บทที่ 123 ภายใต้ชื่อเสือดำอาฝู!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

“ผู้มักมาก ดูสิ!”

เมื่อไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองรีบวิ่งออกไป ก่อนจะเห็นว่าเหล่าอสูรล้อมวงกันอยู่ และมีคนสามคนอยู่กลางวงล้อม

คนหนึ่งเป็นอสูรสาวท่าทางน่าสงสารนอนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าและมือมีรอยถลอก ดูจากเขาบนศีรษะ น่าจะเป็นอสูรแกะที่ถือว่าเป็นสายเลือดอสูรที่อ่อนแอมาก

เบื้องหน้านางคือบัณฑิตน้อยหน้าขาวในเสื้อคลุมสีเดียวกัน ผมสีแดงสวมหมวกผ้าคลุมเอาไว้ ในมือถือพัดกระดาษ เขากำลังโจมตีอสูรอีกตน!

ควันพิษสีเขียวเข้มแผ่ซ่านออกมาจากพัดที่เด็กชายผมแดงถืออยู่ ไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยมองแวบเดียวก็รู้ได้ว่าพลังของบัณฑิตน้อยคนนี้ใกล้เคียงขั้นแยกวิญญาณ เขาปลดปล่อยพลังออกจากพัดเล็ก ๆ ออกมาเพื่อทำลายล้าง ควันพิษที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้คนได้ หากผู้ใดสัมผัสเข้าจะกลายเป็นโครงกระดูกทันที

ส่วนอสูรที่เป็นคู่ต่อสู้ของบัณฑิตผมแดง แม้ดูเหมือนจะเป็นเพียงหนุ่มกะล่อนที่เพิ่งแปลงกายได้ไม่นาน ทั้งยังไม่ได้มีระดับฝึกฝนมากนัก แต่ไป๋ชิวหรานเห็นปีกนกสีเหลืองทองยื่นออกมาจากลำคอ

ถึงจะเป็นอสูรไร้ฝีมือ ทว่าสายเลือดคงไม่ธรรมดา หากมนุษย์ผู้นี้สังหารอสูรตนนี้ที่นี่ เกรงว่าชีวิตคงไม่อาจพบเจอความสงบสุข

พลังในขั้นเริ่มต้นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในเมืองหลวงเช่นนี้

เมื่อเห็นอสูรรอบกายเริ่มเคลื่อนไหว ไป๋ชิวหรานรีบก้าวออกไปด้านหน้าและตะโกนขึ้น

“ข้าเอง!”

ชายหนุ่มยกมือขึ้นผลักออก เหล่าอสูรทั้งสองฟากฝั่งถนนพลันถูกแรงกระแทกออกอย่างแรง ไป๋ชิวหรานก้าวออกมาท่ามกลางฝูงชน เตะอสูรที่อยู่ด้านหลัง คว้าข้อมือของบัณฑิตน้อยหน้าขาวเอาไว้

ควันพิษที่แผ่ออกมาจากพัดเจือจางลงท่ามกลางความเดือดดาลของผู้เป็นนาย ไป๋ชิวหรานสะกดกลั้นสีหน้า เผยท่าทีโกรธเกรี้ยว ก่อนจะลั่นวาจาเสียงดัง

“ทันทีที่ราชาอสูรจากไป เผ่ามนุษย์อาจหาญฆ่าผู้คนในเมืองหลวง ช่างโอหังเกินไปแล้ว!”

บัณฑิตผู้นั้นถึงกับสะดุ้ง เขายกมือขึ้นหมายจะโจมตีไป๋ชิวหราน ทว่าถูกปัดป้องทิ้งไป ควันพิษที่ถูกปล่อยออกมาทำให้อสูรที่ระดับการฝึกตนต่ำสูญสลายไปสองตน!

อสูรตนอื่นที่เห็นเหตุการณ์หวาดกลัวจนเริ่มถอยหนี บัณฑิตสบโอกาสนี้คิดหนีจากการจับกุมของไป๋ชิวหราน เขาก้าวถอยหลังไปไม่กี่ก้าวก่อนกล่าวคำ

“เจ้าเป็นใคร?”

“ไป๋…”

ไป๋ชิวหรานกำลังจะเรียกขานชื่อตน ทว่ากลับมีบางคนปาหินใส่จนต้องหยุดชะงัก เมื่อหันไปมองเห็นว่าเป็นซูเซียงเสวี่ยกำลังส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้

ชายหนุ่มหันกลับมา เม้มปากอย่างไม่สบอารมณ์ โพล่งขึ้นเสียงดัง

“เสือดำอาฝู!”

“ชื่อสิ่งใดกัน?”

อีกฝ่ายถามขึ้นอย่างฉงนใจ

“ข้ารับใช้ไม่จำเป็นต้องมีชื่อไพเราะ”

ไป๋ชิวหรานตะโกนลั่น ขณะเข้ามาคว้าตัวบัณฑิตเอาไว้

“คุณหนูของเราอยากให้พาตัวเจ้าไปสั่งสอน ยอมให้จับเสียโดยดี!”

“ล้อเล่นหรืออย่างไร!”

บัณฑิตน้อยตื่นตระหนก หลบเลี่ยงการจับกุมของชายหนุ่มก่อนจะตวาดเสียงดัง

“เจ้าอสูร อย่าคิดทำตามใจตน ปฏิบัติกับมนุษย์เยี่ยงเผ่าเดียวกัน ข้าเห็นความกล้าหาญของเจ้าแล้ว ตอนนี้คิดจะเล่นงานข้าอย่างนั้นหรือ? แน่นอนล่ะ อสูรอย่างไรก็เป็นอสูรอยู่วันยังค่ำ และเป็นเพียงอสุรกายไปตลอดชีวิต!”

เมื่อได้ยินคำพูดของบัณฑิตน้อย สายตาไป๋ชิวหรานฉายแววยอมรับ ทว่าคำพูดเหล่านี้ทำให้อสูรที่รายล้อมอยู่ไม่พอใจอย่างรุนแรง พวกเขาถกแขนเสื้อและตั้งท่าจะเข้าจู่โจมอย่างพร้อมปะทะ ดั่งคำที่ว่า ‘ไม่ต้องพูดถึงคุณธรรมของอสูรเผ่ามาร เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่ามนุษย์’ พวกเขาหมายจะเอาชนะบัณฑิตคนนี้ให้ได้ด้วยจำนวนที่มากกว่า

ขณะที่ฝูงชนกำลังลุกฮือ เสียงพิณพลันดังขึ้น ทำให้เหล่าอสูรที่ตกอยู่ในความเดือดดาลสงบลงในทันที

ซูเซียงเสวี่ยเดินออกมาพร้อมพิณในมือ จงใจเผยเกล็ดมังกรขาวด้านหลังหูให้เหล่าอสูรรอบข้างเห็น ก่อนเอ่ยเสียงนุ่มนวล

“ขอให้พวกท่านเห็นแก่หน้าหญิงสาวเช่นข้า มนุษย์ผู้นี้ให้ข้าเป็นผู้จัดการเถิดและจะนำตัวไปให้องค์ชายตัดสินโทษ”

นางเป็นอสูรสาวงามในแวบแรกที่เห็น ทว่าเมื่อพิจารณาถี่ถ้วนจึงพบว่าเป็นอสูรมังกรชั้นสูง พวกเขาจึงยอมถอย และล้มเลิกความคิดที่จะจู่โจม

“ข้าต้องขอบคุณพวกท่านแล้ว”

ซูเซียงเสวี่ยมองหน้าไป๋ชิวหรานด้วยสายตาเปล่งประกาย มีความขบขันเผยในแววตาคู่สวย

นางพยายามกลั้นหัวเราะก่อนจะกล่าวต่อ

“อาฝู พาตัวเขาไป”

“ขอรับ คุณหนู”

ไป๋ชิวหรานขานรับแข็งขัน ก่อนพุ่งตัวเข้าไปหาบัณฑิต

“เจ้าอสูร อย่าฝัน!”

บัณฑิตน้อยไม่พอใจระคนโกรธเกรี้ยว เขาสะบัดพัดในมือให้กางออกเพื่อปลดปล่อยควันพิษอีกครั้ง สายลมพัดพาควันพิษก่อรูปเป็นแส้พิษกระแทกพื้นอย่างแรงจนพื้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ!

ในขณะเดียวกัน บัณฑิตผมแดงเผยทักษะตัวเบา เมื่อผนวกสองอย่างเข้าด้วยกัน ไป๋ชิวหรานที่ไม่ทันตั้งตัวจึงไม่สามารถจับเขาไว้ได้

สิ่งที่น่าแปลกคือคนแปลกหน้าผู้นี้แสดงเคล็ดวิชาที่คล้ายกับสำนักกระบี่ชิงหมิง!

“นั่นมันอะไรกัน?”

ชายหนุ่มชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะอุทานออกมา

“เจ้าเด็กน้อย ข้าขอถามว่าเจ้าเป็นศิษย์สำนักใด?”

“คิดว่าข้าจะยอมบอกหรือ?”

บัณฑิตว่าเย้ยพลางกลอกตามองไปทั่ว คล้ายหาลู่ทางหลบหนี

“เจ้าอสูร!”

“เอาล่ะ ในเมื่อดื้อรั้น เช่นนั้นข้าขอเล่นกับเจ้าสักหน่อย!”

ไป๋ชิวหรานยืนนิ่ง ไม่คิดกล่าวให้มากความ

ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่อาจเผยตัวตนที่แท้จริงได้ เพลงกระบี่และเคล็ดวิชาจึงเผยใช้ที่นี่ไม่ได้

เขาทำได้เพียงต่อสู้เลียนแบบอสูรที่แปลงกายมาเท่านั้น…

ในความทรงจำของไป๋ชิวหราน นอกจากราชาอสูรที่ถูกเขาไล่ต้อนให้เผยร่างจริง อสูรแปลงกายที่เคยสู้กับเขาในร่างมนุษย์คือชุ่ยหลัวและพรรคพวก หรือไข่น้อยชิงตานอิ๋ง

ชุ่ยหลัวไม่เคยต่อสู้ในระยะใกล้ หลังไตร่ตรองดู… ไป๋ชิวหรานจึงทำได้เพียงเลียนแบบชิงตานอิ๋ง!

น่าสงสัยนัก… ชายหนุ่มได้เคล็ดวิชานั้นมาได้อย่างไร?

ไป๋ชิวหรานพึ่งพาพลังตอบสนองอันแข็งแกร่งของตนในการหลบการโจมตีของบัณฑิต ขณะหวนนึกถึงท่วงท่าโจมตีของชิงตานอิ๋งที่ใช้ต่อสู้กับเขา

ไป๋ชิวหรานถอยห่างออกมาตั้งหลักในระยะไกล ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นคล้ายกับกรงเล็บเหยี่ยว

ขาข้างหนึ่งยกขึ้น พยายามเลียนแบบพลังในกายตนเองให้เหมือนพลังของอสูร ก่อนพุ่งทะยานไปด้านหน้า

ไป๋ชิวหรานกระทืบเท้ากับพื้นอย่างแรงพร้อมพุ่งทะยานขึ้นสู่อากาศ

มือยังกางออกคล้ายกรงเล็บเหยี่ยวกลางอากาศ จากนั้นค่อย ๆ สยายปีกราวกับวิหคเพลิงพุ่งเข้าหาบัณฑิต

ชายหนุ่มทรงตัวค้างอยู่กลางอากาศ ลั่นเสียงตะโกนชื่อกระบวนท่า

“วิหคนกกาโผบิน!”