ตอนที่ 185 เรียกว่าพี่สะใภ้
ตอนที่ 185 เรียกว่าพี่สะใภ้
เมื่อเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยลงมาที่ชั้นล่าง พวกเขาก็ไม่เห็นเฉินเจียวั่ง ส่วนเฉินเจิ้นเจียงกำลังคุยกับใครบางคนทางโทรศัพท์
พอได้เห็นหลินเซี่ย เฉินเจิ้นเจียงก็รู้สึกราวกับเห็นกำลังเสริม เขาเอ่ยกับคนที่อยู่ปลายสายว่า “เจียเหอกับเซี่ยเซี่ยมาแล้ว คุณคุยกับพวกเขาสักหน่อยเถอะ”
เฉินเจิ้นเจียงส่งโทรศัพท์ให้หลินเซี่ยอ่ยางรีบเร่ง “สายจากน้าชายน่ะ”
เอ่ยจบก็ทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ
“คุณน้า” หลินเซี่ยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะรับสายด้วยรอยยิ้ม
โจวเจี้ยนกั๋วยกยิ้มแล้วเอ่ยถาม “เซี่ยเซี่ย เปิดร้านเสริมสวยแล้วเหรอ?”
“เปิดแล้วค่ะ”
โจวเจี้ยนกั๋วถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง “ได้ยินมาว่าวันนี้เธอกับเจียเหอจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว พ่อแม่สามีของเธอไม่ได้ทำให้พวกเธอลำบากใจอีกใช่ไหม?”
โจวเจี้ยนกั๋วเป็นคนเสียงดัง หลินเซี่ยเกรงว่าเฉินเจิ้นเจียงจะได้ยิน สีหน้าของเธอจึงพลันเก้อเขิน ก่อนจะเอ่ยตอบไปว่า “ไม่ค่ะ ทุกอย่างดีมาก”
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว ฉันเตือนแม่สามีของเธอให้แล้วว่าอย่าทำให้คนชนบทต้องลำบากใจ ส่วนพ่อสามีของเธอฉันก็เพิ่งบอกเขาไปเมื่อครู่ว่าให้ดูกันไปในระยะยาว อย่ารังเกียจพวกเราชาวชนบท เมื่อถึงวันที่เขาแก่หง่อมจนเดินเองไม่ไหวก็เป็นพวกเธอที่ต้องปรนนิบัติไม่ใช่หรืออย่างไร?”
“คุณน้า ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลินเซี่ยรู้สึกร้อนใจราวกับนั่งอยู่บนกองไฟ
โจวเจี้ยนกั๋วพูดจาว่าร้ายหลับหลังคนอื่นก็เรื่องหนึ่ง
ปัญหาคือเขาตะโกนสุดเสียงเสียด้วยนี่
หลินเซี่ยรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณน้า แม่ของฉันแจ้งตำรวจไปก็นานแล้ว มีข่าวคราวจากทางตำรวจบ้างไหมคะ? อยากรู้ว่าพวกเขาได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์บ้างไหม?”
โจวเจี้ยนกั๋วตอบว่า “ฉันพบเขาเมื่อวานนี้ เขาบอกว่ากำลังสืบสวนอยู่ แต่ติดที่วินัยตำรวจตรงที่ไม่สามารถเปิดเผยรูปการณ์ของคดีได้จนกว่าจะทราบผลแน่ชัด กระนั้นก็บอกให้พวกเราอดทนรอสักหน่อย การสอบสวนคืบหน้าไปมากแล้ว”
หลินเซี่ยรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ยินข่าวเช่นนี้ “ดีค่ะ คุณน้า หากมีข่าวคราวอะไร คุณน้าต้องแจ้งมาทันทีเลยนะคะ”
“เซี่ยเซี่ย หากว่า…” โจวเจียนกั๋วอึกอัก
หลินเซี่ยเข้าใจถึงความกังวลของโจวเจียนกั๋ว เธอจึงบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณน้า ถึงแม้ว่าแม่แท้ ๆ ของฉันจะตั้งใจสลับลูกจริง ๆ คุณน้าก็อย่าปิดบังฉันเลยนะคะ ฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมอดทนต่อทุกเรื่องราวได้ ฉันเพียงต้องการรู้ความจริง”
โจวเจียนกั๋วตอบว่า “ได้ ถ้ามีข่าวคราวอะไรน้าจะมาแจ้งนะ”
ทันทีที่เฉินเจียซิ่งเปิดประตูเข้ามาก็เห็นหลินเซี่ยนั่งถือโทรศัพท์อยู่บนโซฟา ดูเหมือนว่าจะกำลังคุยกับน้าชายของเขาอยู่
เขาพลันพ่นลมออกจากจมูกอย่างเย็นชา
เห็นได้ชัดว่าปลายสายเป็นน้าชายของเขา ทว่าเมื่อฟังน้ำเสียงสนิทสนมของเธอ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเป็นน้าชายของเธอ
ยัยตัวแสบนี่กำลังสืบหาความจริงในปีนั้นอยู่งั้นหรือ?
เฉินเจียซิ่งยืนอยู่ที่ประตูบ้าน เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของเธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองหญิงสาว
เมื่อผู้เฒ่าเฉินเห็นเฉินเจียซิ่งกลับมา เขาก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เจียซิ่งกลับมาแล้วเหรอ?”
“คุณปู่ พ่อ ผมกลับมาแล้วครับ”
“พี่ใหญ่” เฉินเจียซิ่งเดินเข้ามาทักทายเฉินเจียเหอเบา ๆ
“อืม”
ในตอนที่เฉินเจียซิ่งซึ่งถือกระเป๋าในมือกำลังจะขึ้นไปชั้นบน เฉินเจิ้นเจียงก็มองเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ไม่รู้แล้วหรือว่าต้องเรียกหล่อนว่าอะไร?”
เฉินเจียซิ่งหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะกวาดสายมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาแล้วทำเป็นแกล้งโง่ “ต้องเรียกว่าอะไรล่ะครับ?”
เฉินเจิ้นเจียงเหลือบมองหลินเซี่ย แล้วส่งสายตาเป็นนัยให้เขา น้ำเสียงของเขาเย็นชา “แล้วควรเรียกว่ายังไงล่ะ?”
ผู้เฒ่าเฉินก็ส่งสายตาไปยังเฉินเจียซิ่งเป็นเชิงกดดันให้เขายอมประนีประนอมอ่อนข้อลงเช่นกัน
“พี่…” เฉินเจียซิ่งกุมหน้าผากอย่างเจ็บปวด เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่หลินเซี่ย แล้วเค้นสามคำนั้นออกมาอย่างยากลำบาก “พี่สะใภ้”
หลินเซี่ยนั่นอยู่ข้างเฉินเจียเหออย่างสง่าผ่าเผย เอ่ยตอบด้วยเสียงใสกระจ่าง “สวัสดีน้องสามี”
เฉินเจียซิ่งอยากจะตายเสียตอนนี้
ในตอนที่เพิ่งแต่งงานกับเสิ่นเสี่ยวเหมยและไปเยี่ยมครอบครัวเสิ่นในฐานะแขก ยัยตัวแสบนี่เรียกเขาว่าอาเขยด้วยความนอบน้อม
ซ้ำยังรินชามาให้เขาด้วย
ทว่าตอนนี้…
นั่งตัวตรงคอตั้งอยู่ตรงนั้น วางมาดเป็นพี่สะใภ้ของเขาจริง ๆ
เฉินเจียเหอระงับความโกรธเอาไว้และแอบก่นด่าอยู่ในใจในขณะที่เดินกลับเข้าไปในห้อง
หลังจากแสร้งวางมาดเย่อหยิ่งต่อหน้าเฉินเจียซิ่งเมื่อครู่ พออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เธอก็พลันเขินอายขึ้นมาจึงลุกขึ้น “ฉันจะไปช่วยในครัวนะคะ”
“ทำไมเจียวั่งยังไม่กลับอีก?” เฉินเจียเหอเหลือบมองเฉินเจียซิ่งที่ขึ้นไปชั้นบนพลางเอ่ยถามผู้เฒ่าเฉิน
น้องรองซึ่งปกติแล้วกลับบ้านไม่ค่อยจะตรงเวลานั้นกลับมาถึงบ้านแล้ว ทว่าน้องสามยังไม่กลับมา
ร่างกายของเฉินเจียวั่งค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น การที่เขากลับบ้านช้าทำให้พวกเขาวิตกกังวลอยู่ในใจ
ผู้เฒ่าเฉินก็กังวลเช่นกัน “ปู่จะโทรหาเขา”
ในบรรดาพี่น้องสามคนของเฉินเจียเหอ เฉินเจียวั่งเป็นเศรษฐีเพียงคนเดียวที่มีทั้งโทรศัพท์มือถือและเพจเจอร์
ทันทีที่เฉินเจียวั่งบอกว่าเขาอยากกลับไปโรงเรียน ผู้เฒ่าเฉินจึงเสนอให้ตัวเขาเอง เฉินเจิ้นเจียง และโจวลี่หรงลงขันกันคนละส่วนให้เฉินเจียวั่งนำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้สะดวกในการติดต่อกัน
หลังจากต่อสายไปหาแล้ว เฉินเจียวั่งก็บอกคุณปู่ของเขาด้วยความลำบากใจว่าวันนี้เขาจะไม่กลับบ้าน เพราะการบ้านของคืนนี้หนักอึ้งเกินไป เขาจะอยู่ที่บ้านในที่ทำงานของพ่อเขา
“เจียวั่ง วันนี้เป็นวันที่พี่ใหญ่ของหลานและพี่สะใภ้จดทะเบียนสมรสกัน พี่สะใภ้หลานมาถึงแล้ว ทำไมหลานถึงทำตัวหยาบคายแบบนี้”
เฉินเจียวั่งกล่าวว่า “คุณปู่ครับ อนาคตยังอีกยาวไกล คุณปู่ช่วยอธิบายให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ให้ผมหน่อยนะครับ พรุ่งนี้ผมจะกลับไปแน่นอน”
“แล้วเรื่องมื้อเย็นหลานจะทำยังไง?” ผู้เฒ่าเฉินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“กินข้าวกับเพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเจียวั่ง ดวงตาขุ่นมัวของผู้เฒ่าเฉินก็เปล่งประกายขึ้นมาทันควัน “จริงเหรอ?”
เมื่อได้รับคำตอบที่ได้รับยืนยัน ผู้เฒ่าเฉินจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง ก่อนจะรีบสั่งสอนเขา
“ดี กินให้อร่อย อย่าลืมว่าหลานต้องเป็นคนจ่ายเงินนะ”
“แล้วก็ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ หาเรื่องคุยให้มากหน่อย อย่าทำตัวตายด้านเหมือนพี่ใหญ่ของหลาน”
เฉินเจียเหอ “…”
เขาตายด้านแล้วอย่างไร? เขาก็ได้แต่งสะใภ้เข้าบ้านเหมือนกัน!
หลังจากสั่งสอนไปสองสามคำ ผู้เฒ่าเฉินก็วางสายโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี
เฉินเจิ้นเจียงมองดูพ่อของเขาที่ฉีกยิ้มไม่หยุด แล้วถามว่า “เจียวั่งไม่กลับมาเหรอครับ?”
“บอกว่าจะไปพักที่ห้องของลูก”
เฉินเจียเหอถามว่า “คุณปู่ เขาว่าอะไรอีก?”
ผู้เฒ่าเฉินไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นของเขาได้ “เจียวั่งบอกว่าเขากำลังกินมื้อเย็นอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นผู้หญิง”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าเฉิน ใบหน้าจริงจังของทั้งเฉินเจิ้นเจียงและเฉินเจียเหอก็เผยให้เห็นรอยยิ้มออกมาพร้อมกัน
ผู้เฒ่าเฉินบอกกับเฉินเจียเหอว่า “เจียเหอ เดี๋ยวหลานไปอธิบายให้เซี่ยเซี่ยฟังด้วย หล่อนจะได้ไม่คิดมาก ปู่เดาว่าเจียวั่งคงถูกเพื่อนร่วมชั้นหญิงคนนั้นบอกให้ไปกินข้าวด้วยกัน แล้วผละตัวมาไม่ได้”
เฉินเจิ้นเจียงก็โล่งใจเช่นกันที่ได้ยินข่าวดังกล่าว เขายกยิ้มแล้วเอ่ย “เจ้าเด็กนี่คงเห็นว่าแม้แต่พี่ใหญ่ที่ทื่อมะลื่อเป็นท่อนไม้ยังแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ เขาก็เลยเริ่มคิดขึ้นมาบ้าง”
“เป็นเรื่องดีที่เขายอมที่จะเปิดใจและใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นหญิงในช่วงมื้อเย็น”
หู่จือฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่ก็ทิ้งตัวลงบนตักของผู้เฒ่าเฉิน ก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย “ลุงสามเองก็จะแต่งภรรยาเหมือนกันเหรอครับ?”
ผู้เฒ่าเฉินลูบหัวหู่จือ สีหน้าของเขาไม่อาจละกดกลั้นความสุขเอาไว้ได้ “แน่นอน”
ผู้เฒ่าเฉินเอ่ยแนะนำเฉินเจิ้นเจียง “แกเตรียมอั่งเปารับขวัญลูกสะใภ้ไว้ได้เลย”
ฝีมือการทำอาหารของหลินเซี่ยนับว่าดีเยี่ยม เมื่อเธอเข้าไปในครัว ก็ช่วยงานในครัวอย่างขยันขันแข็ง คุณย่าเฉินยิ่งมองหลานสะใภ้ที่มีความสามารถของเธอมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่เฉินเจียเหอจัดโต๊ะเรียบร้อย เขาก็นำชาที่ชงเป็นพิเศษมา
เขาดึงหลินเซี่ยไปด้านข้างแล้วพูดเบา ๆ “เซี่ยเซี่ย เดี๋ยวอีกสักพักยกน้ำชาให้คุณปู่คุณย่ากันนะ”
“เราแต่งงานกันแล้ว ก็ควรที่จะมีพิธียกน้ำชา เปลี่ยนคำเรียกขาน”
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินเรื่องยกน้ำชา เธอก็แสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที มองเขาพร้อมเอ่ยถามว่า “ฉันต้องคุกเข่าไหม?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทำไมล่ะ เรียกว่าพี่สะใภ้แล้วไม่ชินเหรอเจียซิ่ง
เจียวั่งมีพิรุธน้า
ไหหม่า(海馬)