ตอนที่ 119 ดอกไม้พิสดาร

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

เจียงโม่หานเดินตามหลินเว่ยเว่ยเข้าบ้าน เขาลังเลอยู่พักหนึ่งและท้ายที่สุดก็อดพูดไม่ได้ “ข้าไม่คัดค้านที่จะจ้างคนมาคุมงานก่อสร้าง แต่…แต่เจ้าคิดว่าหลิวว่ายจื่อรับผิดชอบไหวหรือ ? ”

“เดิมทีมนุษย์ก็มีความซับซ้อนอยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดเป็นคนเลวได้ตลอดและไม่มีผู้ใดเป็นคนดีไปตลอดกาล บางคนแค่ขาดโอกาสที่จะไขว่คว้าชีวิตที่ดี ! ข้ารู้ว่าอาว่ายจื่อมีนิสัยเช่นไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปรับปรุงตัวเองไม่ได้ ข้าอยากลองให้โอกาสเขาสักครั้งเพื่อดูว่าเขาจะยอมคว้ามันไว้หรือไม่ ! ” หลินเว่ยเว่ยดูไม่กังวลแม้แต่น้อย

เมื่อถึงเวลาทำสัญญาจ้างงาน ในสัญญาระบุว่าจะจ่ายค่าแรงทุกสิบวัน ถ้าเขาทำงานไม่ดีก็จะหักเงินค่าแรง ! อย่างมากสุด…ก็เสียเวลางานก่อสร้างแค่ไม่กี่วัน !

เจียงโม่หานมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างแน่วแน่ ดวงตาของนางเปล่งประกายยิ่งกว่าตาน้ำตามธรรมชาติ ดูสะอาดและสดใส รอยยิ้มก็น่าหวั่นไหว งดงามราวกับดอกทานตะวันที่ยิ้มรับแสงอาทิตย์ตลอดเวลา ไม่ว่าดีหรือร้ายก็จะก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ย่อท้อและมองโลกในแง่ดีจนสามารถส่งผลต่อคนรอบข้างได้

ในช่วงเวลานี้เขาก็ไม่อยากทราบที่มาที่ไปของนางอีกแล้ว เพราะไม่ว่านางมาจากที่ใด การกระทำนี้ก็บ่งบอกได้ว่าสาวน้อยผู้มีจิตใจดีและโง่เขลาเล็กน้อยผู้นี้ไม่มีทางทำร้ายเขาหรือใครหน้าไหนทั้งสิ้น

“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น ? หืม หรือว่าเจ้าหลงใหลในความงามของข้า ? ” หลินเว่ยเว่ยจับใบหน้าของตนพลางขยิบตาให้เขา

เจียงโม่หานหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็หันไปมองทางอื่น “เจ้าเข้าใจผิดเกี่ยวกับรูปโฉมของตนหรือไม่ ? พูดกันตามตรงคือเจ้ายังห่างไกลจากคำว่า ‘สาวงาม’ อีกมาก ! ”

“เจ้ามองเพียงเปลือกนอก ! ไม่เคยได้ยินว่า ‘จิตใจงดงามจึงจะเป็นสาวงามอย่างแท้จริง’ หรอกหรือ ? โปรดเรียกข้าว่าเทพธิดาผู้แสนดี ! ” หลินเว่ยเว่ยทำตาโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวและพูดจาขี้เล่น

เจียงโม่หานมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแต่แล้วก็หันไปมองตรง ๆ ไม่ได้ “เทพธิดาบ้านใดชอบแต่งกายเป็นบุรุษ ? ”

“นี่ยิ่งพิสูจน์ว่าข้าไม่เหมือนผู้ใดไงเล่า ! ” หลินเว่ยเว่ยยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

เจียงโม่หานอดถากถางกลับไม่ได้ “สภาพอย่างเจ้าหาคนที่สองไม่ได้อีกแล้ว ! ”

“เฮ้ ! ตอนเจ้ากล่าวประโยคนี้ช่วยปรับน้ำเสียงหน่อยไม่ได้หรือ ? เจ้าพูดราวกับข้าเป็นดอกไม้พิสดาร ! ” หลินเว่ยเว่ยท้วงด้วยความไม่พอใจ

“พี่รอง เหตุใดจึงเป็นดอกไม้พิสดาร ? ” หลินจื่อเหยียนมองทั้งสองโต้ตอบกันไปมาอยู่ด้านข้าง สุดท้ายจึงหาโอกาสพูดแทรกได้เสียที

“ดอกไม้พิสดารคือดอกไม้ที่แปลกประหลาดทว่างดงาม เดิมทีใช้กับตัวบุคคลเพื่อบรรยายว่าคนผู้นั้นไม่ยึดติดกับโลกมนุษย์และมีบุคลิกหลากหลาย…” หลินเว่ยเว่ยเปิดโหมดสารานุกรม

หลินจื่อเหยียนค่อย ๆ ทำตาโต “นี่คือคำที่ดี ! ”

“ทว่าต่อมาความหมายของมันก็เปลี่ยนไป มันถูกนำมาใช้บรรยายความคิดหรือพฤติกรรมที่ผิดแปลกจนอยู่เหนือจินตนาการของผู้อื่น” หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม

ทันใดนั้นมุมปากของเจียงโม่หานก็โค้งขึ้นทันที “ ‘ดอกไม้พิสดาร’ คำนี้ถูกสร้างมาเพื่อเจ้า ! ”

“เจ้าต่างหากคือดอกไม้พิสดาร ! เดิมทีควรทำตัวแข็งแรงกระฉับกระเฉง เป็นวัยที่เสมือนแสงแรกของรุ่งอรุณแต่กลับทำตัวมืดมนไร้ชีวิตชีวา มีก็แค่ตอนเถียงกับข้าที่ดูกระปรี้กระเปร่าเหมือนเด็กหนุ่มขึ้นมาบ้าง ช่างเป็นดอกไม้พิสดารอย่างแท้จริง ! ” หลินเว่ยเว่ยยกมือกอดอกและแสดงท่าทีราวกับไก่ตัวผู้ที่เตรียมต่อสู้

ทันใดนั้นพัดในมือของเจียงโม่หานก็จิ้มไปบนหน้าผากของนาง “แบบข้าเรียกว่าทำตัวเป็นผู้ใหญ่รู้จักความหนักแน่น ! คิดว่าผู้อื่นจะเป็นเหมือนเจ้าที่กระโดดโลดเต้นราวกับตั๊กแตนหมดหรือ ? ”

“โอ๊ย ! น้าเฝิง…บัณฑิตน้อยตีข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยลูบหน้าผากของตน ทันใดนั้นหน้าผากอันขาวผ่องก็ขึ้นรอยแดง เมื่อหันมามองอีกครั้งนางก็ทำท่าทางเป็นเด็กน่าสงสารที่กำลังจะร้องไห้เสียแล้ว

นางเฝิงกำลังยกบลูเบอร์รี่ที่ล้างเสร็จแล้วเข้ามา เมื่อเห็นฉากที่เจียงโม่หานเก็บพัดคืนพอดีและหันไปเห็นรอยแดงบนหน้าผากของหลินเว่ยเว่ย นางก็กวาดสายตามองโดยรอบ จากนั้นก็ทิ้งตะกร้าไม้ไผ่ในมือแล้วหยิบท่อนฟืนก่อนจะสาวเท้าก้าวมาหาเจียงโม่หาน

“เสี่ยวเว่ยก็ชอบพูดสิ่งใดโดยไม่คิดตลอดอยู่แล้ว เจ้าเป็นบุรุษ โดนนางต่อว่าไม่กี่ประโยคแล้วจะเป็นไร ? เถียงไม่ชนะก็โทษที่ปากตนเองไม่ได้เรื่องสิ ยังกล้าลงมืออีกหรือ ! กล้าลงมือกับเด็กสาวคนหนึ่ง เจ้ายังเป็นสุภาพบุรุษอยู่หรือไม่ ? ” นางเฝิงเปรียบเสมือนพลุที่ระเบิดดังต่อเนื่องโดยไม่เปิดโอกาสให้เจียงโม่หานได้อธิบายแม้แต่น้อย หลังกล่าวจบนางก็ทุบตีที่ขาของเขาไปหลายครั้ง

หลินเว่ยเว่ยตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าสตรีที่อ่อนโยนเช่นนางเฝิงจะลงมือทันทีและไม่ออมแรงแม้แต่น้อย นางจึงรีบวิ่งออกไปข้างหน้าเพื่อจับท่อนฟืนในมือนางเฝิงไว้ “น้าเฝิง ! บาดแผลที่ศีรษะของเขายังไม่หายดี อย่าตีเขาอีกเลย ! ”

“ไม่เป็นไร ! ที่ข้าตีคือขาของเขา ยังห่างไกลจากศีรษะนัก ! ” นางเฝิงอยากแย่งท่อนฟืนกลับมาแต่สู้แรงของหลินเว่ยเว่ยไม่ได้ ท้ายสุด ‘อาวุธ’ ที่มีจึงโดนเด็กสาวแย่งไปได้

หลินเว่ยเว่ยนำฟืนท่อนนั้นไปใส่เตาเผา จากนั้นก็ก้มหน้ามองไปที่ขาของบัณฑิตหนุ่มอย่างสำนึกผิด “เจ้าโง่หรือไร ? โดนตีแล้วยังไม่รู้จักหลบอีก”

“ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง ? นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการหรือ ? ” เจียงโม่หานค่อย ๆ ขยับขาที่โดนตี จากนั้นก็จงใจเดินกะเผลก

หลินเว่ยเว่ยจึงเข้าไปช่วยประคองแต่แล้วก็ถูกผลักอย่างไร้เยื่อใย นางตัดสินใจที่จะเข้าไปประคองเขาอีกครั้งและหลายต่อหลายครั้ง ท้ายที่สุดนางก็พาเขามาถึงห้องหนังสือจนได้

หลินเว่ยเว่ยเห็นในห้องของเขายังมียาที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บเมื่อครั้งก่อนอยู่จึงคุกเข่าลงแล้วดึงกางเกงของบัณฑิตหนุ่มเพื่อจะช่วยใส่ยาให้

แต่เจียงโม่หานซ่อนขาเอาไว้ใต้โต๊ะเขียนหนังสือ “ชายหญิงควรรักษาระยะห่าง เจ้าออกไปเถิด ข้าใส่ยาเองได้”

“พอเถิด เลิกปฏิเสธได้แล้ว ! เจ้าไม่ใช่สาวน้อยผู้งดงามที่ต้องกลัวว่าคนนั้นคนนี้จะมองขาของตน…” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เข้ามาคว้าข้อเท้าของเขาไว้แล้วฉีกกางเกงของเขาออก ‘แควก’ “ผิวหนังแตกเลยหรือ ดูรอยเลือดสิ…น้าเฝิงลงมือแรงไปหน่อยกระมัง ? ”

เจียงโม่หานคิดที่จะดึงขาของตนกลับมา แต่แล้วก็รู้สึกราวกับมีคีมเหล็กหนีบขาเอาไว้แน่นจนต้องยอมแพ้ที่จะขยับ เขาเค้นเสียงดัง ฮึ “แล้วผู้ใดเริ่มก่อน ? ”

“ข้าผิดเอง ข้าขอโทษ ! ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าน้าเฝิงจะคิดเป็นจริงเป็นจัง ! อีกประเดี๋ยวข้าจะไปสารภาพความผิดต่อน้าเฝิงเอง” หลินเว่ยเว่ยก้มหน้าแล้วใช้น้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณทำความสะอาดบาดแผลอย่างระมัดระวังจากนั้นก็ใส่ยาให้เขา ทว่าผู้ที่ก้มหน้าเช่นนางย่อมไม่เห็นบัณฑิตหนุ่มที่กำลังมีใบหูสีแดงก่ำ

หลังใส่ยาเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เงยหน้าขึ้นและเห็นบัณฑิตหนุ่มกำลังหันไปมองทางหน้าต่างราวกับคนที่ยังไม่หายโกรธ นางจึงกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “อีกประเดี๋ยวข้าจะทำของอร่อยให้กินเพื่อเป็นการไถ่โทษ”

“ข้าอยากกิน ‘ปอเซี๋ยกง’ ‘เนื้อกวางหม้อดิน’ ‘เคาหยก’ ‘หมูแดงอบน้ำผึ้ง’…แค่นี้แล้วกัน ! ” เจียงโม่หานแสดงท่าทางฝืนใจที่จะยกโทษให้เสียเหลือเกิน

หลินเว่ยเว่ยมีท่าทางลำบากใจอยู่พักหนึ่งเพราะอาหารเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการทำมากกว่าปกติ บัณฑิตหนุ่มสั่งอาหารได้เก่งเสียจริง แค่ ‘ปอเซี๋ยกง’ คนทั่วไปก็ไม่รู้แล้วว่าคืออะไร โชคดีที่ชาติก่อนนางชอบศึกษาอาหารเลิศรสและเคยทำงานในครัวของโรงแรมมาก่อน ดังนั้นเมนูนี้จึงไม่ได้เกินความสามารถ !

ปอเซี๋ยกงคือกระต่ายหม้อไฟ นางจึงไปเดินรอบภูเขาแล้วแบกกระต่ายอ้วนสองตัวกลับมา…แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกมันอยู่ในมิติน้ำพุวิญญาณ เฮ้อ แม้ที่บ้านจะเลี้ยงกระต่าย แต่เจ้าหนูน้อยออกตัวปกป้องพวกมันด้วยชีวิต แล้วจะไปแตะต้องได้อย่างไร

ตอนต่อไป