จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 159

ฝุ่นทรายฟังตลบ บดบังสายตาผู้คน

เฟิงที่สูญเสียเป้าหมายเริ่มกังวลขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงว่าฉินเทียนจะเอาตัวรอดด้วยวิธีนี้ คมมีดสายลมของเขามีพลังทําลายล้างมากเพียงใดตัวเขาย่อมรู้ดีที่สุด ผู้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณผู้หนึ่งไหนเลยจะต้านทานได้ เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ตําแหน่งล่วงหน้า…

“ม่านพลังปราณ!”

เฟิงเบิกตากว้าง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ฉินเทียนใช้ม่านพลังปราณจับความผันผวนของคมมีดสายลม

“ฉินเทียน เจ้านี่ฉลาดไม่เบา”

“แต่คนฉลาดมักจะตายก่อนเสมอ”

มองดูดินโคลนที่ลอยบดบังสายตา เฟิงก็แค่นเสียงดูถูก แสงสีขาวพลันแผ่ออกจากใต้ฝ่าของเขาก่อนจะกลายเป็นพายุมัวนกวาดเอาโคลนเลนออกไป

ทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์ แก่นแท้แห่งลม

ทักษะที่เลิศล้ําที่สุดในบรรดาทักษะธาตุลม

ทักษะที่สอดคล้องอื่นก็คือ แก่นแท้แห่งเมฆ แก่นแท้แห่งฟ้าคะนอง แก่นแท้แห่งสายฟ้า

ประมุขน้อยแห่งกลุ่มชิงเทียนได้สังหารราชาปีศาจเจิ้นเทียนและพบตําราทักษะเหล่านี้ในพระราชวังเจิ้นเทียน เมื่อกลับมาเขาก็มอบตําราทักษะให้คนทั้งสี่ ทั้งสี่คนได้ฝึกฝนร่วมกันกว่าสามสิบจนเกิดเป็นท่าประสานอันทรงพลัง

หลังเก็บตัวฝึกฝนต่อเนื่องนานสามสิบปี ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมคุ้มค่า

ท่าโจมตีประสานของเฟิง หยุน เหลย เตี้ยน มีพลังทําลายล้างเหนือจินตนาการ เป็นท่าที่คิดค้นขึ้นเพื่อสังหารโดยเฉพาะ ต่อให้เป้าหมายเป็นผู้บ่มเพาะขั้นจุติก็ไม่อาจหลุดรอด

แต่การจะใช้ท่าประสานนี้ได้จําต้องใช้เวลาพักใหญ่ นี่ก็คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของท่าประสานนี้

ดังนั้นในกลุ่มพวกเขาจึงต้องส่งคนไปถ่วงเวลาศัตรูเพื่อให้อีกสามคนที่เหลือได้มีเวลารวบรวมพลัง และผู้ที่รับหน้าที่เข้าปะทะก็คือเฟิง นั่นก็เพราะว่าเขาเป็นรวดเร็วที่สุด ระยะเวลาที่ต้องใช้เพื่อรวบรวมพลังก็น้อยที่สุด ตอนที่ฉินเทียนหลบคมมีดสายลมสําเร็จ เฟิงก็รีบใช้แก่นแท้แห่งลมและพยายามจะเข้าไปสอดประสานกับอีกสามคนที่เหลือ

เขาไม่ได้กังวลว่าฉินเทียนจะหนีรอดไปได้

เมื่อทั้งสี่ทักษะถูกใช้ออกพร้อมกัน พื้นที่โดยรอบก็จะกลายเป็นมิตกักขัง ไม่มีผู้ใดสามารถหลุดรอดไปได้

ทว่าฉินเทียนนั้นไม่ได้คิดหลบหนีตั้งแต่แรก

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังสี่สายที่ทวีความแรงกล้า ฉินเทียนก็ใจหายวาบ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายคิดที่จะสร้างค่ายกล อีกทั้งค่ายกลนี้ยังไม่ปล่อยให้ผู้ใดหลุดรอดออกไปได้

ตอนนี้หลงเหลือเพียงวิธีเดียว นั่นก็คือขัดขวางการสร้างค่ายกล

เร็วเท่าความคิด ฉินเทียนพลันโจมตีเข้าใส่เตี้ยนที่มีกลิ่นอายอ่อนแอที่สุดอย่างสุดกําลัง

หมัดของเขากระแทกลงบนหน้าอกของเตี้ยนเข้าอย่างจัง ทว่าแรงที่ส่งออกไปให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเอาไข่ไปกระทบกับหิน ไร้ซึ่งความเสียหายโดยสิ้นเชิง

“อะไรกัน?”

ในเวลาเดียวกัน ทางด้านเมิ่งฝานอีและเฮยหยานก็ประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน

“เป็นไปได้ยังไง?”

“หรือตอนที่พวกมันใช้ท่าประสานจะอยู่ในสภาวะไร้เทียมทาน?”

“ไม่ใช่” ฉินเทียนทําจิตใจให้เยือกเย็นลง เห็นคิ้วบนใบหน้าของเตี้ยน หยุน เหลยขมวดเป็นปมขณะที่พลังค่อยเพิ่มพูนขึ้น นี่จะต้องเป็นร่างจริงไม่ใช่ร่างจําแลง แต่ไฉนจึงทําอะไรพวกเขาไม่ได้? ฉินเทียนขบคิดเร็วรี่ “ต้องมีสาเหตุต้องมีจุดไหนสักจุด…..”

“ฉินเทียน หยุดการดิ้นรนโดยเปล่าประโยชน์เถอะ”

เฟิงหัวเราะเสียงเย็น “พวกเจ้าทั้งสามถูกพวกเราล้อมเอาไว้หมดแล้ว พวกเจ้าล้วนแต่เป็นคนตาย ฮ่าๆ…เลิกดิ้นรนอย่างสญเปล่าแล้วงอมือรอรับความตายเถอะ ฮ่าๆ..”

กลิ่นอายของคนทั้งสี่ค่อยๆประสานกลายเป็นหนึ่ง ตําแหน่งที่ทั้งสี่อยู่พลันปรากฏเสาลําแสงพุ่งเสียดแทงฟ้า

เส้นแสงขนาดเล็กจํานวนมากพลันพุ่งจากเสาแสงแต่ละต้นไปยังเสาแสงต้นอื่นๆจนโยงใยเป็นตาข่าย พวกฉินเทียนทั้งสามถูกล้อมเอาไว้ตรงกลาง

“ฝานอี พี่ใหญ่เฮย พวกเราทุ่มกําลังทั้งหมดโจมตีไปที่เฟิง ไม่รู้สึกว่าคนผู้นี้พูดมากน่ารําคาญหรือ เช่นนั้นก็ให้เขาได้กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย”

พวกฉินเทียนลองโจมตีหยุน เหลย เตี้ยนแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ก็มีเพียงแค่เฟิง

จะต้องมีความลี้ลับพิสดารแฝงอยู่ในการประสานนี้แน่ ฉินเทียนยังมองความพิสดารนี้ไม่ออก แต่เขามีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือทําลายดวงตาของค่ายกล ทําให้ค่ายกลนี้สูญเสียอานุภาพไป

สามคนที่เหลือนั้นลงมือไปแล้ว เหลือก็แต่เฟิงเท่านั้นที่พวกเขายังไม่ได้ลงมือ

เมิ่งฝานอีกร้องก่อนที่เจตจํานงกระบี่จะปรากฏขึ้น เฮยหยานเองก็พุ่งเข้าไปโจมตีด้วยพลังทั้งหมด

“เหอะ”

“พวกมดปลวก”

เฟิงผงะก่อนจะแค่นเสียง โลหิตภายในกายของเขาหยุดไปในช่วงเวลาเดียวกับที่เขาผงะก่อนจะไหลเวียนต่อตามปกติ ทว่าการเปลี่ยนแปลงจุดเล็กๆนี้กลับไม่อาจหลุดรอดจากการรับรู้ของฉินเทียน ฉินเทียนเพียงกล่าวลองเชิงเฟิงเท่านั้น ไม่คิดว่าความพิสดารของค่ายกลจะอยู่ที่เพิ่งจริงๆ ดูเหมือนพวกเขาจะต้องจัดการเฟิงก่อน

ฉินเทียนแสยะยิ้ม

ทักษะทั้งสามถูกเรียกใช้พร้อมกันอีกครั้ง เสาแสงสีดําพุ่งทะลุเสียดฟ้าก่อนจะทุบฟาดเข้าใส่เฟิง

เวลานี้พวกเฟิงกําลังอยู่ในช่วงสําคัญ ไม่อาจวอกแวกอย่างเด็ดขาด เมื่อเห็นฉินเทียนโจมตีเข้ามาเฟิงก็เดือดดาล

“บิดาจะฟาดเจ้าให้ตายคามือ ขั้นสวรรค์แล้วยังไง ขั้นสวรรค์แล้วก็ยังต้องพึ่งพาขั้นสวรรค์อีกสามคนมาฆ่าข้างั้นเหรอ เหอๆ พวกเจ้าก็แค่หมากที่ใช้แล้วทิ้งสี่ตัว มีคุณสมบัติใดจะมาฆ่าข้า? ต่อให้ประมุขน้อยอะไรนั่นมาด้วยตัวเอง บิดาก็ไม่กลัวหรอก” ฉินเทียนกล่าวขึ้นไม่หยุด

เขาต้องการยั่วโมโหเฟิง ขอเพียงเฟิงโมโหจนขาดสติ ท่าโจมตีประสานนี้ก็จะสิ้นฤทธิ์แล้ว

“พวกเจ้ามันก็แค่สุนัขฝูงหนึ่งละว้า”

“ต้องเป็นสัตว์สี่ขาที่ต้องคอยกระดิกหางอย่างพวกเจ้า บิดารู้สึกอับอายแทนแล้ว ขั้นสวรรค์สี่คนรวมพลังกันมาต่อกรกับระดับแปดขันกลันวิญญาณอย่างข้า นานขนาดนี้แล้วยังทําอะไรข้าไม่ได้ พวกเจ้านช่างไร้น้ํายาซะจริง”

“บิดาจะทําให้สุนัขอย่างพวกเจ้ามาหมอบคลานเห่าหอนโฮ่งๆต่อหน้าให้ดู

“เห่าเป็นรีเปล่า? อ้อลืมไปพวกเจ้าก็เป็นสุนัขอยู่แล้วนี่นา จะเห่าไม่เป็นได้อย่างไร?” ฉินเทียนเงยหน้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ไม่ช้าเมิ่งฝานอีกเข้าร่วมด้วย และคําเยาะเย้ยที่ออกจากปากของเขายังรุนแรงกว่าของฉินเทียนซะอีก…

การใช้สงครามฝีปากก็ถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ทําลายกลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้าม ในชีวิตก่อนของฉินเทียน เขานับเป็นเกรียนคนหนึ่ง การยั่วยุผู้คนก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในความสามารถที่โดดเด่นของเขา

สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เริ่มเปลี่ยนไปของเฟิง ฉินเทียนก็ทราบว่าวิธีการนี้ได้ผล ดังนั้นเขาจึงยิ้มแย้มด่าต่อไป

ครืน……………..

เฟิงโกรธแค้นจนตาแดงฉาน ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป

เมื่อภายในร่างปรากฏซึ่งความโกรธก็ไม่อาจสะสมพลังงานได้อีกต่อไป ตอนนี้เฟิงเพียงต้องการฆ่าฉินเทียนโดยไม่สนใจการประสานพลังอีก

ฆ่าไก่ตัวหนึ่งใยจึงต้องใช้มีดฆ่าโค?

ยิ่งได้เห็นสีหน้าอันยียวนของฉินเทียน เฟิงอยากจะฉีกใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นใจแทบขาด

“บิดาจะฆ่าเจ้า…….”

เฟิงคํารามลอดไรฟัน โทสะอันเทียมฟ้าของเขาต้องการที่ระบายออก

เขาดึงพลังที่รวบรวมไว้สําหรับการประสานออกมาโจมตีใส่ฉินเทียน

ฉินเทียนรีบหันไปบอกเมิ่งฝานอีและเฮยหยาน “ตอนนี้ล่ะ หนี!”

“ระวังตัวด้วย”

“เจ้าต้องรอดกลับมา”

เมื่อค่ายกลจากการประสานเกิดความผันผวน เมิ่งฝานอีและเฮยหยานก็รีบใช้เครื่องรางลี้ภัยทันที

สมบัติสําหรับหลบหนี เว้นเสียแต่จะมีพลังถึงขั้นจุติ มิเช่นนั้นก็ไม่มีวิธีขัดขวางเมื่อมันถูกใช้

เมิ่งฝานอีหันไปมองฉินเทียนอย่างจริงจัง เขากัดฟันแน่นก่อนจะเข้ารอยแยกมิติที่แหวกเปิดออกแล้วหายไป

เฮยหยานต้องการจะรั้งอยู่ แต่เห็นสายตาของฉินเทียนแล้ว เขาก็ได้แต่ยอมจากไป

ฉินเทียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อทั้งสองไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาก็ไม่มีสิ่งให้ต้องกังวลอีกต่อไป

ฉินเทียนจ้องมองไปยังหัวงทะเลอันมืดมิดก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา “ยังไม่ออกมาอีกรึ? ท่าประสานถูกทําลายไปแล้ว…….”