หลังจากที่เอริกะแยกกับอาริสะที่ชั้นใต้ดินของเมืองแพนเทร่าแล้วนั้น เธอก็ได้เดินตรงไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของไมเคิลอันเป็นบ้านเก่าของพวกเด็กๆ ในการปกครองของเธอหลายๆ คนที่ในบัดนี้ต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้วอย่างเช่นเอริซาเบธ เทีย มีอา หรือแม้แต่เจนผู้ที่เป็นคุณแม่บุญธรรมของคาร์เทียร์และภรรยาของเวก้าด้วยเช่นเดียวกัน

ซึ่งในทันทีที่เธอเดินเข้าไปใกล้ตัวอาคารนั้นเอง ก็ได้มีเสียงของหญิงสาวสูงวัยผู้ที่มีเส้นผมสีน้ำตาลและหูจิ้งจอกประดับบนศีรษะคนหนึ่งที่กำลังยืนกวาดใบไม้แห้งอยู่ใกล้ๆ กันพูดทักทายขึ้นมาให้เธอได้ยิน

“โอ้… ท่านเอริกะ? นั่นใช่ท่านเอริกะหรือเปล่าคะนั่น?”

“ว่าไงคุณคาเรน พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ”

เอริกะที่ถูกหญิงสาวสูงวัยพูดทักทายขึ้นมานั้นได้พูดตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ และนั่นก็ทำให้หญิงสาวสูงวัยที่ถูกเรียกว่าคาเรนได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยสีหน้าอ่อนใจเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับมา

“นานเกินไปเลยต่างหากล่ะคะ ถ้ายังไงก็เข้าไปด้านในกันก่อนเถอะค่ะ”

คาเรนที่พูดตอบเอริกะกลับไปนั้นได้วางไม้กวาดของเธอพิงเอาไว้กับกำแพงก่อนที่เธอจะเดินนำเอริกะเข้าไปด้านในตัวอาคารและพาเธอเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่อยู่ด้านหลังและเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่อยู่ด้านในเพื่อเริ่มต้นชงชาต้อนรับผู้มาเยือนพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ

“ว่าแต่คุณเอริกะมาที่นี่ทำไมหรอคะ? ถ้าเกิดว่าจะมาพบกับไมเคิลเขาล่ะก็ดิฉันคงต้องขอโทษเอาไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ…”

“เรื่องของไมเคิลนั่นฉันได้ข่าวมาแล้วล่ะ…”

เอริกะที่ได้ยินน้ำเสียงเศร้าๆ ของคาเรนได้รีบพูดขัดหญิงสาวสูงวัยขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้คาเรนก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนที่จะนิ่งเงียบไปจนทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา

“ว่าแต่ที่นี่ก็เงียบลงไปเยอะเหมือนกันนะ”

“ก็ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องของไมเคิลขึ้นมาฉันก็ตัดสินใจว่าจะไม่รับเด็กๆ คนใหม่เข้ามาแล้วน่ะค่ะ เพราะว่าฉันเองก็แก่ตัวลงทุกวันๆ ไม่เหมือนกับไมเคิลเขาก็เลยกลัวว่าจะดูแลพวกเขาไม่ไหวน่ะค่ะ”

“เพื่อตัวของพวกเด็กๆ เองงั้นสินะ…”

“คิกคิก… ก็อะไรประมาณนั้นนั่นแหล่ะค่ะ…”

คาเรนหัวเราะออกมาเบาๆ ให้กับคำพูดของเอริกะก่อนที่เธอจะยกชุดน้ำชาเดินตรงมาทางโซฟาและเอ่ยปากพูดถามเอริกะขึ้นมา

“ในเมื่อท่านเอริกะรู้เรื่องของไมเคิลเขาแล้วก็แปลว่าที่ท่านเอริกะมาที่นี่ก็คือมีธุระสำคัญอะไรบางอย่างสินะคะ เพราะไม่งั้นท่านเอริกะก็คงจะแค่ฝากจดหมายมาเหมือนก่อนหน้านี้แน่ๆ เลย”

“แหม่ ฉันเองก็อยากจะบอกว่าพอได้ยินเรื่องของไมเคิลแล้วก็เป็นห่วงเธอก็เลยแวะมาเยี่ยมเหมือนกันนะ…”

เอริกะพูดตอบคาเรนกลับไปด้วยน้ำเสียงติดตลกเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยกน้ำชาขึ้นมาจิบและพูดถามคาเรนเกี่ยวกับเรื่องที่เธอจำเป็นต้องรบกวนอีกฝ่ายไปเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมา

“ว่าแต่แล้วเรื่องของเจน… เจเนตเขาเป็นยังไงบ้างล่ะ พวกเธอทำพิธีให้เขาได้ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย”

“ค่ะ… ถึงเพราะเรื่องที่พวกเขาทำกับไมเคิลจะทำให้ฉันไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่ แต่ว่าฉันก็นำร่างของเด็กคนนั้นไปฝังที่สุสานหลวงตามที่ไมเคิลเคยบอกเอาไว้แล้วล่ะค่ะ”

“ไมเคิลเขาสั่งเอาไว้แบบนั้นงั้นหรอ?”

“มันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะค่ะ…”

คาเรนพูดตอบเอริกะกลับไปด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ เมื่อเธอต้องพูดถึงคนรักที่จากไปของเธอ และนั่นก็ทำให้เอริกะได้แต่ยกชาขึ้นมาจิบอีกครั้งก่อนที่เธอจะตัดสินใจพูดเข้าเรื่องขึ้นมา

“เอาล่ะ ถ้างั้นฉันขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะ… เธอจะว่าอะไรหรือเปล่าถ้าฉันอยากจะเข้าไปข้างในห้องทำงานของไมเคิลเขาสักหน่อยน่ะ”

“เรื่องนั้น… เมื่อตอนนั้นไมเคิลเคยบอกฉันเอาไว้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ให้นำกุญแจไปซ่อนเอาไว้แล้วก็อย่าให้ใครเข้าไปในห้องทำงานของเขาเด็ดขาด… ยกเว้นแต่จะเป็นพวกท่านเอริกะน่ะค่ะ”

“ไมเคิลบอกเธอเอาไว้แบบนั้นงั้นหรอ อย่าบอกนะว่าเขารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรแบบนั้นขึ้นมาน่ะ?”

“มันก็ไม่แปลกสักเท่าไหร่หรอค่ะ ก็เพราะว่าเขาคือไมเคิลคนนั้นเลยนี่คะ… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวไปหยิบกุญแจห้องทำงานของไมเคิลเขามาให้ก่อนก็แล้วกันนะคะ”

คาเรนหัวเราะคิกคักพูดตอบเอริกะกลับไปด้วยความภูมิใจในคู่ชีวิตของเธอที่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของทางวังหลวงไปได้ แต่ว่าเขาก็ยังมีไหวพริบมากพอที่จะเตรียมการเรื่องต่างๆ เอาไว้ให้พร้อมสำหรับคนอื่นๆ ต้องถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังได้

ซึ่งคาเรนที่ขออนุญาตเอริกะแล้วก็ได้เดินออกจากห้องนั่งเล่นแห่งนี้ไปปล่อยให้เอริกะได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงไปทางหน้าต่างเพื่อชมวิวทิวทัศน์ภายนอกด้วยท่าทางอารมณ์ดี หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งเธอสังเกตเห็นสิ่งที่ไม่ตรงกับสิ่งที่เธอจำได้ในความทรงจำของเธอนั่นเอง

“เอ… ไม่ใช่ว่าตรงนั้นมัน…”

“มาแล้วค่ะคุณเอริกะ”

ในขณะที่เอริกะกำลังขมวดคิ้วจ้องมองออกไปภายนอกหน้าต่างอยู่นั้นเอง ทางด้านคาเรนที่เดินออกไปเอากุญแจออกมาจากตู้เซฟก็ได้เดินกลับมาพร้อมกับกุญแจสีเงินหนึงดอกในมือและพูดถามเกี่ยวกับเรื่องของพวกเด็กๆ ที่เอริกะเคยรับไปเลี้ยงดูขึ้นมา

“ว่าแต่พวกมีอากับเอริซาเบธเขา— เอ่อ… มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะคุณเอริกะ?”

คาเรนที่กำลังพูดถามสารทุกข์สุกดิบของพวกเด็กๆ ที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ขึ้นมานั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยและพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าเอริกะกำลังมองตรงออกไปภายนอกหน้าต่างด้วยท่าทีจริงจัง

ซึ่งคำถามของคาเรนนั้นก็ได้ทำให้เอริกะพูดถามหญิงสาวสูงวัยกลับไปโดยที่เธอไม่ได้ละสายตาออกจากกระจกเสียด้วยซ้ำ

“ปกติสวนสาธารณะที่อยู่ข้างๆ มันอยู่ห่างออกไปแบบนั้นหรอคาเรน? ถ้าฉันจำไม่ผิดมันต้องอยู่ติดกับที่นี่เลยไม่ใช่หรอ?”

“อ๋อ… ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็หลังจากที่ไมเคิลเขาเสียไปทางวังหลวงก็ตัดสินใจว่าจะลดขนาดของสวนนั่นลงน่ะค่ะ… เห็นบอกว่าจะเอาพื้นที่ไปทำประโยชน์อย่างอื่นเพราะว่าขนาดของมันใหญ่เกินไปอะไรของเขาเนี่ยล่ะค่ะ… เฮ้อ… ทั้งๆ ที่ไมเคิลเขาคัดค้านมาตลอดแท้ๆ นะ”

“เจ้าพวกนั้นทำแบบนั้น—? ให้ตายสิ…”

เอริกะที่ได้ยินคำตอบของคาเรนได้ยกมือขึ้นมาขยี้หัวของตนเองด้วยท่าทียุ่งยากใจ และนั่นก็ทำให้คาเรนที่เห็นแบบนั้นได้แต่กระดิกหูจิ้งจอกของเธอด้วยท่าทีสงสัย เพราะเอริกะเล่นทำอย่างกับว่าทางวังหลวงเพิ่งจะทำอะไรที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งลงไปทั้งๆ ที่การตัดแบ่งจัดสรรพื้นที่ต่างๆ ใหม่เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองก็เป็นเรื่องปกติแท้ๆ

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับไม่คิดที่จะพูดอธิบายอะไรออกมาให้หญิงสาวสูงวัยฟังและพูดเปลี่ยนเรื่องไปแทนเสียเฉยๆ

“เอาเถอะ ในเมื่อทำลงไปแล้วงั้นก็คงจะช่วยไม่ได้… ว่าแต่เมื่อกี้นี้เธอพูดอะไรเกี่ยวกับพวกมีอาหรือว่าเอริเขาหรือเปล่านะ?”

“ฉันแค่ถามดูเฉยๆ ว่าพวกเด็กๆ เขาเป็นยังไงกันบ้างน่ะค่ะ ถึงทางด้านเทียกับมีอาเขาจะไม่ค่อยน่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่ แต่ว่าฉันไม่ไว้ใจแม่หนูจิ้งจอกแดงแสนซนคนนั้นเลยสักนิดน่ะค่ะ ฮะฮะ”

“อ๋อ ถ้าเรื่องของพวกเด็กๆ ล่ะก็เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ตอนนี้มีอาเขาทำงานเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลของเมืองรีมินัสน่ะ ส่วนเทียกับเอริซาเบธเขาตอนนี้กำลังเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนรีมินัสด้วยกันน่ะ”

“เอ๋? อย่างหนูเทียน่ะยังพอว่า แต่ว่าอย่างยัยตัวแสบคนนั้นเนี่ยนะคะจะไปเป็นครู… ฉันนึกสภาพเด็กคนนั้นไปสั่งสอนคนอื่นไม่ถูกเลยนะคะนั่น”

คาเรนที่ได้ยินว่าหนึ่งในเด็กที่เคยก่อปัญหาให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามากที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างเอริซาเบธ หรือที่เคยถูกเรียกว่าหนูจิ้งจอกแดงในตอนที่เธออาศัยอยู่ที่นี่กำลังทำหน้าที่เป็นครูสอนหนังสืออยู่นั้นได้แสดงท่าทีประหลาดใจออกมาอย่างปิดไม่มิด และนั่นก็ทำให้เอริกะไม่รอช้าที่จะใส่ไฟเต็มที่ด้วยความเอ็นดูในทันที

“ใช่มั้ยล่ะ~ เอาจริงๆ ฉันยังตกใจไม่หายเลยนะตอนที่ท่านผู้อำนวยการของโรงเรียนรีมินัสเขาติดต่อขอตัวยัยเอริไปทำงานด้วยน่ะ~ อ่ะ—”

ในขณะที่เอริกะกำลังพูดนินทาเอริซาเบธออกมาอยู่นั้นเอง เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าสาเหตุที่เธอรู้สึกคุ้นเคยกับหางฟูๆ ของเคาน์เตสอาริสะแบบแปลกๆ นั้นมันก็เป็นเพราะว่ามันดูคล้ายกับหางจิ้งจอกสุดนุ่มฟูของเอริซาเบธที่อยู่ด้วยกันกับเธอมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วนั่นเอง และนั่นก็ทำให้เธอตัดสินใจที่จะลองพูดถามคาเรนขึ้นมา

“จะว่าไปพอพูดถึงเอริซาเบธแล้ว… เธอรู้จักเด็กผู้หญิงหูจิ้งจอกผมสีแดงที่ชื่อว่าอาริสะบ้างหรือเปล่าน่ะคาเรน เห็นเขาบอกว่าตัวเองเคยอยู่ที่นี่มาก่อนด้วยน่ะ”

“อาริสะ… อ๋อ… เมื่อตอนนั้นท่านเอริกะไม่ทันได้เจอเขานี่นะคะ เฮ้อ… แต่จะให้พูดไปก็น่าเสียดายนะคะที่พวกเราไม่ทันได้รู้ตัวก่อนน่ะ ไม่งั้นต่อให้ตายยังไงไมเคิลเขาก็คงจะไม่ยอมให้คนคนนั้นรับเด็กน่ารักแบบนั้นไปเลี้ยงหรอกค่ะ…”

“หมายความว่ายังไงน่ะ?”

“เรื่องนั้น… เอาไว้ท่านเอริกะลองไปถามอาริสะดูเองน่าจะดีกว่านะคะ… ส่วนตอนนี้พวกเราไปที่ห้องทำงานของไมเคิลเขากันก่อนเถอะค่ะ”

คาเรนที่ได้ยินคำถามของเอริกะได้หลุบตาลงเล็กน้อยราวกับว่าเธอไม่ต้องการที่จะพูดเรื่องนี้ออกมา ซึ่งท่าทางของคาเรนนั้นก็พอจะทำให้เอริกะคาดเดาได้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวอาริสะเองจนทำให้เธอตัดสินใจที่จะเดินตามหลังคาเรนไปยังบันไดทางลงใต้ดินโดยไม่พูดถามอะไรขึ้นมาอีก

ซึ่งคาเรนก็ได้เดินนำเอริกะเดินลงบันไดลงไปยังส่วนใต้ดินของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ทอดยาวลึกลงไปสุดอยู่ที่ประตูเหล็กที่ดูหนาหนักหนึ่งบานโดยไม่มีสิ่งอื่นใดอีกจนทำให้เอริกะต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“จะว่าไปปกติแล้วไมเคิลเขาไม่ได้ล็อกห้องทำงานเอาไว้ไม่ใช่หรอ เพราะเหมือนฉันจะเคยได้ยินว่าเอริซาเบธเคยเข้าไปวิ่งเล่นในห้องนั้นด้วยนี่”

“ค่ะ ไมเคิลเขาบอกเอาไว้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาให้รีบปิดล็อกห้องทำงานของเขาให้เร็วที่สุดแล้วก็ห้ามใครนอกจากพวกท่านเอริกะเข้าไปเป็นอันขาดน่ะค่ะ…”

คาเรนพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะลงมือไขกุญแจเพื่อเปิดห้องทำงานของไมเคิลที่ถูกปิดตายตั้งแต่ตัวเจ้าของห้องจากไปออกมา

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เธอจะได้ผลักบานประตูให้เปิดออก หญิงสาวสูงวัยก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันกลับไปหาเอริกะและเอ่ยปากพูดขึ้นมา

“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดสิ่งที่ทำให้ท่านเอริกะต้องมาที่นี่มันควรจะเป็นความลับสินะคะ…?”

“มันก็ไม่เชิงว่าเป็นทางลับหรอกจ้ะ แค่ว่ายิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีอะไรประมาณนั้นน่ะ”

“ถ้าอย่างงั้น… ถ้าท่านเอริกะไม่ว่าอะไรฉันขอตามเข้าไปด้วยจะได้หรือเปล่าคะ? พอดีว่าฉันมีเรื่องที่จะต้องบอกท่านเอริกะเอาไว้ก่อนน่ะค่ะ”

“เป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ?”

ท่าทางจริงจังของคาเรนที่ยืนขวางประตูห้องทำงานของไมเคิลเอาไว้นั้นได้ทำให้เอริกะต้องพูดถามหญิงสาวสูงวัยขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจังด้วยเช่นเดียวกัน เพราะดูท่าทางแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีความคิดที่จะรอพูดเรื่องนี้หลังจากที่เธอเสร็จธุระในห้องทำงานของไมเคิลแล้วเลยแม้แต่น้อย

ซึ่งคำถามของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้คาเรนเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบเอริกะกลับไป

“มันเป็นเรื่องของหนูเทียกับหนูมีอาที่ไมเคิลเขาดันจากไปก่อนที่เขาจะได้มีโอกาสบอกท่านเอริกะน่ะค่ะ… แล้วก็ถึงฉันจะไม่ยอมรบกวนเวลาของท่านเอริกะไปมากกว่านี้แล้วก็เถอะ แต่ว่ามันก็คงจะเป็นสัญชาตญาณของคนแก่ล่ะมั้งคะว่าถ้าฉันปล่อยให้คุณเอริกะเข้าไปข้างในนั้นคนเดียวล่ะก็ในช่วงเวลาชีวิตสั้นๆ ของฉันที่เหลืออยู่นี่พวกเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้วก็ได้…”

แอ๊ด—-!!

“—-!!”

ในช่วงเที่ยงของวันเดียวกันนั้นเอง ที่ภายในบ้านพักตากอากาศหลังน้อยของไดเอน่าเองก็ได้มีเสียงที่ฟังดูเหมือนกับสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจนทำให้อีฟที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่บนโซฟาสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมามองซ้ายมองขวาด้วยความตกใจ

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้โมโกะที่นั่งอยู่ข้างๆ อีฟจำเป็นต้องดึงร่างของเด็กสาวมาโอบกอดเอาไว้และพูดปลอบใจขึ้นมา

“นั่นมันเสียงกระดิ่งของบ้านน่ะจ้ะ ไม่ต้องตกใจนะ เหมือนกับที่บ้านของเอริกะนั่นไง”

“…….!”

คำพูดปลอบใจของโมโกะนั้นพอจะทำให้อีฟหายตื่นตระหนกกับเสียงที่เธอไม่คุ้นเคยไปได้บ้าง และนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจที่จะลองเดินออกไปต้อนรับผู้มาเยือนที่น่าจะเป็นคนของเอริกะที่นัดกับพวกเขาเอาไว้นั่นเอง

“เดี๋ยวฉันไปดูให้เอง เธออยู่กับอีฟไปก่อนนะ”

“อ่ะ— เดี๋ยวผมไปด้วยก็แล้วกันนะครับนากา”

คอนแนลที่ได้ยินว่านากาจะไปดูแขกผู้มาเยือนให้นั้นได้รีบพูดอาสาขึ้นมาด้วยอีกคน และเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองเดินออกไปด้านนอกตัวคฤหาสน์ พวกเขาก็ได้พบเข้ากับเด็กสาวหูแมวผมสีดำในชุดเดรสที่ดูเหมือนกับพวกซิสเตอร์จากโบสถ์กำลังยื่นชะเง้อคอมองสำรวจเข้ามาภายในอาณาเขตของคฤหาสน์เข้า

ซึ่งภาพของเด็กสาวที่ดูคุ้นตาคอนแนลอย่างบอกไม่ถูกนั้นก็ได้ทำให้เขาต้องเอียงคอพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

“เอ… เด็กคนนั้นคือคนที่คุณเอริกะส่งมาหรอครับนั่น? ดูคุ้นๆ อยู่นะครับ”

“นายรู้จักเด็กคนนั้นด้วยหรอ?”

“ก็ต้องไม่รู้จักอยู่แล้วสิครับ… ผมแค่รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเจอมาก่อนเฉยๆ น่ะครับ”

“อ่ะ— พี่อัศวินเมื่อตอนนั้นนี่นา!”

ในขณะที่คอนแนลกำลังหันไปพูดตอบนากากลับไปอยู่นั้นเอง ทางด้านเด็กสาวหูแมวผมสีดำในชุดเดรส หรือก็คือ ทีเอร่า ที่ยืนรออยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียงดังจนทำให้คอนแนลที่ได้ยินเสียงพูดของเด็กสาวนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเคยเจออีกฝ่ายมาก่อนอย่างแน่นอน

“อ่ะ— เด็กคนที่เคยพยายามจะชวนผมกับพรีมูล่าเข้าลัทธิอะไรสักอย่างเมื่อตอนนั้นนี่นา!?”

“ลัทธิ? นายกับพรีมูล่า?”

“ก็…ก็ตอนนั้นไงครับ เมื่อตอนที่พวกนากาเพิ่งจะมาถึงเมืองใหม่ๆ แล้วก็บอกให้ผมพาพรีมูล่าออกไปเดินเล่นนั่นน่ะครับ ตอนนั้นพวกผมเจอเด็กคนนี้เข้ามาชวนไปเข้าลัทธิอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเทพเจ้าผู้สร้างน่ะครับ เหมือนว่าน้องเขาจะชื่อว่า ทีอาร่า โดมินี่ หรืออะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะครับ”

คอนเนลที่หันไปเห็นนากาเลิกคิ้วมองเขาด้วยท่าทีสงสัยนั้นได้รีบพูดตอบเพื่อนของตนกลับไปอย่างรวดเร็ว และนั่นก็ทำให้ทางด้านทีเอร่าที่ได้ยินพี่ชายอัศวินที่เธอเคยเจอมาก่อนเรียกชื่อของเธอผิดไปนั้นได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาบ้าง

“ทีเอร่า โดมินิค ต่างหากล่ะคะ! แล้วหนูก็ไม่ใช่พวกลัทธิอะไรพวกนั้นด้วย เพราะถ้าจะเป็นลัทธิได้มันต้องมีคนเยอะๆ ใช่มั้ยล่ะคะ แล้วดูสิคะ จนถึงตอนนี้ก็ยังมีแค่หนูตัวคนเดียวที่ไล่ตามเรื่องเทพเจ้าผู้สรรคสร้างอยู่เลยเนี่ย!”

“เรื่องลัทธิอะไรนั่นช่างมันไปก่อนเถอะ ว่าแต่เธอคือคนที่เอริกะส่งมาหรือเปล่าน่ะ?”

นากาที่เห็นว่าทีเอร่าเริ่มต้นที่จะร้องโวยวายออกมาอย่างสมวัยนั้นได้ตัดสินใจที่จะรีบพูดเข้าเรื่องขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ทีเอร่าที่กำลังทำท่าเหมือนกับว่ากำลังจะร้องโวยวายอยู่หันไปพูดตอบเขากลับไปเสียงใส

“อ่ะ ใช่แล้วค่ะๆ พอดีว่าหนูบังเอิญไปช่วยพวกเพื่อนๆ ของพี่เอริกะเข้า พี่เขาก็เลยเสนอมาว่าถ้าหนูยอมช่วยงานพี่เขา พี่เขาก็จะช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับเทพเจ้าผู้สรรคสร้างที่พี่อัศวินเขาโมเมว่าเป็นลัทธิให้น่ะค่ะ แต่ว่าตอนนี้ทางกลุ่มของหนูมีปัญหานิดหน่อยจนงานไม่เดิน พี่เอริกะเขาก็เลยบอกว่าจะส่งพวกพี่ๆ มาช่วยงานหนูสักพักนึงเนี่ยแหล่ะค่ะ”

ทีเอร่าที่ได้เริ่มต้นพูดแล้วนั้นเหมือนจะเริ่มพูดไม่หยุดขึ้นมาในทันที ซึ่งนากาที่พอจะจับใจความได้อยู่บ้างนั้นก็ได้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบเด็กสาวกลับไป

“หมายถึงเรื่องที่ว่าเว–เอ๊ย คนที่ชื่อว่า เด อะไรสักอย่างนั่นหายตัวไปนั่นสินะ เอริกะน่าจะส่งพวกฉันมาช่วยเรื่องนั้นนั่นแหล่ะ ฉันชื่อ นากา ปกติจะอยู่ที่เมืองรีมินัสน่ะ ส่วนพี่อัศวินของเธอนั่นชื่อว่าคอนแนล แล้วก็ด้านในยังมีเด็กผู้หญิงอีกสองคน คนนึงชื่อว่าโมโกะ แล้วก็อีกคนนึงชื่อว่าอีฟน่ะ”

นากาที่เกือบจะเผลอหลุดชื่อเวก้าออกมาต่อหน้าคอนแนลผู้ที่เป็นลูกน้องเก่าของอดีตขุนนางหนุ่มนั้นได้รีบพูดเปลี่ยนเรื่องเป็นการแนะนำตัวกลุ่มของเขาขึ้นมาแทน ซึ่งทางด้านทีเอร่านั้นก็ได้พยักหน้ากลับมาให้เขาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบเขากลับไปด้วยท่าที่ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยใส่ใจซะด้วยซ้ำ

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะๆ แต่ว่านอกจากเรื่องของพี่เดดารัสแล้วมันยังมีเรื่องงานยิบๆ ย่อยๆ อีกนิดหน่อยด้วยอ่ะ… ว่าแต่พี่ๆ อีกสองคนเขาไม่ออกมากันด้วยหรอคะพวกจะได้เริ่มงานกันเลย”

“อ๋อ พอดีว่าพวกผมไม่แน่ใจว่าจะใช่คนที่คุณเอริกะบอกเอาไว้หรือเปล่าก็เลยให้พวกเขารออยู่ข้างในน่ะครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปตามให้เดี๋ยวนี้ล่ะครับ”

คำพูดที่ฟังดูเป็นเชิงตำหนิของทีเอร่านั้นได้ทำให้คอนแนลต้องรีบพูดอธิบายออกมาก่อนที่เขาจะรีบวิ่งกลับเข้าไปภายในตัวบ้านในทันที และหลังจากนั้นอีกเพียงแค่ชั่วครู่ เขาก็ได้เดินกลับมาพร้อมกับโมโกะและอีฟที่อยู่ด้านหลังจนทำให้ทีเอร่าที่เห็นว่าคนอื่นๆ มากันครบแล้วไม่รอช้าที่จะเริ่มต้นพูดแจกแจงงานออกมา

“ถ้างั้นพวกเราก็รีบมาเริ่มงานกันเลยละกันนะคะ ถึงบ้านหลังนี้จะอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุนิดหน่อยแต่ถ้าพวกเรารีบๆ กันหน่อยก็น่าจะเสร็จก่อนที่มันจะมืดได้พอดีค่ะ”

“จุดเกิดเหตุหรอ? แบบนี้ให้ฉันอยู่เฝ้าอีฟที่บ้านแทนจะดีกว่าหรือเปล่าน่ะนากา?”

ในขณะที่ทีเอร่ากำลังพูดอธิบายเรื่องภารกิจในครั้งนี้ออกมาอยู่นั้นเอง ทางด้านโมโกะที่ได้ยินคำที่ฟังดูอันตรายจากปากของทีเอร่าก็ได้ยื่นมือไปสะกิดนากาเพื่อพูดสอบถามขึ้นมา

แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าเสียงกระซิบของโมโกะจะไม่อาจรอดพ้นหูแมวๆ ของทีเอร่าไปได้เมื่อเด็กสาวหูแมวคนใหม่ของกลุ่มได้หันไปทางโมโกะและเอ่ยปากพูดขึ้นมา

“เรื่องนั้นพี่โมโกะไม่ต้องกลัวไปหรอกค่ะ ป่านนี้ทางเมืองเขาจัดเก็บร่างผู้เคราะห์ร้ายไปหมดแล้วล่ะค่ะ ยกเว้นแต่ว่ามันจะมีเหตุใหม่เกิดขึ้นในวันนี้น่ะนะคะ”

“เอ๋? ที่พูดแบบนี้นี่หมายถึงว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาหลายรอบแล้วงั้นหรอครับ?”

คำพูดของทีเอร่าได้ทำให้คอนแนลต้องพูดสอบถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจกับข้อมูลที่เขาเพิ่งจะได้รับ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านทีเอร่าก็กลับทำเพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบอัศวินหนุ่มกลับไป

“เท่าที่ยืนยันแล้วแน่ๆ ก็คือเกิดเหตุขึ้นมาสี่ครั้งแล้วตรงบริเวณแถวๆ โบสถ์ที่หนูอยู่น่ะค่ะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตรงบริเวณอื่นของเมืองมีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นมาบ้างหรือเปล่า… เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเรารีบไปกันก่อนเถอะค่ะ เพราะเดี๋ยวต้องแวะกันหลายที่เลย”

ก๊อกก๊อก…

“พวกเพื่อนๆ ของคุณหนูออกไปกันแล้วค่ะ”

ในขณะที่พวกนากากำลังถูกทีเอร่าไล่ต้อนให้ออกไปทำงานของเอริกะกันอยู่นั้นเอง ทางด้านในของตัวคฤหาสน์เองก็ได้มีเสียงของไซร่าพูดรายงานคุณหนูไดเอน่าของเธอที่อยู่ด้านในห้องพักส่วนตัวขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน

และนั่นก็ทำให้ไดเอน่าที่อยู่ด้านในห้องพักส่วนตัวของเธอเปิดประตูออกมาเผยให้เห็นร่างของเธอกับเคนซากิที่พากันเดินออกมาจากภายในพร้อมๆ กับที่ไดเอน่าได้เอ่ยปากพูดบอกสาวใช้ที่กำลังขมวดคิ้วมองเคนซากิที่เดินตามหลังไดเอน่าออกมาจากห้องส่วนตัวกลับไป

“ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันบ้างเถอะค่ะคุณไซร่า”

“…..ที่ห้องใต้ดินของท่านแม็กซ์ซิสสินะคะ แล้วไม่ทราบว่าคุณเคนซากิจะไปด้วยหรือเปล่าคะ?”

ไซร่าที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่าได้พูดถามคุณหนูของเธอกลับไป ซึ่งคำถามของไซร่านั้นก็ได้ทำให้เคนซากิเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ถึงผมจะสนใจเพราะว่ามันเป็นห้องนั่งเล่นเปล่าๆ ที่ท่านแม็กซ์ซิสแทบจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปยกเว้นแต่ว่าจะมีท่านแม็กซ์ซิสเข้าไปด้วยก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าคุณไซร่าไม่สะดวกจริงๆ ล่ะก็จะให้ผมรออยู่ในห้องพักก็ได้นะครับ”

“อย่าไปแกล้งคุณไซร่าเขาแบบนั้นสิเคนซากิคุง”

ในขณะที่เคนซากิกำลังพูดกับไซร่าด้วยน้ำเสียงสุภาพและรอยยิ้มยิ้มแย้มอยู่นั้น ทางด้านไดเอน่าที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาก็ได้เอ่ยปากพูดห้ามปรามขึ้นมาด้วยและนั่นก็ทำให้ไซร่าต้องขมวดคิ้วอีกครั้งก่อนที่เธอจะพูดอธิบายขึ้นมา

“ฉันก็แค่แปลกใจที่ ‘คนนอก’ ที่จะได้เข้าไปในห้องนั้นเป็นคนแรกกลับเป็นคนจากเมืองแพนเทร่าที่ท่านแม็กซ์ซิสปฏิเสธมาตลอดเท่านั้นเองน่ะค่ะ… แต่ถ้าเกิดว่าคุณหนูไดเอน่าต้องการอย่างนั้นฉันเองก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไรหรอกค่ะ”

“โธ่เอ๊ย คุณไซร่านี่ล่ะก็…”

คำพูดของไซร่าที่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของคุณหนูของเธอและเคนซากิไปไกลนั้นได้ทำให้ไดเอน่าต้องพูดบ่นออกมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นไดเอน่าก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะพูดอธิบายอะไรเกี่ยวกับจุดที่ไซร่าเข้าใจผิดเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าอย่างงั้นเชิญตามมาได้เลยค่ะ”

ไซร่าที่ตัดสินใจว่าจะเคารพการตัดสินใจของคุณหนูของเธอนั้นได้เลือกที่จะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้และเดินนำเด็กหนุ่มเด็กสาวตรงไปตามโถงทางเดินและลงบันไดที่ทอดยาวลงลึกไปใต้ดิน ซึ่งสภาพแวดล้อมของโถงบันไดแห่งนี้นั้นก็ได้ทำให้เคนซากิต้องพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“สภาพทางลงดูไม่ค่อยจะต่างกับทางลงไปห้องลับใต้ดินของทางวังหลวงเลยนะครับเนี่ย”

“เห… เคนซากิคุงเคยลงไปที่ห้องลับของวังหลวงแพนเทร่าด้วยหรอ?”

“พอดีว่าผู้ปกครองของผมเขาสนิทสนมกับผู้ดูแลทางลงคนใหม่ผมก็เลยมีโอกาสได้ตามไปดูบ้างเป็นบางครั้งน่ะครับ”

เคนซากิที่อยู่ต่อหน้าไซร่านั้นจำเป็นที่จะต้องแสดงท่าทางเป็นเด็กหนุ่มผู้เป็นมิตรและพูดตอบไดเอน่ากลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพแบบที่เขามักจะแสดงออกภายในรั้วโรงเรียน ซึ่งการแสดงออกของเขานั้นก็กลับเหมือนจะทำให้ไดเอน่าที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขานึกสนุกขึ้นมาเธอจึงได้เริ่มต้นหาเรื่องชวนคุยไม่หยุดหย่อนราวกับว่ากำลังกลั่นแกล้งเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“งั้นหรอ~ แต่ฉันเองก็ไม่เคยไปที่นั่นซะด้วยสิ ข้างในนั้นมันเป็นยังไงหรอเคนซากิคุง~”

“ก็คงจะต้องบอกว่ามันดูคล้ายกัน… ไม่สิ… คงจะต้องบอกว่ามันดูเหมือนกันซะจนผมคิดว่าเป็นที่เดียวกันซะอีกด้วยซ้ำล่ะมั้งครับ ‘จะพอได้แล้วหรือยังหะ…’ ”

เคนซากิที่จำเป็นต้องพูดตอบไดเอน่ากลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้นั้นได้แอบกระซิบพูดบอกไดเอน่าขึ้นมาเบาๆ ตรงท้ายประโยค แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไดเอน่าก็กลับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียเฉยๆ และเอ่ยปากพูดถามคำถามถัดไปขึ้นมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเสียอย่างนั้น

“เอ๋~? จริงหรอ? แล้วถ้างั้น—”

“ถึงแล้วค่ะคุณหนู!”

แต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่ไดเอน่าจะได้แกล้งเคนซากิให้หนำใจ อยู่ๆ ไซร่าที่เดินนำหน้าอยู่ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียงดังจนทำให้พวกเด็กๆ ที่เดินตามมาด้านหลังต้องหยุดฝีเท้าลง และนั่นก็ทำให้พวกเขาได้พบว่าที่ด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกลนั้นได้มีประตูเหล็กบานหนึ่งตั้งอยู่ที่สุดปลายของโถงบันไดอันเป็นสาเหตุที่ทำให้ไซร่าต้องพูดบอกพวกเขานั่นเอง ถึงแม้ว่ามันจะยังอยู่ห่างลงไปอีกกว่าสิบขั้นบันไดก็ตาม

ซึ่งทางด้านไซร่าที่เอ่ยปากพูดขัดพวกเด็กๆ ขึ้นมานั้นก็ได้ยื่นกุญแจสีเงินหนึ่งดอกไปให้คุณหนูของเธอก่อนที่สาวใช้ผมสีดำจะหันไปจ้องเขม็งใส่เคนซากิด้วยท่าทีไม่ชอบใจ ในขณะที่ทางด้านไดเอน่านั้นก็ได้เดินตรงเข้าไปสำรวจดูประตูเหล็กที่ตั้งอยู่ที่สุดปลายทางอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมา

“อื้ม… ตรงนี้ล่ะมั้งนะ”

แกร๊ก—

“เอ… แปลกแฮะ…”

ไดเอน่าที่เสียบกุญแจเข้าไปที่รูรูหนึ่งบนบานประตูและลองไขมันดูนั้นได้เอียงคอเล็กน้อยด้วยความแปลกใจเพราะว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเมื่อเธอลองใช้มือเลื่อนราวจับที่ถูกติดเอาไว้บนประตูดูแล้วมันก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับเลยซะด้วยซ้ำ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าจำเป็นต้องหันไปพูดถามไซร่าที่กำลังจ้องเขม็งไปที่เคนซากิขึ้นมา

“กุญแจนี่มันถูกอันแน่แล้วใช่มั้ยคะเนี่ยคุณไซร่า?”

“ต้องถูกอยู่แล้วล่ะค่ะเพราะว่าคุณหญิงเป็นคนให้ฉันมาเองกับมือเลย”

ไซร่าที่ได้ยินคำถามของไดเอน่านั้นได้กลับไปทำสีหน้าเรียบๆ อีกครั้งและพูดตอบไดเอน่ากลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ ส่วนทางด้านเคนซากิที่โดนสาวใช้ของไดเอน่าเขม่นเองก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนที่เขาจะพูดถามไดเอน่าขึ้นมา

“เปิดไม่ออกหรอครับไดเอน่าจัง?”

“มันก็… อะไรประมาณนั้นแหล่ะจ้ะ แปลกจังแฮะ—”

ครึกครึกครึกครึกครึก—

ในขณะที่ไดเอน่ากำลังพูดตอบเคนซากิกลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของกลไกอะไรบางอย่างดังลอดออกมาจากเบื้องหลังประตูอีกทั้งมันยังฟังดูเหมือนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วยจนทำให้ทั้งไซร่าและไดเอน่าต้องรีบพากันเดินถอยออกห่างจากบานประตูเหล็กเบื้องหน้าในขณะที่ทางด้านเคนซากินั้นก็ได้ก้าวออกไปยืนอยู่ด้านหน้าสุดด้วยท่าทีระแวดระวัง

กิ๊ง!

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่จะมีใครได้เริ่มต้นทำอะไร อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงที่ฟังดูเหมือนกับกระดิ่งดังก้องขึ้นมาจากบานประตูก่อนที่ทุกอย่างจะนิ่งเงียบไป

“…………”

“เอ่อ… ห้องลับในปราสาทแพนเทร่ามันมีเสียงแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่าน่ะเคนซากิคุง?”

ในขณะที่ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบอยู่นั้นเอง ทางด้านไดเอน่าก็ได้เอ่ยปากพูดถามเคนซากิขึ้นมาเบาๆ จนทำให้เคนซากิที่ได้ยินแบบนั้นต้องรีบพูดตอบกลับไปโดนที่สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่บานประตูแบบไม่กะพริบ

“มันจะไปทำได้ยังไงล— …ล่ะครับ ของทางวังหลวงมันเป็นแค่ห้องนั่งเล่นธรรมดาๆ ที่อยู่ใต้ดินเท่านั้นล่ะครับ…”

เคนซากิที่ได้ยินไดเอน่าพูดถามขึ้นมาในสถานการณ์ตึงเครียดนั้นเกือบจะเผลอพูดตอบไดเอน่ากลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาตามปกติของเขา แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไดเอน่าก็ไม่ได้สนใจท่าทีเกือบจะหลุดมาดของเขาและหันไปพูดถามไซร่าขึ้นมาเสียแทน

“ถ้างั้นปกติประตูบานนี้มันส่งเสียงอะไรแบบนี้ออกมาหรือเปล่าน่ะคะคุณไซร่า…?”

“ม…ไม่ค่ะ ตอนที่ท่านแม็กซ์ซิสจำเป็นต้องพาคนอื่นมาที่ห้องนี้ก็แค่เปิดเข้าไปได้เฉยๆ ไม่มีอะไรแบบนี้นะคะ…”

ไซร่าที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มได้พูดตอบกลับไปตามจริง และนั่นก็ทำให้ไดเอน่าขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาบานประตูเหล็กด้วยท่าทีระมัดระวังและค่อยๆ เลื่อนมือไปเปิดมันออกอย่างช้าๆ

ฟู่ว…..

ในทันที่บานประตูเลื่อนถูกแง้มออกเพียงแค่เล็กน้อยนั้นเองก็ได้มีหมอกควันขมุกขมัวแบบเดียวกับที่ปกคลุมตัวเมืองแพนเทร่าเอาไว้หลั่งไหลออกมาจากภายในจนทำให้ไดเอน่าจำเป็นที่จะต้องหยุดมือของเธอเอาไว้ก่อน

ซึ่งไดเอน่าที่เห็นแบบนั้นก็ได้หันไปพยักหน้าให้กับไซร่าเป็นสัญญาณว่าให้สาวใช้ที่ไม่ค่อยจะชำนาญเรื่องการต่อสู้มากนักถอยหลบไปก่อนก่อนที่เธอจะหันไปพยักหน้าให้กับเคนซากิเป็นสัญญาณบอกว่าให้เขาเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป

และนั่นก็ทำให้เคนซากิที่เห็นแบบนั้นจำเป็นที่จะต้องเอื้อมมือไปจับที่ปืนลูกโม่ที่เขาพกมันเอาไว้ที่เอวโดยที่ยังไม่ชักออกมาอันเป็นท่วงท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ที่เขามั่นใจเวลาใช้ปืนลูกโม่ที่สุดนั่นเอง

และเมื่อไดเอน่าเห็นว่าคนอื่นๆ เตรียมความพร้อมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอก็ได้หันกลับไปทางบานประตูเหล็กและจัดการเลื่อนมันให้เปิดออกจนสุดในครั้งเดียวอย่างรวดเร็ว

ครืดดดดด—

ตุ๊บ

“—!?”

ในทันทีที่บานประตูถูกเลื่อนเปิดออกมานั้นเอง สิ่งที่โผล่ออกมาจากภายในนั้นก็คือร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลที่ถูกพันเอาไว้ด้วยเศษผ้าสีแดงอย่างลวกๆ ของชายหนุ่มผมสีดำทรงบ็อบในชุดนักผจญภัยสีแดงขาดรุ่งริ่งที่ดูเหมือนว่าจะกำลังนอนสลบไม่ได้สติพิงประตูอยู่ภายในราวกับว่าเขาเพิ่งจะถูกรุมทำร้ายและหนีตายมาได้อย่างฉิวเฉียดอย่างไรอย่างนั้น

ซึ่งถึงแม้ว่าไดเอน่าจะสะดุ้งไปเล็กน้อยกับการปรากฏตัวของร่างโชกเลือดเบื้องหน้า แต่ว่าในทันทีที่เธอสังเกตเห็นว่าร่างของชายหนุ่มเบื้องหน้ายังคงมีลมหายใจอยู่ เธอก็ไม่รอช้าที่จะรีบเข้าไปดูอาการและร้องสั่งไซร่าขึ้นมาในทันที

“คุณไซร่าไปหยิบกล่องพยาบาลมาหน่อยค่ะ! เคนซากิคุงมาช่วยฉันพาเขาไปที่ห้องก่อนเร็ว!”