บทที่ 122 ข้าจะประทินโฉมให้

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนนำพิธีศพของราชาอสูรซึ่งจัดขึ้นภายในเมืองหลวงเป็นเวลาเจ็ดวัน ทั้งเมืองอบอวลไปด้วยความเศร้าโศก เสียงคร่ำครวญดังระงมไปทั่ว อดีตราชาอสูรถูกฝังอยู่ที่เดียวกับราชาอสูรองค์ก่อน แต่อยู่คนละที่กับต้นบรรพบุรุษที่ถูกฝังในสุสานจักรพรรดิ

หลังพูดคุยกับองค์ชายอสรพิษดำ ไป๋ชิวหรานก็พาซูเซียงเสวี่ยเข้ามาเมืองหลวงของอสูรเผ่ามาร ตอนนี้ทั้งคู่ยืนบนกำแพงสูง เฝ้ามองขบวนแห่อันเกรียงไกรเคลื่อนส่งโลงศพของราชาอสูรออกไป

ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบมาสักครู่หนึ่ง

“ดูสิ ราชาอสูรยังมีวิธีครองใจผู้คน ข้าเห็นว่าส่วนใหญ่อสูรเผ่ามารต่างโศกเศร้าจากใจจริง”

“ข้านึกว่าเจ้าจะเสียใจกับการตายของพ่อบังเกิดเกล้าของตนเสียอีก”

ไป๋ชิวหรานพูดออกมาเสียงเบา

“เจ้าเฝ้ามองราชาอสูรมานานไม่ใช่หรือ?”

“ข้าเป็นนางมารไร้น้ำตา”

ซูเซียงเสวี่ยเหลือบมองก่อนกล่าว

“แต่หากท่านคิดเป็นห่วง ข้าเองก็ยินดี ขอบคุณ”

“อืม”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้า

“ถือว่าเจ้ายังมีสติรู้คิด”

“เห็นเช่นนี้ราชาอสูรเก่งกาจไม่น้อย เพียงแค่เขาเกิดผิดเวลาและได้มาเผชิญหน้ากับท่าน ไม่เช่นนั้นอาจประสบความสำเร็จครั้งใหญ่…”

ซูเซียงเสวี่ยปลดปิ่นปักผมแนบอกก่อนจะกล่าวพึมพำ

“คนเช่นนี้ย่อมทิ้งบางสิ่งไว้หลังความตาย มีทหารหลวงแบกโลงศพ ขุนนางจัดพิธีการยิ่งใหญ่ให้”

“สมกับเป็นอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน”

จื้อเซียนพลันโพล่งขึ้น

“เจ้าอสูรนั่นอยู่มาตั้งแต่โบราณ นึกไม่ถึงว่าจะยังอยู่ในโลกอสูร”

“อวิ๋นคุน?”

ไป๋ชิวหรานนึกถึงอสูรในตำนานที่เคยเห็นในตำราโบราณจึงอุทานขึ้น

“หมายถึงมัจฉาราชาที่ตัวใหญ่เป็นพันลี้ จนทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในท้องทะเลน่ะหรือ?”

“นั่นแหละที่เรียกว่าคุน อสูรในตำนานที่มีชีวิตยาวนาน”

จื้อเซียนตอบกลับ

“แม้อวิ๋นคุนจะไม่ได้ตัวใหญ่หรือแข็งแกร่งเท่าคุน แต่เขาได้สืบทอดความสามารถบางอย่างมา อย่างน้อยอัครเสนาบดีก็แข็งแกร่งกว่าองค์ชายอสูรที่ทำข้อตกลงกับเจ้า เขาฝึกตนบรรลุขั้นผสานร่างไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจงใจปกปิดการฝึกตนมากกว่า”

“เจ้าจะบอกว่า… เขาอาจรู้ว่าราชวงศ์เก็บแผนผังสุสานจักรพรรดิไว้ที่ใดอย่างนั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานหันมองอัครเสนาบดีอวิ๋นคุน นิ่งเงียบไปนานก่อนกล่าวคำ

“ท่านคิดจะทำอะไร?”

ซูเซียงเสวี่ยถาม

“ข้าขอเตือนท่านไว้ก่อน ไร้ประโยชน์จะค้นหาประโยชน์จากคนเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นอาจได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม เขาอาจทำลายแผนผังได้”

“รู้น่า ข้าถึงไล่ต้อนเขาให้อยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็น จนต้องยอมเจรจาให้ได้”

ไป๋ชิวหรานยกยิ้มอย่างมีเลศนัย

“องค์ชายอสรพิษดำกับพรรคพวกต้องการครองบัลลังก์ จะง่ายดายเพียงนั้นได้อย่างไร? เจ้ารู้จักข้าน้อยไปเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องบาดหมางของเด็ก ๆ เช่นนี้”

“ท่านมีแผนงั้นหรือ?”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าวถามพร้อมแววตาวูบไหว

“ก็พอจะมีอยู่บ้าง”

ชายหนุ่มตอบกลับ

“ไว้ข้าจะบอกตอนกลับไป ตอนนี้เจ้าอยากจะเดินเล่นก่อนหรือจะกลับเลย?”

“นานทีข้าจะได้ออกมา ต้องอยากไปเที่ยวเล่นอยู่แล้ว”

นางจะพลาดโอกาสดีเช่นนี้ได้อย่างไร?

“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”

ไป๋ชิวหรานตั้งท่าจะกระโดดจากกำแพงสูงลงสู่พื้น เมื่อเห็นเช่นนั้น ซูเซียงเสวี่ยจึงรีบเอื้อมมือคว้าชายหนุ่มเอาไว้

“หืม?”

“ท่านอยู่เผ่ามนุษย์ ปรากฏตัวในเมืองของอสูรเผ่ามารอย่างสง่างามไม่ดีกว่าหรือ?”

นางกล่าวขึ้นก่อนจะตระหนักได้ถึงความประหลาดบางอย่าง

“ข้าจะประทินโฉมให้ นั่งลงก่อน”

หลังขบวนแห่พระศพของราชาอสูรเคลื่อนผ่านไป ท้องถนนในเมืองหลวงค่อยคืนความมีชีวิตชีวากลับมา

แม้อัครเสนาบดีของอสูรเผ่ามาร จะออกคำสั่งให้ทั้งเมืองไว้อาลัยเป็นเวลาสามวันก่อนจะเปิดตลาดค้าขาย แต่ร้านอาหารและร้านน้ำชาบางร้านในเมืองก็เปิดทำการในช่วงบ่ายแล้ว

ต่อให้พวกเขาจะเศร้าใจด้วยการจากไปของราชาอสูร แต่ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป ตลาดไม่สามารถเปิดได้ในช่วงสามวันนี้ ทำให้ชาวบ้านหลายคนมีอาหารไม่เพียงพอ จึงต้องออกมากินที่ร้านอาหาร

ดังนั้นหลังขบวนแห่พระศพของราชาอสูรพ้นเมืองหลวงไป ชาวอสูรเผ่ามารจึงเริ่มทยอยเปิดร้านริมถนน

ณ ถนนเลียบแม่น้ำในเมืองหลวง อสูรสองตนเดินเลียบตลิ่งมา ทั้งคู่ดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย

อสูรสาวงามเดินกางร่มกระดาษนำหน้า นางผมดำขลับ ดวงตาราวผีเสื้อ ร่างกายสะอาดสะอ้าน แต่กลับดูแปลกตาในเวลาเดียวกัน เสน่ห์เย้ายวนล่อลวงให้บุรุษเพศหมายจะครอบครองตามสัญชาตญาณดิบ

ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเพียงครึ่งล่าง นางย่างกรายเลียบริมแม่น้ำ อสูรหนุ่มรอบกายพร้อมเข้าเกี้ยวพาราสี แต่เมื่อเห็นเกล็ดมังกรขาวที่หู พวกเขาต่างล้มเลิกความคิดไป

เรื่องของสายเลือดเป็นสิ่งสำคัญในหมู่อสูรเผ่ามาร สายเลือดมังกรอสูรอยู่ในชนชั้นสูงที่สุด เป็นอสูรที่อสูรธรรมดาอย่างพวกเขาไม่มีทางเทียบเทียมได้

เบื้องหลังอสูรสาวงาม มีอสูรหนุ่มที่มีผมและคิ้วสีขาว ดูจากริ้วรอยบนใบหน้าแล้ว… คงเป็นสายเลือดอสูรเสือที่อยู่ในชนชั้นค่อนข้างสูง และเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ คิดว่าเขาคงเป็นผู้อารักขาให้นาง

อสูรทั้งสองตนคือซูเซียงเสวี่ยกับไป๋ชิวหรานที่แปลงกายมา เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับซูเซียงเสวี่ย เดิมทีมีสายเลือดอสูรเผ่ามารอยู่แล้ว ทำเพียงแค่กระตุ้นเลือดอสูรในกายเพื่อเผยร่าง นางก็สามารถแปลงกายเป็นอสูรชนชั้นสูงได้

ผิดกับไป๋ชิวหรานที่ยากเย็นไม่น้อย ภูมิต้านทานอาคมของเขาสูงเกินไป อาคมที่ซูเซียงเสวี่ยใช้กับชายหนุ่มจึงไม่ได้ผล และทำได้เพียงวาดลายบนใบหน้า แสร้งว่าเป็นอสูรเสือ…

สีที่ถูกแต่งแต้มบนใบหน้าทำให้ชายหนุ่มอึดอัดไม่น้อย เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาอยากจะยกมือขึ้นมาเกาส่วนที่วาดไว้ให้จบเรื่องราว

“ระวัง! อย่าไปเกาสิ!”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าวอย่างเหนื่อยใจ

“หากสีหลุดออก ท่านอาจถูกอสูรรอบ ๆ โจมตีได้…”

“ข้าไม่ได้หวาดกลัวเสียหน่อย”

ไป๋ชิวหรานไม่คิดยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยังคงลดมือลง

นานทีจะได้ออกมาเดินเที่ยวกับนาง หากเสียเรื่องเพราะมีเหตุวิวาท ซูเซียงเสวี่ยอาจโกรธเขาไปอีกนาน

“ว่าแต่ไม่มีเผ่ามนุษย์อยู่ในเมืองนี้จริงหรือ?”

เขาเดินตามซูเซียงเสวี่ย คว้าร่มจากมือนางมาช่วยถือกางเหนือศีรษะให้

“ก็ต้องมีบ้างอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่มาที่นี่เพื่อทำการค้าชั่วคราวเท่านั้น ไม่อาจอยู่นาน”

นางตอบกลับ

“อสูรชนชั้นสูงในเมืองนี้ไม่ถือว่าตนเป็นพวกเดียวกันกับอสูรชนชั้นล่าง พวกชนชั้นล่างจึงถูกเหยียดหยามทุกทาง นับประสาอะไรกับมนุษย์?”

“หมายความว่าหากมีมนุษย์ผู้ใดมีเรื่องบาดหมาง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย… เขาอาจออกไปจากเมืองนี้ไม่ได้ใช่หรือไม่?”

“จะว่าเช่นนั้นก็ได้”

สิ้นประโยคของทั้งสอง เสียงตะโกนของอสูรตนหนึ่งดังขึ้นจากถนนที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก

“ช่วยด้วย! เร็วเข้า! มนุษย์ก่อเหตุฆาตกรรมกลางถนน!”