ตอนที่ 34-2 เต็มใจช่วย
ด้วยคำกล่าวของผู้อาวุโสหลี่นั้น ทุกอย่างจึงจบลงโดยปริยาย
หลี่เว่ยหยางเงยหน้าขึ้น และกล่าวด้วยความจริงใจว่า:
“ขอบคุณท่านย่า ที่ยืนหยัดเพื่อเว่ยหยาง”
หลี่เสี่ยวหรันเกิดความรู้สึกอึดอัด และละอายแก่ใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของหลี่เว่ยหยาง
เขาเดินมาข้างหน้าเพื่อช่วยพยุง
หลี่หมินเต๋อให้ลุกขึ้น:
“อะ! ลุกขึ้น”
ผู้ใดจะรู้ว่า หลี่หมินเต๋อมิได้มีโอกาสที่จะทรงตัวด้วยซ้ำ ขณะที่สายตาของเขามีอาการพร่ามัว และหงายหลังลงไปอย่างกะทันหัน
ขณะนี้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ส่งเสียงร้องอุทานดังก้องไปทั่วทั้งสวน
หลี่หมินเต๋อถูกพาตัวกลับไปยังตำหนักของฮูหยินสามในทันที
ในตำหนักของฮูหยินสาม
ตอนนี้ท่านหมอกำลังตรวจดูอาการของหลี่หมินเต๋อ
สีหน้าของฮูหยินสามแสดงถึงความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด และนางได้เอ่ยถามอย่างหมดหวังว่า:
“ท่านหมอ อาการบาดเจ็บของบุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ท่านหมอผู้นั้นได้หันมาโค้งคำนับนางด้วยความอ่อนน้อม และกล่าวว่า:
“เรียนฮูหยินสาม, ตอนนี้คุณชายปลอดภัยแล้ว แต่ยังต้องพักผ่อนสักระยะเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้หายสนิท แต่……”
“แต่อันใด?”
“แต่น่าเสียดาย ที่หน้าผากของเขาจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้”
หลี่เว่ยหยางเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นภายในใจอย่างรุนแรง
หมินเต๋อเป็นเพียงเด็กไร้เดียงสาและเขามีรูปลักษณ์ที่สง่างามเช่นนี้
อนาคตของเขามีแนวโน้มที่สดใส แต่เป็นเพราะนางเขาจึงได้รับบาดเจ็บ
นางรอจนกระทั่งท่านหมอจากไป จากนั้นจึงอดกลั้นต่อไปมิได้ และเดินเข้ามาเพื่อกล่าวว่า:
“ฮูหยินสาม เว่ยหยางขอบคุณมาก”
ฮูหยินสามหันกลับมาพร้อมกับส่ายหัว:
“มิใช่ข้า”
ใบหน้าของนางแสดงสีหน้าแปลก ๆ หลี่เว่ยหยางเหม่อลอย และหันไปมองทางหลี่หมินเต๋อทันที
จึงตระหนักได้ว่า เขากำลังยิ้มให้นาง และเผยให้เห็นฟันขาวราวกับหิมะเหล่านั้น:
“บาดเจ็บครั้งนี้…ข้าเป็นคนทำเอง”
หลี่เว่ยหยางมีอาการตื่นตระหนกเกิดขึ้นในแววตาทันที
พี่เลี้ยงที่อยู่ด้านข้างเช็ดน้ำตาของตนเอง และกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า :
“คุณชายได้ยินว่า ท่านกำลังตกที่นั่งลำบาก เขาจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นทันที
บ่าวเข้าไปห้ามเขามิทัน เขาใช้ก้อนหินทุบที่หัวของตนเองหลายครั้ง… “
หลี่หมินเต๋อยังคงยิ้มอย่างน่าเอ็นดูซึ่งเผยให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์ในใจ:
“หากข้ามิทำเช่นนั้น พวกเขาก็จะยังคงตำหนิพี่สามโดยมิสิ้นสุด!”
เมื่อเกาจินได้กลายเป็นคนพาลในสายตาของทุกคน เว่ยหยางจึงจะรอดพ้นจากการถูกลงโทษได้
อันที่จริง หลี่เว่ยหยางคิดหาทางรอดเตรียมเอาไว้แล้ว แต่นางเพียงต้องการให้หลี่เสี่ยวหรันสืบหาความจริงเท่านั้น
แต่มิเคยคาดคิดเลยว่า เด็กผู้นี้เต็มใจที่จะช่วยนางถึงเพียงนี้!
เมื่อหลี่หมินเต๋อเห็นว่า สีหน้าของหลี่เว่ยหยางแสดงถึงความลำบากใจ และกลัวว่านางจะรู้สึกมิสบายใจ เขาจึงรีบกล่าวว่า:
“พี่สาม มิต้องเป็นห่วง ข้ามิเจ็บเลย!”
บาดแผลมีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้จะมิเจ็บได้อย่างไร หลี่เว่ยหยางจับมือทั้งสองข้างของเขาด้วยความอ่อนโยน และกล่าวว่า:
“แต่ท่านหมอกล่าวว่า มันอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้……”
หลี่หมินเต๋อยิ้มอย่างสดใสและกล่าวว่า:
“ข้าเป็นผู้ชาย มีแผลเป็นเล็กน้อยจะเป็นอันใดไป!”
หลี่เว่ยหยางจึงนิ่งเงียบ และมีเพียงสายตาคู่นั้นของนาง ที่แสดงออกถึงความซาบซึ้งใจ
เมื่อสนทนาอยู่สักพัก ในที่สุดนางก็จับมือของฮูหยินสาม แต่มิได้กล่าวอันใด จากนั้นจึงหันหลังกลับและเดินออกไปด้วยอาการน้ำตาซึม
ฮูหยินสามจ้องมองภาพเงาของนางขณะที่ถอนหายใจและกล่าวว่า:
“เจ้าเด็กโง่ พี่สามของเจ้ามีความฉลาดเฉลียวและมีไหวพริบดี
นางต้องมีแผนการที่จะหาทางรอดให้กับตนเองเอาไว้แล้ว
การกระทำของเจ้า ทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวายมากขึ้น รู้หรือไม่?”
ดวงตาคู่งามของหลี่หมินเต๋อเปล่งประกายทันที:
“ข้ารู้ว่า พี่สามต้องมีแผนอยู่แล้ว แต่เหตุใดนางจะต้องมาเหนื่อย ในเมื่อแผนของข้ามันได้ผลมากกว่า!”
หลังจากกล่าวคำเหล่านั้นออกมา
ฮูหยินสามก็มิสามารถโต้แย้งอันใดได้
ด้านนอก หลี่เว่ยหยางเดินมาตามเส้นทางที่จะกลับตำหนักของตนเอง
นางถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ขณะที่ไป๋จื่อเรียกนางด้วยความเป็นห่วงว่า:
“คุณหนู…”
หลี่เว่ยหยางส่ายหัว พร้อมกับมองไปยังสายรุ้งที่เส้นขอบฟ้า และความเหงาอันหนาวเหน็บได้ฉายผ่านดวงตาของนาง
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่า การจะโค่นหลี่จางเล่อนั้น มิใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย
ดังนั้น จะต้องวางแผนให้รัดกุมมากกว่านี้ เพื่อที่จะจัดการผู้ที่เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจของบิดานาง!