ตอนที่ 35-1 ผู้มาเยือน
เช้าวันรุ่งขึ้นหลี่เว่ยหยางเดินไปตำหนักเหอเซียงหยวน
เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสหลี่ตามปกติเหมือนดังเช่นทุกวัน
แต่เกิดหยุดบางอย่างที่ทำให้นางต้องหยุดเดินกลางทางโดยมิคาดคิด
ในตอนนั้นได้ยินเสียงหนี่งดังมาจากศาลาพักร้อน
“ผู้นี้หรือคือคุณหนูสาม?”
เมื่อไป๋จือเห็นกลุ่มเด็กสาวเดินเข้ามาหา สีหน้าของนางจึงเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น
หลี่เว่ยหยางเดินไปตามทางโดยมิได้ใส่ใจ
แต่ทว่า มีเด็กสาวสองสามคนเดินมาขวางทางอย่างกระทันหัน
ผู้นำของกลุ่มนี้คือ เกาหมิน หญิงสาวผู้ที่นางได้พบเมื่อวานนี้
เกาหมินใช้หางตามองมาเล็กน้อย และกล่าวเสียงดังว่า
“หลี่เว่ยหยาง!”
เกาหมินเป็นบุตรสาวของฮูหยินเกา และขุนนางบ่อชาง
นางมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านดนตรี และวรรณกรรมเป็นอย่างมาก
ดังนั้นนางจึงเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงขุนนางของเมืองหลวง
เมื่อวานนี้นางต้องเจ็บแค้น เพราะกลวิธีของหลี่เว่ยหยาง
ดังนั้นจึงแทบรอมิไหวที่จะหาทางมาแก้แค้นในวันนี้
“หลี่เว่ยหยาง เมื่อวานนี้เจ้าทำให้ข้าเจ็บใจมากนัก!”
เกาหมินมีรูปร่างสูงใหญ่ นางมีอายุมากกว่าหลี่จางเล่อหนึ่งเดือน
และในขณะนี้ นางกำลังจ้องมองไปที่หลี่เว่ยหยาง
หลี่เว่ยหยางจึงกล่าวโต้ตอบด้วยความใจเย็นว่า
“ข้ามิเข้าใจว่า ความหมายเบื้องหลังคำกล่าวของพี่เกาหมินคืออันใด”
เมื่อเด็กสาวผู้ที่มีความหยิ่งผยอง และขี้โมโหได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น ความโกรธจึงปรากฏขึ้นในดวงตาของเกาหมินทันที
“หากเจ้ารู้ว่าข้าเป็นพี่สาวของเจ้าแล้วเหตุใดจึงยังมิแสดงความเคารพข้าอีก”
คิ้วได้รูปของเกาหมินขมวดขึ้น ขณะที่เปล่งเสียงดัง เพื่อเอ่ยถาม
หลี่เว่ยหยางยิ้มเล็กน้อย
“เว่ยหยางเติบโตในชนบท ดังนั้นจึงมิค่อยเข้าใจมารยาทเหล่านี้โปรดอย่าได้โกรธเคืองน้องสาวผู้นี้เลย”
หลังจากที่นางกล่าวจบ สายตาคู่นั้นก็หันไปทางหลี่จางเล่อที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เมื่อเห็นการแสดงออกที่สงบเงียบของคุณหนูใหญ่ เว่ยหยางจึงรู้ในทันทีว่า ต้องเป็นนางที่ยุยงให้เกาหมินมาหาเรื่องในวันนี้
เกาหมินหัวเราะอย่างเย็นชา:
“คุกเข่าลง และยอมรับความผิดของตนเอง!”
กิริยามารยาทของหญิงสาวผู้นี้ช่างเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก จึงทำให้ไป๋จื่อโกรธจนตาแดงก่ำ
หลี่เว่ยหยางจ้องมองไปยังเกาหมิน และเห็นว่า สีหน้านั้นบ่งบอกถึงเจตนาร้ายอย่างแน่นอน
เกาหมินเอาแต่ใจตัวเองมาก ดังนั้นจึงมักจะเหยียบย่ำผู้อื่น ราวกับพวกเขาเป็นเพียงมดที่ไร้ค่า ซึ่งคนประเภทนี้น่ารังเกียจมาก:
“เว่ยหยางมิทราบว่าควรยอมรับความผิดในเรื่องใด?”
“อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็เป็นบุตรสาวของท่านอำมาตย์ และเป็นบุตรสาวจากตระกูลที่มีชื่อเสียง
เจ้าควรปลูกฝังอุปนิสัยที่ดี และประพฤติตนอย่างมีจริยธรรม
แต่นี่เจ้าจงใจปกปิดความผิดของเหล่าคนรับใช้ตนเอง และพยายามหาข้อแก้ตัวเรื่อยไป
หากข้ากล่าวเกี่ยวกับความชั่วของเจ้าให้ทุกคนได้รับรู้ ต่อไปคงจะมิมีผู้ใดกล้าที่จะแต่งงานกับเจ้า!”
คำกล่าวของเกาหมินนั้นช่างรุนแรง แต่การแสดงออกของหลี่จางเล่อกลับสงบนิ่ง ราวกับว่า มิได้ยินคำกล่าวเหล่านั้นแม้แต่คำเดียว
เเละเมื่อหลี่ฉางซีได้ยินเสียงผู้คนกำลังโต้เถียงกันอยู่ด้านล่าง จึงยกริมฝีปากขึ้น ทำให้เกิดรอยยิ้มเล็กน้อย
มิว่าจะเป็นพี่ใหญ่,หลี่จางเล่อหรือพี่สาม,หลี่เว่ยหยาง
ผู้ใดก็ตามที่ตกอยู่ในความอับอายขายหน้า นางก็มีความสุขเช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงรีบดึงมือพี่สี่ของนางไปดูเหตุการณ์ทันที
เป็นเพียงหลี่ฉางเซียวเท่านั้น ที่แม้ว่าจะมิได้กล่าวอันใดสักคำ แต่การแสดงออกของนางนั้น เผยให้เห็นถึงความกังวลใจเป็นอย่างมาก
หลี่เว่ยหยางจ้องมองหลี่ฉางเซียว และกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับว่ากำลังกล่าวกับตนเอง
“ข้าคิดผิดตั้งแต่แรก……”
จากนั้นเกาหมินได้กล่าวพร้อมกับยกคางขึ้นเล็กน้อย และมองลงมาที่เว่ยหยางจากตำแหน่งของตนเอง
“หากตอนนี้เจ้าคุกเข่าลง และอ้อนวอนขอร้องให้ข้ายกโทษให้ บางทีข้าอาจจะพิจารณาเสียใหม่
หรือมิฉะนั้น หากเรื่องเมื่อวานนี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ชื่อเสียงของเจ้าก็จะพังพินาศ!”
หลี่เว่ยหยางแสดงรอยยิ้มที่เย็นชาอย่างน่าประหลาดใจ
“คุกเข่า และขอร้อง เช่นนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นหลี่เว่ยหยางได้เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยมองตรงเข้าไปในดวงตาของเกาหมิน
“ท่านต้องการให้ทุกคนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานนี้ใช่หรือไม่?
เช่นนั้น เราควรบอกกล่าวให้ทุกคนรู้ว่า เป็นพี่รองของท่านต่างหากที่ผิด
และเป็นคนโง่เขลาที่พยายามจะทำร้ายผู้อื่น แต่กลับถูกทำร้ายเสียเอง!”
หรือข้าควรบอกกล่าวกับทุกคนดีว่า เป็นพี่ใหญ่หลี่จางเล่อของข้าที่แอบนัดพบกับพี่รองของท่าน
แต่หมินเต๋อผู้น่าสงสารของข้าบังเอิญไปพบเข้า
ดังนั้นทั้งคู่จึงร่วมมือกันทุบตี
หมินเต๋ออย่างรุนแรง และพยายามที่จะฆ่าพยาน!
พี่เกาหมินก็รู้ดีว่า ข้าเป็นเพียง บุตรสาวของหยินเหนียง
ท่านคิดว่า ผู้คนทั่วไปและเหล่าขุนนาง จะสนใจพฤติกรรมที่ดื้อรั้นและไร้เหตุผลของข้ามากกว่า
หรือจะสนใจชีวิตรักของบุตรสาวที่มีหน้ามีตาของท่านอำมาตย์!
หากท่านป่าวประกาศให้ทุกคนรู้เรื่องนี้ มันจะมิได้ทำลายข้าผู้เดียว
แต่มันจะทำลายพี่ใหญ่จางเล่อ ผู้ซึ่งเป็นที่รักของท่านด้วย!”
คำกล่าวเหล่านี้กระหน่ำใส่ใบหน้าของผู้มาเยือนโดยมิได้ยั้ง
แต่เดิมเกาหมินเป็นผู้ที่เอาแต่ใจและหยิ่งผยอง
แต่ในตอนนี้สีหน้าของเกาหมินนั้นได้เปลี่ยนไป และถอยไปข้างหลังอย่างมิสามารถควบคุมได้