ตอนที่ 120 เรามาเกี่ยวดองกันดีหรือไม่

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

พอแล่เนื้อกระต่ายเป็นแผ่นบางๆ เสร็จแล้วก็นำไปจุ่มในหม้อน้ำซุปที่กำลังเดือด จากนั้นยกออกมาจิ้มกับน้ำจิ้มรสเด็ด ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องความสดใหม่ของเนื้อ เพราะตัวน้ำจิ้มประกอบด้วยเครื่องปรุงหลายสิบชนิด เช่น ดอกหอม เจี้ยไช่1 ต้นหอมซอย เหล้าปรุงอาหาร น้ำมันงาเป็นต้น รสชาติที่ได้จึงสดใหม่เข้มข้นทำให้เมื่อได้ลิ้มรสก็หยุดกินไม่ได้

เจียงโม่หานใส่น้ำมันพริกเผาลงในน้ำจิ้มไม่น้อย ความเผ็ดร้อนจึงทำให้ริมฝีปากเป็นสีแดงก่ำราวกับถูกทาด้วยชาดแต่สีที่ได้กลับเข้มยิ่งกว่า หลินเว่ยเว่ยรู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้วที่นางได้ปรุงอาหารมื้อนี้ !

“คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ ‘ปอเซี๋ยกง’ เจ้าก็ยังทำเป็น ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่ายังมีอาหารใดที่เจ้าทำไม่เป็นบ้าง ? ” เจียงโม่หานคีบหมูแดงอบน้ำผึ้งขึ้นมากิน…เมนูนี้เป็นเมนูที่เห็นในตำราท่องเที่ยวเมื่อชาติก่อน พูดกันว่าเป็นอาหารที่คนทางใต้ของซินเจียงชำนาญ เขาสงสัยว่าเด็กตัวแสบยังจะมีสิ่งใดที่น่าประหลาดใจรอให้สัมผัสอีก

หลินเว่ยเว่ยคีบเอ็นกวางชิ้นหนึ่งให้เขาแล้วยักคิ้วก่อนจะกล่าวว่า “ขอแค่เจ้าชอบ ข้าก็จะเอาชนะความยากลำบากทั้งมวลแล้วทำเพื่อเจ้าอย่างสุดความสามารถ น่าซาบซึ้งหรือไม่ ? ”

เจียงโม่หานถึงขั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก

ต่อหน้าคนเยอะเช่นนี้ เด็กตัวแสบไม่รู้สึกเขินอายบ้างหรือ ! เจ้าดูป้าหวงที่ทำหน้าตาเลิ่กลั่กสิ แถมยังมีพี่สาวของเจ้าที่แทบกลอกตาจนขึ้นไปติดฟ้าแล้ว…หืม ? ท่านแม่ แววตาตื่นเต้นของท่านเด่นชัดเกินไปหน่อยหรือไม่ ? บุตรชายของท่านกำลังโดนลวนลามอยู่ แต่ท่านกลับเห็นเป็นละครฉากเด็ดเช่นนั้นหรือ ?

นางเฝิงกลัวว่าเหตุการณ์จะวุ่นวายจึงรีบเอ่ยกับนางหวงว่า “พี่สะใภ้ ท่านดูลูกชายลูกสาวคู่นี้สิ ชายหญิงมีความรู้สึกต่อกัน เช่นนั้น…เราสองบ้านมาเกี่ยวดองกันดีหรือไม่ ? ”

ทันใดนั้นนางหวงก็รีบกล่าวออกมาว่า “โม่หานบ้านเจ้าเป็นคนดี หน้าตาดี การศึกษาก็ดี ! ส่วนเจ้ารองบ้านข้าไม่คู่ควร…”

“ท่านแม่เจ้าคะ มีอย่างที่ไหนดูถูกบุตรของตนเช่นนี้ ? ข้าก็ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยคีบอาหารให้มารดา “กินเนื้อกวางหม้อดินเยอะ ๆ เพื่อบำรุงหน่อย ! ส่วนต้าฮว๋ากินให้น้อย ๆ…”

หลินจื่อเหยียนดึงตะเกียบกลับอย่างเงียบงันพลางมองพี่รองที่คีบเนื้อกวางหม้อดินให้ศิษย์พี่เจียงไม่หยุดอย่างเศร้าสร้อย…ให้น้องชายกินน้อย ๆ เพื่อเก็บไว้ในคนนอกน่ะหรือ ? พี่รองกำลังหันศอกไปด้านนอก2 !

“ท่าทีของเจ้าหมายความว่าอย่างไร ? เด็กผู้ชายมีพลังหยางมากกว่า ดังนั้นควรกินเนื้อกวางหม้อดินให้น้อย ๆ เข้าไว้ ไม่อย่างนั้นจะมีพลังเยอะเกินจนนอนไม่ค่อยหลับ รู้หรือไม่ ! ” หลินเว่ยเว่ยถลึงตาใส่น้องสาม เจ้าเด็กน้อยอย่าทำตัวไม่รู้จักดีชั่วเสียเลย !

พอเถิด อย่าอธิบายอีกเลย ยิ่งอธิบายก็ยิ่งเป็นการปิดบัง ! ความรู้สึกที่ท่านมีต่อศิษย์พี่เจียงยังต้องเก็บซ่อนไว้อีกหรือ ? แค่นี้ก็เกือบบังคับให้บ้านนั้นมาสู่ขอท่านอยู่แล้ว !

นางหวงมองบุตรสาวคนรองด้วยความกังวล แต่จะพูดสิ่งใดก็พูดไม่ออกจึงกินอาหารต่อด้วยความวิตกกังวล ดังนั้นแม้อาหารเลิศรสเพียงใดก็เหมือนการเคี้ยวขี้ผึ้งไม่มีผิด

ก่อนเข้านอน นางหวงได้เรียกบุตรสาวคนรองมาที่ห้อง จากนั้นก็ลองถามหยั่งเชิงว่า “เจ้ารอง บอกแม่มาเถิดว่าเจ้าคิดอย่างไร ? ”

“คิดอะไรเจ้าคะ ? ” คำถามไร้ที่มาที่ไปของนางหวงทำให้หลินเว่ยเว่ยคิดสิ่งใดไม่ออกและรู้สึกงุนงงไม่น้อย

“เจ้าคิดอะไรกับ…เจียงโม่หานหรือไม่ ? ” นางหวงถามด้วยความระมัดระวัง

ทว่าพี่สาวคนโตที่อยู่ฝั่งของเตาปูนกลับเย้ยหยันออกมา “ช่างเหมือนประโยคนั้นเสียจริง…คางคกหมายจะกินเนื้อห่านฟ้า ไม่รู้จักเจียมตัว ! ”

“เฉียงเอ๋อร์ ! ! ” นางหวงปรามบุตรสาวคนโต

เมื่อหันมามองหลินเว่ยเว่ยครู่หนึ่งแล้ว พี่สาวคนโตก็กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะตามใจนางอีกไม่ได้ ! แม้ว่าบัณฑิตเจียงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องรูปร่างหน้าตา แต่ภายภาคหน้าเขาต้องสอบเป็นซิ่วไฉ สอบเป็นขุนนาง ! แต่น้องรองไม่รู้อักษรสักตัวเดียวและยังโง่เขลามาตั้งหลายปี ร่างกายก็มีเรี่ยวแรงผิดแปลกจากคนทั่วไป ท่านคิดว่าบัณฑิตเจียงจะหันมาชอบนางหรือเจ้าคะ ? หากไม่ทำให้นางได้สติตอนนี้ ต่อไปคนที่ต้องทุกข์ทรมานก็คือนางเอง ! ”

แม้ถ้อยคำของบุตรสาวคนโตจะหยาบกระด้าง แต่ก็เป็นความจริงและตรงกับเรื่องที่นางหวงกังวล

หลินเว่ยเว่ยมองพวกนางด้วยความรู้สึกขบขัน “ข้าบอกเมื่อใดว่าอยากแต่งกับบัณฑิตน้อย ? พวกท่านทำเหมือนถ้าข้าไม่ได้แต่งกับเขาแล้ว จะไม่แต่งกับผู้อื่น ! ”

“เจ้าอย่าปากแข็งเลย ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งกับเขา แล้วเหตุใดต้องไปวนเวียนอยู่ใกล้เขาทั้งวัน ? ถ้าเจ้าไม่มีความคิดนั้นกับเขาจริง ๆ ก็อย่าไปอยู่ใกล้มากจนเกินเหตุ ไม่อย่างนั้นจะถูกชาวบ้านนินทาว่าร้ายได้ ! ” หลินเฉียงเอ๋อร์มองน้องสาวอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่พูดออกมา

หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปาก “ปากเป็นของผู้อื่น ผู้ใดอยากกล่าวสิ่งใดก็ปล่อยเขาไปสิ ! เราจะทำตัวเหินห่างกับน้าเฝิงและบัณฑิตน้อยเพราะคำนินทาไม่ได้ หรือต่อไปจะไม่ให้สองแม่ลูกคู่นี้มากินข้าวที่บ้านเราอีก ? ถ้อยคำนี้ข้าไม่พูดออกไปหรอกนะ ถ้าอย่างไร…เจ้าก็ไปพูดเองสิ”

“ใครบอกว่าจะไม่ให้พวกเขามากินข้าวที่บ้านเราแล้ว ? เจ้าอย่าพูดเหลวไหล ! ” พี่สาวร้อนตัวทันที ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนางเฝิงก็สอนนางปักผ้าอยู่ระยะหนึ่ง แล้วถ้อยคำที่ชวนให้ผิดใจกันเช่นนี้จะให้นางไปพูดได้หรือ ? น้องรอง เจ้าทำตัวเป็นกบฏเกินไปหน่อยแล้ว !

ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็กางมือออก “ท่านดูสิ เราสองบ้านกินข้าวด้วยกัน ข้าจะไม่กินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกับบัณฑิตน้อยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ ? ในเมื่อกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสนทนากับเขา ! เขาเป็นคนอ่อนไหวและหยิ่งทะนงเช่นนั้น หากสังเกตเห็นว่าข้าทำตัวเหินห่างต้องไม่ยอมมาที่บ้านเราอีกแน่ ถ้าเขาไม่มา น้าเฝิงจะยังมาอีกหรือ ? เจ้าทำเช่นนี้ก็เหมือนสร้างความร้าวฉานให้ทั้งสองบ้านไม่ใช่หรอกหรือ ? ”

ทันใดนั้นหลินเฉียงเอ๋อร์ก็หลงประเด็นเพราะอีกฝ่าย เมื่อลองคิดให้ดีแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ไม่สิ ! ข้าห้ามไม่ให้เจ้าคุยกับบัณฑิตเจียงตั้งแต่เมื่อไร ?

“ข้าก็แค่ไม่ให้เจ้าทำตัวสนิทสนมกับบัณฑิตเจียงเท่านั้น ! ” หลินเฉียงเอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อด้วยความโมโห จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง

หลินเว่ยเว่ยจึงหันมาสนทนากับมารดาบ้าง “ข้ามองบัณฑิตน้อยเป็นน้องชายคนหนึ่งเท่านั้น ท่านเองก็เห็นข้าหยอกน้องสามกับน้องสี่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ ? ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ข้าจะไม่เสียใจเพราะเรื่องนี้แน่นอน ! ”

หากบอกว่าไม่รู้สึกดีกับบัณฑิตหนุ่มก็คงโกหกเพราะอยู่ใกล้ชิดกับคนหล่อมานานเช่นนี้ ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่ใช่คนเลว ตามหลักแรงดึงดูดระหว่างเพศตรงข้ามก็ย่อมมีความรู้สึกดี ๆ เกิดขึ้นบ้าง

ทว่านางไม่อยากมีความรักและรู้ว่าชีวิตไม่ใช่แมรี่ ซู3 หากยึดจากความพยายามและพรสวรรค์ของอีกฝ่ายแล้ว อนาคตของเขาจะต้องสดใสแน่นอน ส่วนนางเป็นเพียงสาวน้อยในป่าในเขา บนโลกมีนกกระจอกตั้งมากมาย แต่จะมีสักกี่ตัวที่ได้เปลี่ยนเป็นหงส์ ?

เฮ้อ ! พอคิดว่าคนหล่อเช่นนั้นจะโดนผู้หญิงอื่นครอบครองในอนาคต ใจของนาง…ก็รู้สึกแย่เสียจริง !

ในคืนนั้นหลินเว่ยเว่ยนอนหลับไม่สนิทเลยแม้แต่น้อย นางฝันถึงงานแต่งของบัณฑิตหนุ่มทั้งคืน บัณฑิตผู้หล่อเหลาแต่งงานแล้ว ส่วนนางก็ไปก่อเรื่องที่ห้องหอ ผ้าประดับสีแดง เทียนมงคลพร้อมเจ้าบ่าวในชุดแดง ทว่าพอเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกกลับไม่เห็นใบหน้าของเจ้าสาว…

เมื่อนอนไม่พอ สมองจึงทำงานไม่ได้ตามปกติ นางตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าอย่างสะลึมสะลือและกินข้าวด้วยความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน เจียงโม่หานเห็นขอบตาอันดำคล้ำของนางจึงอดถามไม่ได้ “เมื่อคืนเจ้าลุกออกไปขโมยหมูหมากาไก่มาหรือไร ? ”

หลินเว่ยเว่ยยกมือปิดปากเพื่อหาว จากนั้นนางก็ตอบกลับอย่างเกียจคร้านว่า “ทั่วทั้งหมู่บ้านฉือหลี่โกวมีเพียงบ้านข้าที่เลี้ยงไก่ แล้วจะให้ข้าไปขโมยไก่จากที่ใด ? เมื่อคืนข้าฝันร้ายจึงรู้สึกไม่ค่อยดีต่างหาก ! ” ใช่ ที่ข้าเอ่ยถึงก็คือเจ้านั่นแหละ เจ้าบัณฑิตน้อย เจ้าคือฝันร้ายที่สุดในชีวิตข้า !

เจียงโม่หานย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันนี้อย่างละเอียด แต่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ เด็กตัวแสบไร้หัวใจซ้ำยังเป็นสตรีใจกล้าที่ไร้สมองอีก ไม่เหมือนคนที่จะฝันร้ายได้เลย หรือว่าช่วงนี้นางเหนื่อยเกินไปจึงรู้สึกไม่สบาย ?

“วันนี้ข้าจะเข้าเมืองเอง ส่วนเจ้าก็พักอยู่ที่บ้าน ข้าจะพาหลิวว่ายจื่อไปเอง ! ” เจียงโม่หานก้มหน้ากินโจ๊กที่…ใช้ความร้อนต้มไม่เพียงพอ รสชาติจึงผิดเพี้ยนไปเสียหมด !

1 เจี้ยไช่ คือ เมล็ดของต้นมัสตาร์ดจีน

2 หันศอกไปด้านนอก หมายถึง เข้าข้างคนอื่น

3 แมรี่ ซู คือตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของผู้เขียนโดยไม่คำนึงถึงหลักเหตุผลและความเป็นจริงหลายประการ เป็นตัวละครที่สมบูรณ์แบบหรือถ้าไม่สมบูรณ์แบบด้านรูปลักษณ์ก็จะมีความโชคดีสุด ๆ

ตอนต่อไป