ตอนที่ 186 หน้าตาเหมือนโจวอี้เลย

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 186 หน้าตาเหมือนโจวอี้เลย?

ตอนที่ 186 หน้าตาเหมือนโจวอี้เลย?

“แน่นอนว่าไม่จำเป็น เราเป็นครอบครัวนักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ ไม่มีธรรมเนียมล้าสมัยอะไรแบบนั้น ก็แค่ยกน้ำชาเปลี่ยนขำเรียกขานเท่านั้น แล้วก็…” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “รับอั่งเปารับขวัญด้วย”

“โอ้”

ในการรวมตัวในครั้งนี้ ผู้เฒ่าเฉินและคุณย่าเฉินนั่งในตำแหน่งประธาน ส่วนเฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงนั่งข้าง ๆ ในลำดับถัดมา

เฉินเจียเหอเตรียมถ้วยชา จากนั้นจึงรินน้ำชา

เขากล่าวว่า “คุณปู่ คุณย่า พ่อ แม่ สะใภ้ใหญ่ของพวกคุณต้องการยกน้ำชาให้”

ใบหน้าของผู้เฒ่าเฉินเต็มไปด้วยความปีติ “อืม”

หลินเซี่ยยกน้ำชาแก่ผู้อาวุโสทั้งสี่ตามลำดับ และเปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน

พร้อมได้รับอั่งเปารับขวัญสะใภ้จากผู้อาวุโส

เฉินเจิ้นเจียงผู้ถนอมคำพูดดั่งทองคำมาโดยตลอด มองดูหลินเซี่ยแล้วเปิดปากขึ้น “ในอนาคต ถ้าเจียเหอรังแกเธอ ก็กลับมาบอกพวกเรานะ พ่อจะจัดการเขาให้”

หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างสุภาพด้วยความเคารพ “ขอบคุณค่ะพ่อ”

“เซี่ยเซี่ย จากนี้ไปเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ลูกสองคนรักใคร่ซึ่งกันและกันเข้าไว้ ใช้ชีวิตให้ดี”

ผู้เฒ่าเฉินกอดหู่จือไว้ในอ้อมแขน ลูบหัวเด็กชาย พลางถอนหายใจ แล้วเอ่ยกำชับเฉินเจียเหอและหลินเซี่ย “ปฏิบัติกับหู่จือดี ๆ นะ”

“คุณปู่ พวกเราจะจำไว้ครับ”

………

หลังอาหารเย็น เฉินเจิ้นเจียงเป็นห่วงเฉินเจียวั่ง จึงไปที่ห้องพักประจำที่ทำงานของเขา

ส่วนผู้เฒ่าเฉินยกยิ้มพร้อมจับมือหู่จือแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องนอน “หู่จือ ไป ไปเล่นกับปู่ทวดและย่าทวด ให้พ่อแม่ของเธอได้พักผ่อนกันเร็วสักหน่อย”

เฉินเจียเหอเอ่ยกำชับ “คุณปู่ สอนให้เขาอ่านอักษรด้วยนะครับ”

“ปู่รู้แล้ว หลานอย่ากังวลไปเลย” ผู้เฒ่าเฉินมองเฉินเจียเหออย่างมีนัยยะบราวนี่ออนไลน์

ผู้เฒ่าเฉินและคุณย่าเฉินพาหู่จือไปเรียนด้วยความลิงโลด

เฉินเจียเหอก็พาหลินเซี่ยขึ้นไปข้างบนเช่นกัน

คนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องนั่งเล่นคือเฉินเจียซิ่งซึ่งกำลังนั่งไขว่ห้างดูโทรทัศน์อยู่

โจวลี่หรงออกมาจากห้องครัวก็เห็นว่าเฉินเจียซิ่งดูรายการโทรทัศน์โดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงนั่งลงตรงข้ามเขาด้วยใบหน้าเป็นกังวลอย่างยิ่ง

“เจียซิ่ง ลูกกับเสี่ยวเหมยจะเอายังไงต่อ? จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ? พี่ใหญ่ของลูกแต่งงานแล้วนับเป็นเรื่องที่ดี และพวกเราก็ไม่ต้องการให้เรื่องของพี่ใหญ่มาทำลายชีวิตแต่งงานของลูก”

เฉินเจียซิ่งเงยหน้าขึ้นมองโจวลี่หรง น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ “แม่ครับ ในเมื่อพวกคุณทุกคนต่างยอมรับหลินเซี่ย ก็ไม่ต้องพูดอะไรให้เกินความจำเป็นนักหรอกครับ”

“เจียซิ่ง เป็นแม่เองที่ไม่ได้คิดไตร่ตรองให้รอบด้าน เลยยกยอเสี่ยวเหม่ยอย่างมาก ไม่ว่าหล่อนจะพูดอะไร แม่ก็คล้อยตามไปทุกครั้งว่าสิ่งที่หล่อนพูดนั้นถูกต้อง แต่พวกเราไม่ได้ตาบอด หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกัน ลูกเองก็เห็นว่าหลินเซี่ยแตกต่างไปจากที่เสี่ยวเหมยเคยบอกกล่าวไว้อย่างสิ้นเชิง หล่อนไม่ได้โง่เขลาคร่ำครึ ตรงกันข้ามหล่อนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่อายุยังน้อย แถมยังใฝ่รู้ใฝ่เรียน พี่ใหญ่ของลูกเองก็ไม่ได้หลับตาชมชอบหล่อนสุ่มสี่สุ่มห้าเสียเมื่อไหร่ หลินเซี่ยไม่ได้เป็นลูกหลานของตระกูลเสิ่นอีกต่อไปและไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเสี่ยวเหมยแล้ว เสี่ยวเหมยจะยึดมั่นปั้นมืออยู่แบบนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา? ลูกลองคิดดู นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตพี่ใหญ่ของลูก เขายอมรับหลินเซี่ยอยู่เต็มอก เขาจะละทิ้งความสุขเพราะความสัมพันธ์ที่ไม่มีอยู่จริงหรือ?”

โจวลี่หรงมองเฉินเจียซิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เป็นคนอย่าได้เห็นแก่ตัวจนเกินไป เข้าใจซึ่งกันและกัน หากว่าเสี่ยวเหม่ยยังไม่กลับมาอีก พ่อของลูกคงต้องมีปัญหากับหล่อนแล้ว”

เฉินเจียซิ่งพึมพำ “เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่ลงรอยกับหลินเซี่ย หล่อนเลยไม่ยอมกลับมา ผมจะทำอะไรได้อีกล่ะครับ?”

“อย่างนั้นลองไปบอกให้หล่อนกลับมาอีกสักครั้ง” โจวลี่หรงมองดูลูกชายแล้วเสนอความคิดออกมา

“แม่ครับ ทำไมผมจะต้องไปทำอะไรต่ำต้อยขนาดนั้นต่อหน้าหล่อนด้วย? ตอนนี้ผมมีการมีงานของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาลูกพี่ลูกน้องของหล่อนให้จัดการพาผมเข้าไปทำงานในโรงงานยานยนต์แล้ว เมื่อก่อนคุณปู่ก็มียศมีตำแหน่งใหญ่กว่าคุณลุงของหล่อนเสียด้วยซ้ำไป ผมต้องกลัวหล่อนเหรอครับ? ก็อย่างที่แม่พูด เมื่อก่อนผมไม่ได้คิดไตร่ตรองให้รอบด้านจึงยกยอเสี่ยวเหม่ยไว้เสียสูงส่ง”

เมื่อความชมชอบและภาพบังตาสลายหายไปจนหมด ก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่านั่นคือทั้งหมดสำหรับหล่อน

เฉินเจียซิ่งลุกขึ้นเพื่อจะกลับเข้าห้อง “แม่ไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้หรอก ผมเองก็อยากจะสงบสติอารมณ์ลงให้ใจเย็นลงด้วย และถ้าทนไม่ไหวจริง ๆ ผมก็จะไป”

…….

เฉินเจียเหอหยิบชุดนอนของหลินเซี่ยส่งให้กับเธอ

“น้ำในห้องน้ำกำลังอุ่นได้ที่แล้ว ไปอาบน้ำเถอะ”

ห้องน้ำอยู่ทางด้านซ้ายของห้องนอน เฉินเจียเหอพาเธอไปที่ประตูห้องน้ำแล้วปล่อยให้เธอเข้าไป

จากนั้นเขาก็ยืนพิงกำแพงเฝ้าอยู่หน้าประตู

เฉินเจียซิ่งขึ้นมาชั้นบน

เขาเหลือบมองไปที่ประตูห้องน้ำแล้วถามเฉินเจียเหอว่า “พี่มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้?”

“พี่สะใภ้ของนายอยู่ข้างใน ฉันรอหล่อนอยู่”

เฉินเจียซิ่งกลอกตาอย่างหมดคำพูด มองเฉินเจียเหออย่างเย้ยหยัน ก่อนจะยกนิ้วโป้งประชดแล้วเดินกลับไปที่ห้องของเขา

เขาคิดว่าตัวเองตามเอาอกเอาใจเสิ่นเสี่ยวเหมยมากแล้ว ใครกันจะคาดคิดว่าพี่ใหญ่ของเขากลับอาการหนักยิ่งกว่า

เฉินเจียเหอเพิกเฉยต่อคำเยาะเย้ยของเฉินเจียซิ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่มีเครื่องเป่าผม จึงวิ่งลงไปหาโจวลี่หรงเพื่อยืมเครื่องเป่าผมมาวางไว้ในห้อง แล้วกลับรอที่หน้าประตูห้องน้ำเช่นเดิม

หลินเซี่ยออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนพร้อมกับผมที่เปียกชื้น เฉินเจียเหอไม่พูดอะไร เพียงดึงเธอเข้าไปในห้อง

เหมือนเช่นตอนที่เขาอยู่ที่บ้านของครอบครัว เขาก็หยิบเครื่องเป่าผมขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติด้วยใบหน้าอ่อนโยน “ผมจะเป่าผมให้คุณนะ”

“แขนคุณบาดเจ็บอยู่คงไม่ค่อยสะดวก ฉันทำเองค่ะ”

“ไม่เป็นไร ถือเครื่องเป่าผมไหวครับ”

เขากดเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะเป่าผมของเธอให้แห้งอย่างระมัดระวัง

“คุณจะอาบน้ำไหม?” หลินเซี่ยมองเขาแล้วเอ่ยถาม

เฉินเจียเหอชี้ไปที่ไหล่ของเขาและเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น น้ำเสียงของเขาคลุมเครือ “คุณจะช่วยผมไหม?”

เมื่อมองแววตาล้ำลึกของเขา หลินเซี่ยก็ยิ้มจาง ๆ “ช่วยสิคะ”

เธอขยิบตาให้เขา “คุณถอดเสื้อผ้าออกก่อน”

เฉินเจียเหอ “???”

ถึงจะสับสนงุนงง แต่ก็ยอมทำตามที่ผู้เป็นภรรยาบอก

หลังจากพยายามอยู่สองสามที เขาก็ถอดเสื้อไหมพรมที่ใส่อยู่ออกได้

จากนั้นเขาเห็นหลินเซี่ยดึงพลาสติกออกมาจากที่ไหนสักแห่ง และภายใต้แววตาเคลือบแคลงสงสัยของเขา เธอก็กดเขาให้นั่งลง จากนั้นจึงนำพลาสติกนั้นมาพันบนพันผ้ากอซบนไหล่ของเขา

พร้อมกับมัดเงื่อนตายไว้ที่ใต้วงแขนของเขา

“ฉันพันพลาสติกป้องกันผ้ากอซไว้ให้ ตอนนี้ก็กันน้ำได้แล้ว คุณอาบน้ำได้อย่างสบายใจเลย”

เฉินเจียเหอ “!!!”

เขามองดูท่าทางซุกซนเจ้าเล่ห์ของเธอแล้วก็หัวเราะ จากนั้นจึงไปห้องน้ำ

ทันทีที่เฉินเจียเหอออกไป หลินเซี่ยมองไปรอบห้องหออันสดใสอบอุ่น หัวใจของเธอก็พลันเต้นแรงขึ้นมา

หลังจากเขาออกมาจากห้องน้ำ เงื่อนไขของพวกเขาก็สุกงอมพร้อมแล้วใช่ไหม?

วิญญาณของเธอเป็นป้าแก่ ๆ คนหนึ่ง ใจของเธอจะไม่เพียงแต่จะไม่ขัดขืนเท่านั้น แต่ยังค่อนข้างจะ… ตั้งหน้าตั้งตารอด้วยซ้ำ

ทว่าอายุที่แท้จริงของเธอในตอนนี้เพิ่งจะยี่สิบเอง

ดังนั้นต้องเก็บอาการตั้งตาคอยไว้ในใจ แล้วรักษาบุคลิกที่ขี้อายและประหม่าของเธอไว้ภายนอก ซึ่งต้องใช้ทักษะการแสดงในระดับหนึ่ง

บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศ จู่ ๆ เธอก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาจริง ๆ เสียอย่างนั้น

เธอเห็นชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ผนังส่วนใหญ่ตรงหน้า จึงตัดสินใจมองหาหนังสือที่จะอ่านเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง

หนังสือหลัก ๆ บนชั้นนั้นเต็มไปด้วยหนังสือเฉพาะทางเกี่ยวกับการสร้างรถไฟที่เล่มหนามาก

มองลงไปยังมีหนังสือชื่อดังระดับโลก รวมถึงหนังสือภาพสำหรับเด็กหลายเล่มที่เมื่อก่อนคงซื้อให้หู่จือ

หลินเซี่ยเลือกแล้วลือกอีก แต่ไม่มีหนังสือที่เหมาะกับเธอ

เธอเห็นอัลบั้มรูปขนาดใหญ่และค่อนข้างหนาวางอยู่บนชั้นวาง ดวงตาของเธอก็กระตุกในขณะหยิบมันขึ้นมา

จากนั้นเขาก็ขึ้นไปบนเตียงอย่างตื่นเต้น ก่อนจะเอนตัวพิงหัวเตียงและดูรูปในนั้นอย่างตั้งใจ

อัลบั้มนี้หนากว่าอัลบั้มที่เขาเก็บไว้ที่บ้านมาก โดยที่หน้าแรกเป็นรูปถ่ายครอบครัว

ภาพนี้ถ่ายเมื่ออย่างน้อยสิบปีก่อน ค่อนข้างเก่าและล้าสมัย

เฉินเจียเหอสวมเครื่องแบบทหารและยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินเจิ้นเจียงและเฉินเจียวั่ง

เฉินเจียเหอในวัยยี่สิบปียังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ ดูหล่อเหลา สดใสมีชีวิตชีวา และแน่นอนว่ายังแสนเท่อีกด้วย

เธอเห็นได้ว่าเฉินเจียซิ่งเป็นคนหัวขบถมากขึ้นตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ในรูปนั้นเขาเป็นวัยรุ่นอายุราวสิบห้าหรือสิบหกปี แต่งตัวตามสมัยนิยม ยืนเต๊ะท่าเหมือนอันธพาล

มีเด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบปีอยู่ข้าง ๆ เขา เธอคิดคงว่าเป็นเฉินเจียวั่ง

หลินเซี่ยเปิดหน้าต่อไป

มันเป็นรูปหมู่ของพวกเขาสามคนพี่น้อง รวมถึงภาพถ่ายสมัยเรียนของเฉินเจียเหอ ภาพถ่ายในวันสำเร็จการศึกษา ตลอดจนภาพอื่น ๆ

มีทั้งภาพขาวดำและภาพสี

รูปภาพในอัลบั้มนี้ได้รับการจัดเรียงด้วยความเอาใจใส่อย่างดี จากหน้าแรกไปหน้าสุดท้ายถูกจัดเรียงตามวันเวลาที่ผันผ่าน

หลินเซี่ยพลิกไปด้านหลัง พบว่ามีรูปของหู่จือในช่วงอายุหนึ่งขวบปีของเขา

หู่จือในตอนที่เป็นเด็กเล็ก ๆ มีท่าทางกำยำน่าเอ็นดูเหมือนเสือจริง ๆ ดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง

หลินเซี่ยมองภาพด้วยสีหน้าอ่อนโยน ดวงตาของเธอพลันรื้นด้วยน้ำตา

แม่แท้ ๆ ของเขายอมทิ้งเด็กที่น่ารักถึงเพียงนี้ไปได้อย่างไร?

และเป็นลูกที่คลอดออกมาเองด้วย

เธอคิดหาเหตุผลของแม่แท้ ๆ ของหู่จืออยู่ในใจ

การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเอาตัวรอดไปพร้อมลูกนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แค่มองไปที่หวังซิ่วฟางก็พอจะเข้าใจ

เธอเสียสมาธิไปชั่วขณะ หญิงสาวปรับอารมณ์ของตัวเองแล้วเปิดดูรูปต่อไป

ต่อมา สิ่งที่สะดุดตาเธอคือภาพ ๆ หนึ่งซึ่งมีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งอุ้มหู่จือเอาไว้

ทว่า… เด็กหนุ่มคนนี้…

ทำไมคุ้นหน้าคุ้นตานักนะ?

เขาดูเหมือนโจวอี้เลย?

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เบาะแสชัดขนาดนี้เฉลยมาเถอะค่ะว่าเฉินเจียวั่งคือโจวอี้ เก็บงำไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

ไหหม่า(海馬)