคุกเข่าร้องไห้อยู่นานแล้ว คนตระกูลไป๋ค่อยๆ คุกเข่าลง

“คำนับ…”

ไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะคำนับทั้งน้ำตา คำนับแรก…นางสาบานต่อดวงวิญญาณของวีรบุรุษตระกูลไป๋ว่าจะปกป้องสตรีทุกคนของจวนเจิ้นกั๋วกงให้ปลอดภัย

“คำนับครั้งที่สอง…”

หญิงสาวก้มศีรษะคำนับครั้งที่สองทั้งน้ำตา คำนับที่สอง…นางสาบานต่อฟ้าดินว่านางจะทำให้คนที่ติดค้างตระกูลไป๋ชดใช้ด้วยชีวิต นางต้องล้างแค้นครั้งนี้ให้ได้

“คำนับครั้งที่สาม…”

หญิงสาวก้มศีรษะจรดพื้นดิน คำนับที่สาม…นางสาบานกับท่านปู่ว่าจะทำให้ปณิธานของท่านเป็นจริงให้ได้ นางจะพยายามสุดความสามารถเพื่อปกป้องชาวบ้านให้ปลอดภัย คืนความสงบสุขให้ใต้หล้า

“เริ่มอ่านคำไว้อาลัย ตั้งแต่ที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่…”

เซียวหรงเหยี่ยนในชุดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกยืนอยู่ที่ด้านหลังสุด ดวงตาของชายหนุ่มสงบนิ่ง ราวกับเป็นบุคคลภายนอกที่หิมะซึ่งตกหนักทำอันใดเขาไม่ได้ทั้งสิ้น

จักรพรรดิของราชวงศ์ต้าจิ้นไม่เข้าใจ…แม้ตระกูลแม่ทัพนับร้อยปีอย่างจวนเจิ้นกั๋วกงจะมีอำนาจบารมีมากมาย ทว่า จวนเจิ้นกั๋วกงคือกระดูกสันหลังของแคว้นต้าจิ้น!

เมื่อตระกูลไป๋ล้มลง…

ก็เท่ากับแคว้นต้าจิ้นถูกถอดรองเท้าและชุดเกราะป้องกันตัวออกไปแล้ว

ในยุคที่มีแต่ความโกลาหล แต่ละแคว้นแย่งชิงกันเป็นใหญ่ ทำสงครามเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เซียวหรงเหยี่ยนกล้ากล่าวได้เลยว่าเมื่อบุรุษของตระกูลไป๋เสียชีวิตลงแล้ว แคว้นต้าจิ้นที่แข็งแกร่งไม่มีทางได้ครอบครองใต้หล้านี้อย่างแน่นอน

ไม่ไกลออกไปนัก ชายหนุ่มมองเห็นไปชิงเหยียนลุกขึ้น เขารีบก้าวไปด้านหน้าทันทีโดยไม่รู้ตัว

เขาได้ยินเสียงกังวานใส สงบนิ่งราวกับน้ำอุ่นของสตรีผู้นั้นดังขึ้น ไม่เหมือนเสียงดังกังวานสะท้านใจดังที่นางเคยกล่าวในครั้งที่แล้วมา ความรู้สึกชื่นชมปะปนอยู่น้ำเสียงจนคนฟังสัมผัสถึงมันได้

องค์หญิงใหญ่มองดูชาวบ้านที่คุกเข่าร้องไห้อย่างทุกข์ระทมอยู่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง มองดูบรรดาแม่ทัพในชุดเครื่องแบบทหารที่มาน้อมส่งวีรบุรุษของจวนเจิ้นกั๋วกง จู่ๆ นางก็หวนนึกถึงตอนที่เสด็จพ่อของนางสวรรคต ตอนนั้นชาวบ้านร้องไห้ เหล่าขุนนางร้องไห้ ทว่า ไม่ได้ร้องไห้อย่างจริงใจเช่นนี้

นางบีบลูกประคำที่อยู่ในมือแน่นจากนั้นผ่อนแรงลง ในใจรู้สึกแปลกๆ

ตระกูลไป๋ได้ใจของชาวบ้านมากกว่าราชวงศ์!

ทั้งๆ ที่จัดพิธีศพอย่างเรียบง่ายที่สุด ทั้งๆ ที่ไม่ได้แจ้งเวลาฝังศพกับผู้ใดทั้งสิ้น ทว่า แม่ทัพของราชสำนัก คนจากตระกูลสูงศักดิ์และชาวบ้านต่างมาร่วมพิธี แม้พิธีเคลื่อนขบวนศพจะไม่ได้จัดอย่างเอิกเกริกเท่าตอนเสด็จพ่อของนาง ทว่ากลับเสียน้ำตาและน่าประทับใจยิ่งกว่าตอนนั้นมาก

จู่ๆ นางก็หวนนึกถึงถ้อยคำที่หลานสาวของนางกล่าวกับนางในโถงทำพิธีเมื่อสองสามชั่วยามที่แล้ว หลานสาวของนางกล่าวว่า ตระกูลไป๋ไม่ได้สูงศักดิ์ที่สายเลือด แต่สูงศักดิ์ที่เกียรติและจิตวิญาณซึ่งพร้อมสละชีพเพื่อชาวบ้าน เพื่อบ้านเมืองที่สืบทอดต่อกันมาทุกรุ่น สูงศักดิ์เพราะความจงรักภักดีและความกล้าหาญสละชีพเพื่อบ้านเมือง!

ดังนั้น ชาวบ้านจึงรำลึกถึงตระกูลไป๋…

ความจงรักภักดีของตระกูลไป๋มีไว้เพื่อชาวบ้าน

องค์หญิงใหญ่หลับตาลง นึกถึงนามรองของไป๋เวยถิง…ปู้อวี๋

เสียงอ่านคำไว้อาลัยของหลานสาวดังก้องอยู่ข้างหูขององค์หญิงใหญ่

“ข้าเคยถามท่านปู่ว่าเหตุใดจึงใช้นามรองว่าปู้อวี๋ ท่านปู่ตอบว่า ต้องการคืนความสงบสุขให้ชาวบ้าน สร้างสันติสุขให้โลกใบนี้ มั่นคงหนักแน่นจวบจนวันตาย!”

[1] ยามอิ๋น ช่วงเวลาระหว่าง 03.00 – 05.00 นาฬิกา