ตอนที่ 189 พี่น้องรักใคร่กลมเกลียว

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 189 พี่น้องรักใคร่กลมเกลียว

เยียนอวิ๋นเกอเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเอง

แม่ครัวทำอาหารอันเป็นที่โปรดปรานของเยียนอวิ๋นเฟยอีกหลายอย่าง

แม่ลูกสามคนนั่งล้อมกินดื่มอยู่ด้วยกัน พูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนาน

เยียนอวิ๋นเฟยพูดด้วยความดีใจ “ล้วนเป็นอาหารที่ข้าชอบ ยังคงเป็นรสชาติในความทรงจำ อีกทั้งยังรสชาติดีกว่าเสียด้วยซ้ำ วันนี้ลำบากน้องสี่แล้ว ระหว่างทางสิ่งเดียวที่ข้าคิดก็คือยากกินอาหารที่รสชาติคุ้นเคย”

เซียวฮูหยินยิ้มอยู่ แต่ขอบตาของนางกลับแดงก่ำ

เยียนอวิ๋นเกอรีบพูด “พี่ใหญ่ลองชิมปลานึ่ง สูตรลับของข้าเอง เครื่องปรุงสำหรับนึ่งปลามีเพียงที่เดียว”

เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะออกมา นางคีบเนื้อปลานึ่งขึ้นมา ลิ้มลองอย่างละเอียด “ฝีมือของน้องสี่พัฒนาอีกแล้ว ช่างมีความสามารถเสียจริง ฝีมือการทำอาหารของข้าคงไล่ตามน้องสี่ไม่ทันแล้ว”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มแย้มด้วยความเบิกบานและได้ใจ “ใช่แล้ว! ข้ามีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร คนทั่วไปคงไล่ตามข้าไม่ทัน”

เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะร่า

เซียวฮูหยินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ชมเจ้าสองคำ เจ้าก็ลืมตัวเสียแล้ว”

“พี่ใหญ่ชมอย่างมีเหตุผล สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างมาก ข้าย่อมต้องได้ใจเสียหน่อย หากถ่อมตนเกินไปย่อมดูหยิ่งผยอง”

เยียนอวิ๋นเกอพูดอย่างมีเหตุผล ทำให้เซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาหัวเราะออกมา

เซียวฮูหยินชี้นาง พลันพูดกับเยียนอวิ๋นเฟย “เจ้าดูนาง นับวันยิ่งฝีปากกล้า เหตุผลชุดแล้วชุดเล่า แม้แต่ข้ายังชนะนางไม่ได้”

เยียนอวิ๋นเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “ฟังน้องสี่พูด ข้าก็รู้สึกดีใจอย่างมาก ไม่ว่าน้องสี่จะพูดสิ่งใดล้วนถูกต้อง”

คำพูดนี้ทำให้เยียนอวิ๋นเกอซาบซึ้งอย่างมาก

“พี่ใหญ่รักข้าที่สุด!”

“เจ้าเด็กไร้จิตสำนัก ข้าไม่รักเจ้าหรืออย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอรีบเอ่ยเสริม “ท่านแม่รักข้าที่สุดที่สุด ข้าเป็นคนที่มีความสุขที่สุดบนโลกนี้”

ฮ่าๆๆ …

แม่ลูกสามคนมีความสุขอย่างมาก

หลังจากมื้อเที่ยง เยียนอวิ๋นเกอเดินย่อยอาหารกับเยียนอวิ๋นเฟยผู้เป็นพี่ใหญ่ในสวนดอกไม้

นางพูด “เรือนพักของพี่ใหญ่เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว พี่ใหญ่จะไปพักเสียหน่อยหรือไม่ ท่านเดินทางมาไกล คงจะเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก!”

เยียนอวิ๋นเฟยส่ายหน้า “เมื่อวานพักอยู่ในอี้จ้านนอกเมืองครึ่งวันแล้ว ไม่รู้สึกถึงความเหนื่อย น้องสี่จะพักผ่อนกับข้าหรือไม่ พวกเราพี่น้องไม่พบหน้ามานานหลายปี สมควรใช้โอกาสนี้อยู่ใกล้ชิดกัน”

“ได้! เพียงแค่พี่ใหญ่ไม่เบื่อหน่ายที่ข้าพูดมาก ข้าย่อมยินดี”

“เบื่อหน่ายคนทั้งแผ่นดินก็ไม่เบื่อหน่ายเจ้า”

พี่น้องสองคนเดินไปตามทางหินในสวนดอกไม้อย่างเชื่องช้า

ฤดูที่เต็มไปด้วยดอกไม้และผลไม้ แม้จะไม่มีผลไม้กิน แต่ทิวทัศน์งดงาม

“เสียดายปีนี้มีภัยแล้ง ผลพรหมจารีเติบโตไม่ดีนัก ทั้งเล็กทั้งเปรี้ยว” โนเวล-พีดีเอฟ

“เปรี้ยวหรือ ข้ากลับชอบกินเปรี้ยว” เยียนอวิ๋นเฟยเม้มปากยิ้ม

เยียนอวิ๋นเกอรีบตบหน้าผากของตนเอง “ลืมไปว่าพี่ใหญ่อยู่ในช่วงเวลาพิเศษ พี่ใหญ่รอก่อน ข้าให้คนไปเก็บผลพรหมจารีมา เวลานี้โชคดีที่ผลพรหมจารียังมีอยู่ หากช้าไปไม่กี่วันก็คงหมดแล้ว”

สาวรับใช้ได้รับคำสั่งจึงถือตะกร้าไปเก็บผลพรหมจารีครึ่งตะกร้าในสวนผลไม้ คัดเลือกผลพรหมจารีที่งดงามออกมา

ใช้น้ำล้างให้สะอาด หยิบลูกหนึ่งเข้าปาก อ้าก เปรี้ยวมาก เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว สีหน้านั้นสร้างความขบขันให้เยียนอวิ๋นเฟยไม่น้อย

นางถาม “พี่ใหญ่ไม่รู้สึกเปรี้ยวจริงหรือ”

เยียนอวิ๋นเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “เปรี้ยวอยู่บ้าง อร่อยมาก”

การรับรสของสตรีมีครรภ์แต่งต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

นางพูด “ตอนที่พี่สองตั้งครรภ์ไม่ได้กินเปรี้ยวนัก หากแต่ชอบกินเผ็ด ว่ากันว่าเปรี้ยวได้บุตรชาย เผ็ดได้บุตรสาว ไม่รู้แม่นยำหรือไม่”

“เจ้าไม่ต้องกังวลแทนอวิ๋นฉี ไม่ว่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว สำหรับนางแล้วล้วนไม่สำคัญ”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “ข้าก็เข้าใจ จากฐานะขององค์ชายสอง หากครรภ์นี้ของพี่สองเป็นบุตรชายอาจไม่ใช่เรื่องที่ดี โดยเฉพาะหากจ้งซูอวิ้นให้กำเนิดบุตรสาว เกรงว่าจะมีปัญหาไม่จบสิ้น”

“ถูกต้อง!”

ไม่ว่าอย่างไรคนที่เถาฮองเฮารวมทั้งเชื้อสายของตระกูลเถาให้การสนับสนุนก็มีเพียงองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้

ทุกคนต่างคาดหวังให้พระชายาองค์ชายสาม จ้งซูอวิ้นได้บุตรชาย

หากจ้งซูอวิ้นได้บุตรสาว เยียนอวิ๋นฉีได้บุตรชายคงจะมีปัญหา!

อย่างไรแล้วในสายตาของทุกคน องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินก็เป็นเพียงผู้ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่มีคุณสมบัติแย่งชิงบัลลังก์

หากเขาได้บุตรชายย่อมเป็นการข่มองค์ชายสาม ต้องดึงดูดปัญหาจำนวนไม่น้อยเข้ามา

นอกจากจ้งซูอวิ้นได้บุตรชาย หากเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเยียนอวิ๋นฉีได้บุตรชายหรือบุตรสาว ล้วนไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน

สิ่งที่จวนองค์ชายสองไม่ต้องการที่สุดก็คือความสนใจ

เยียนอวิ๋นเฟยควบคุมด้านการกินอย่างมาก นางกินผลพรหมจารีเพียงสิบกว่าลูกก็หยุดลง

เดินไปครึ่งชั่วยาม ท้องก็แบนลงไปแล้ว

เยียนอวิ๋นเกอนำพี่ใหญ่กลับห้องไปพักผ่อน

หลายปีแล้ว พี่น้องสองคนนอนร่วมเตียงกันอีกครั้ง พวกนางต่างรู้สึกพึงพอใจและตื่นเต้นอย่างมาก

นางใช้มือข้างหนึ่งประคองหัวเอาไว้ ดวงตาจับจ้องพี่ใหญ่ไม่กะพริบ

เยียนอวิ๋นเฟยรู้สึกขบขัน “มองข้าทำอันใด”

“พี่ใหญ่กินอันใดกัน นับวันยิ่งงดงาม”

“กินปลาที่เจ้าทำ นอกจากนี้ยังมีผลพรหมจารี ย่อมงดงาม”

เยียนอวิ๋นเกอเบิกบานใจ ระดับการพูดของพี่ใหญ่สูงเสียจริง

“การใช้ชีวิตในตระกูลสือเป็นอย่างไร มีคนมาหาเรื่องก่อปัญหาทุกวันใช่หรือไม่ พูดจาก็อ้อมค้อม หากไม่รู้ความหมายแฝงของอีกฝ่ายคงไม่อาจสนทนาได้ใช่หรือไม่”

เยียนอวิ๋นเฟยได้ยินจึงหัวเราะร่า นางยื่นมือออกไปจิ้มหน้าผากของอีกฝ่าย “คิดอันใดกัน! ผู้ใดมีเวลาว่างหาเรื่องทุกวัน คิดว่าทุกคนไม่มีเรื่องที่ต้องทำหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ “ข้าแค่จินตนาการ ตระกูลสือกว้างใหญ่ ย่อมต้องมีคนไม่มีเรื่องใดทำจำนวนมาก”

เยียนอวิ๋นเฟยพูด “คนที่ไม่มีเรื่องใดทำเหล่านั้นไม่มีคุณสมบัติมาหาเรื่องต่อหน้าข้า คนที่กล้ามาก่อปัญหาต่อหน้าข้าล้วนเป็นคนที่งานยุ่ง คนมีความสามารถ คนที่มีงาน เมื่อมีความสามารถ มีงานจึงจะมีความมั่นใจ เมื่อมีความมั่นใจจึงกล้าก่อปัญหา เพราะพวกเขาสามารถแบกรับผลจากการก่อปัญหาล้มเหลวได้”

“พี่ใหญ่พูดมีเหตุผล” เยียนอวิ๋นเกอเยินยอ

เยียนอวิ๋นเฟยบีบแก้มของนาง “ชอบเยินยอจริงเชียว เหตุผลเหล่านี้เจ้าล้วนรู้ดี ยังต้องให้ข้าอธิบายอีก”

เยียนอวิ๋นเกอเยินยอต่อ “เพราะพี่ใหญ่พูดจาไพเราะน่าฟัง ข้าอยากได้ยินเสียงพูดของพี่ใหญ่”

“หมดหนทางกับเจ้าเสียจริง” เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะร่า อารมณ์ดีอย่างมาก

พี่น้องทั้งสองเอนหัวพิงกัน พูดคุยเสียงเบาต่อ

เยียนอวิ๋นเฟยถามนาง “ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าดูตัวซูเหวินจากตระกูลเซิ่นแทนเจ้า เซิ่นซูเหวินรูปลักษณ์เป็นอย่างไร เจ้าบอกให้ข้าฟังที”

คราวนี้เยียนอวิ๋นเกอกลอกตาใส่นางอย่างไม่เกรงใจ

“เหตุใดพี่ใหญ่จึงเหมือนท่านแม่ มัวแต่สนใจเรื่องคู่ครองของข้าอยู่ทั้งวัน ข้าไม่คิดจะแต่งงานกับเซิ่นซูเหวิน เซิ่นซูเหวินก็ไม่คิดจะแต่งงานกับข้า ท่านกับท่านแม่อย่าสิ้นเปลืองแรงเลย”

“ท่านแม่ไม่ได้พูดเช่นนี้ หากเซิ่นซูเหวินสามารถรับราชการได้สำเร็จ เขาก็จะมาสู่ขอ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะยังปฏิเสธอีกหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอลังเลเล็กน้อย “ไม่ปิดบังพี่ใหญ่ ข้าไม่อยากออกเรือน ไม่อยากรำคาญหรือเหน็ดเหนื่อย ท่านก็รู้นิสัยของข้า คนอย่างข้าไม่อาจอดทนต่อความไม่เป็นธรรมได้ ให้ข้าตั้งกฎเกณฑ์เป็นสะใภ้ ข้าเกรงว่าจะอดทนไม่ถึงสามวันก็ปะทุ อีกทั้งข้าเกลียดที่จะถูกคนควบคุมเอาไว้

แต่ก็ราวกับไม่ออกเรือนไม่ได้ ท่านแม่เหมือนอยากจะให้ข้าออกเรือนพรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ พี่ใหญ่ ท่านว่าหากข้าออกเรือน ข้าจะทำในสิ่งที่ตนเองต้องการเหมือนเวลานี้ได้หรือไม่ ยังสามารถดำเนินกิจการของข้ากับเรือนพักได้หรือไม่”

เยียนอวิ๋นเฟยเม้มปากยิ้ม ก่อนจะบีบแก้มของนางอย่างอดไม่ได้ “ดูน้องสาวของข้า รูปลักษณ์งดงามเพียงใด ไม่รู้มีคนมากมายเพียงใดต้องการตัวเจ้า ความคิดของเจ้าข้าล้วนเข้าใจ เจ้าอย่าใจร้อน ปัญหาย่อมมีทางแก้ไข”

เยียนอวิ๋นเกอมองนาง “ต้องออกเรือนจริงหรือ”

เยียนอวิ๋นเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “ในสายตาของผู้คน การเป็นแม่หม้ายดีกว่าการเป็นสตรีแก่ที่ไม่ออกเรือน”

เยียนอวิ๋นเกอได้ยินจึงหัวเราะร่า “หลังจากออกเรือน ข้าก็สังหารสามีทิ้งเสีย”

“ทำเช่นนี้ก็เป็นการสังหารสามี ต้องติดคุก จะสังหารก็ต้องทำอย่างลับๆ อย่าให้คนจับผิดได้”

“พี่ใหญ่สอนข้าทีว่าสังหารคนอย่างลับๆ ทำอย่างไร”

เยียนอวิ๋นเฟยถ่ายทอดประสบการณ์ “ข้างตัวเจ้ามีคนที่มีฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ซื่อสัตย์น่าเชื่อถือ แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่เป็นที่คุ้นหน้าหรือไม่ หากมี รอสามีของเจ้าออกไปทำงานด้านนอก จะให้ดีที่สุดคือการออกไปด้านนอกเป็นเวลาครึ่งเดือนหรือหลายเดือน เจ้าแอบส่งคนไปดักโจมตีอยู่ระหว่างทาง หรืออาจลงมือกับอาหารในโรงเตี๊ยม ทำอย่างไร้ร่องรอย ผู้อื่นอาจคิดว่าเป็นฝ่ายศัตรูมาลอบทำร้าย หากข้างกายเจ้าไม่มีคนเช่นนี้ เจ้าก็อย่าได้ใช้ยา อย่างไรยาก็ยังมีร่องรอยให้ตาม ง่ายต่อการสืบ สู้ใช้สตรีดีกว่า ชายหนุ่มตายอยู่บนตัวของสตรีเป็นเรื่องปกติอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นผู้ชันสูตรก็หาสาเหตุไม่ได้ ทำได้เพียงถือว่ากินสิ่งของที่สร้างเสริมอารมณ์เกินปริมาณ ร่างกายรับไม่ไหวจึงตายไป”

ว้าว!

เยียนอวิ๋นเกอมองเยียนอวิ๋นเฟยด้วยความศรัทธา “พี่ใหญ่ ท่านมีความสามารถเสียจริง เคยทดลองแล้วหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเฟยเม้มปากยิ้ม “เจ้าลองทาย!”

ทายไม่ออก

เยียนอวิ๋นเฟยพูดต่อ “มันเป็นวิธีทั่วไปในการสังหารชายหนุ่ม สำหรับผู้อื่น อาทิสตรีบางคนที่ขัดตาหรือศัตรูต้องใช้วิธีอื่น หากภายหน้าเจ้าออกเรือน ไม่อาจอยู่ร่วมกับชายผู้นั้นแล้วเสียจริง เจ้าอย่ารีบสังหารเขา สามารถเจรจาหย่าร้างด้วยความสันติ หากหย่าร้างไม่ได้ค่อยหาทางอื่น แต่จากฝีมือของเจ้า ชายผู้นั้นคงหมดหนทาง”

“สามีหมดหนทาง แต่ด้านบนยังมีพ่อแม่สามี ยังมีความกตัญญู คนอย่างข้ากล้าลงมือแม้แต่บิดาของตนเอง ช่างอกตัญญูเสียจริง หากใช้คำพูดของพวกเขา ข้าต้องถูกสวรรค์ลงโทษ เมื่อข้าออกเรือน ด้านบนมีพ่อแม่สามี ตรงกลางมีสะใภ้ ด้านล่างมีน้องสามี ชีวิตแบบนี้ช่างลำบาก หากข้าไม่ตาย พวกเขาก็ต้องตาย ท่านคิดว่าข้าจะออกเรือนได้หรือ”

“พูดจาเหลวไหล!” เยียนอวิ๋นเฟยตำหนิเสียงเบา “อย่าได้ต่อว่าตนเองเช่นนี้ น้องสี่ของข้าเป็นหญิงสาวที่ดีที่สุดในแผ่นดิน ผู้ที่กล้ารังเกียจเจ้าล้วนเป็นผู้ที่มีตาไร้แวว ในเมื่อเจ้าไม่ชอบตระกูลที่มีพ่อแม่สามี สะใภ้ในตระกูลและน้องสามี เช่นนั้นก็หาชายหนุ่มที่ไม่มีบิดามารดา ไม่มีพี่น้องออกเรือนด้วย”

เยียนอวิ๋นเกอประหลาดใจ “มีคนเช่นนี้หรือ อีกทั้งยังมีฐานะเหมาะสมกับข้า”

คนที่มีฐานะเหมาะสมกับนาง อย่างน้อยก็ต้องเป็นตระกูลระดับรอง

ในเมื่อเป็นตระกูลใหญ่ ย่อมขาดการสานสัมพันธ์ไม่ได้

จากนิสัยของนาง ฮือๆๆ …

นางเข้าใจเรื่องมนุษยสัมพันธ์ อีกทั้งนางก็รู้ว่าควรจะพูดจารับมืออย่างไร แต่นางไม่อยาก

อยู่มาสองชั่วชีวิต นางอยากเป็นตัวเอง อยากจะมุ่งหน้าตามเป้าหมายที่วางไว้

นางมีเรื่องที่ต้องการทำมากมายนัก

ให้นางใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปรับมือกับผู้คน ไม่เพียงเหนื่อยยังทำให้เรื่องที่นางต้องการทำล่าช้าด้วย

ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่ง ย่อมต้องละเลยด้านอื่นในชีวิต

พลังของมนุษย์มีขีดจำกัด ไม่มีผู้ใดสามารถคำนึงรอบด้านได้

นางต้องการมีกิจการของตนเอง จึงทำได้เพียงละเลยมนุษยสัมพันธ์

เหมือนเยียนอวิ๋นฉวน เขาให้ความสำคัญกับมนุษยสัมพันธ์ อีกทั้งสิ้นเปลืองเวลา เงินและกำลังจำนวนมากด้านนี้ สุดท้ายความรู้ของเขาจึงอยู่ในระดับทั่วไป

เวลาล้วนถูกใช้บนมนุษยสัมพันธ์ ย่อมไม่มีเวลาเหลือไปศึกษาเล่าเรียน พัฒนาความรู้ของตนเอง

ผู้อื่นเข้าร่วมชุมนุมบทกวีเพื่อแสดงความสามารถ ชื่อเสียงโด่งดัง

เขาเข้าร่วมชุมนุมบทกวีเพื่อสานสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นที่คุ้นหน้าในแวดวงบัณฑิต

เมื่อสิ่งที่ต้องการไขว่คว้าต่างกัน การกระทำย่อมต่างกัน

บัณฑิตให้ความสำคัญกับความรู้ดังนั้นจึงหยิ่งผยอง

เมื่อมีความรู้ที่เหนือกว่าคนทั่วไป ย่อมไม่อาจเรียกร้องให้พวกเขาเชี่ยวชาญในการปฏิสัมพันธ์

คนที่ทั้งมีความรู้ ทั้งมีมนุษยสัมพันธ์ ไม่ว่าอยู่ในยุคสมัยใดล้วนเป็นคนหาได้ยาก

อาทิหลิงฉางจื้อ อาทิพระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิง…

คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนฉลาด

พวกเขาต่างมีความละเอียดรอบคอบ คนส่วนใหญ่ล้วนยอมพ่ายแพ้

เยียนอวิ๋นเกอยอมรับว่าไม่อาจเทียบได้ นางไม่มีความละเอียดรอบคอบ กำลังของนางทุ่มเทให้ได้เพียงข้อหนึ่ง สอง สาม สี่ ส่วนเรื่องจุกจิกอื่นในชีวิต นางไม่มีกำลังเหลือที่จะไปสนใจ อีกทั้งยังไม่ยอมลดตัวไปให้ความร่วมมือกับผู้อื่น

ดังนั้นเรื่องการออกเรือน ค่อยหารือกันภายหลังเถิด!

แต่เยียนอวิ๋นเฟยกระตือรือร้นอย่างมาก

“ย่อมต้องมีคนเช่นนี้ ข้าจะจับตาดูให้เจ้าเอง”

เยียนอวิ๋นเกอมองนางด้วยความน่าสงสาร “พี่ใหญ่ ท่านกังวลเรื่องครรภ์ของท่าน กังวลเรื่องของตระกูลสือเถิด เรื่องของข้า ท่านไม่ต้องกัวล”

“ไม่ได้! เจ้าเป็นน้องสาวของข้า ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไร” เยียนอวิ๋นเฟยพูด

เยียนอวิ๋นเกอ “…”

สวรรค์ ผู้ใดช่วยนางได้บ้าง!

นางยังเด็ก ยังไม่เคยปักปิ่น เหตุใดต้องเผชิญหน้ากับการเร่งให้ออกเรือน

อีกทั้งยังไม่ใช่คนเดียว แต่ทั้งตระกูลรวมกันเร่งให้นางออกเรือน

ฮือๆๆ …

น่าสงสาร

นางทำหน้าบึ้ง “พี่ใหญ่ ท่านมองข้า เห็นอันใด”

เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะ พลันบีบหน้าของนาง “เห็นใบหน้าที่งดงาม”

เยียนอวิ๋นเกอสลด “ใบหน้าที่หมดอาลัยตายอยากต่างหาก”

ฮ่าๆๆ …

เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะจนตัวสั่น

หลังจากหัวเราะแล้ว นางจึงพูดขึ้น “จำนวนครั้งที่หัวเราะในวันนี้มากเสียยิ่งกว่าเดือนก่อน น้องสี่ เจ้าเป็นผลความสุขของทุกคน”

เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าฉงน

นางน่าขันมากหรือ

นางพูดแล้วน่าขันมากหรือ

เหตุใดนางจึงไม่รู้สึกแม้แต่น้อย

เยียนอวิ๋นเฟยเอนหัวพิงนาง “นอนเช่นนี้ดีเสียจริง! พวกเราสองพี่น้องไม่ได้นอนพักผ่อนร่วมกันนานหลายปีแล้ว ยังจำตอนที่ข้าออกเรือนได้ ตอนนั้นเจ้ายังเป็นเด็กน้อย เพียงชั่วพริบตา เด็กน้อยผู้นั้นกลายเป็นหญิงสาวที่งดงาม มีความรู้สึกเหมือนเวลาเร่งให้คนชราเร็วขึ้น น้องสี่ เจ้าดูข้า ข้าแก่ขึ้นแล้วใช่หรือไม่”

หางตาของเยียนอวิ๋นเกอกระตุก “พี่ใหญ่ ท่านอยู่ในช่วงอายุที่กำลังเหมาะสม เป็นช่วงอายุที่งดงามที่สุดในชีวิต จะแก่ได้อย่างไร”

เยียนอวิ๋นเฟยดีใจจนไม่อาจหุบยิ้มได้ “น้องสี่เป็นคนดี พูดจาก็ไพเราะ ไม่รู้ชายหนุ่มคนใดจะโชคดี”

———————————————-