บทที่ 151 ขึ้นม้า

บทที่ 151 ขึ้นม้า

ซูโย่วอี๋ตามพี่เลี้ยงมาจนถึงสนามขี่ม้า ตะวันสีแดงโผล่พ้นขอบฟ้าอันไกลโพ้น ชายร่างสูงใหญ่ยืนมือไพล่หลังอยู่ที่กลางสนามม้า

สายลมในยามเช้าพัดพา ดูน่าเกรงขาม

พี่เลี้ยงไม่ได้เดินเข้าไปด้วย “คุณชาย นี่คือสถานที่ที่ท่านแม่ทัพเชิญท่านมาเรียนขี่ม้าและยิงธนูกับท่านอาจารย์โดยเฉพาะ ท่านต้องตั้งใจเรียนให้ดี อย่าทำให้ท่านแม่ทัพต้องผิดหวัง”

ซูโย่วอี๋พยักหน้า และเดินไปทางผู้ชายคนนั้น

ในนิยายบรรยายเอาไว้ว่าฮั่วเสวียนไม่ได้รู้สึกอะไรกับอาจารย์ท่านนี้ แต่รอจนได้พบหน้ากันจึงรู้ว่าอาจารย์ผู้นี้คือผู้ช่วยที่เก่งกาจมากที่สุดของท่านพ่อ!

เธอไม่กล้าใจร้อนอีกแล้ว

เมื่อได้ยินเสียงไป่หลี่หันตัวกลับมามองเด็กตัวเล็กที่กำลังเดินมาทางเขา พร้อมกับกล่าวทักทาย “คุณชาย”

ซูโย่วอี๋แกล้งทำเป็นตกใจ “ท่านไป่หลี่ ทำไมถึงเป็นท่านเล่า?”

ไป่หลี่มีท่าทางจริงจัง “ท่านแม่ทัพสั่งการให้ข้ามาสอนท่าน”

“เช่นนั้นท่านไม่ต้องตามท่านพ่อไปออกรบรึ?”

ไป่หลี่พยักหน้า “งานของข้าน้อยในตอนนี้คือการสอนงานทั้งหมดให้กับคุณชาย”

ซูโย่วอี๋รู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาในตัวของเขา ในใจรู้สึกทนแทบไม่ไหว

ไป่หลี่ใช้ทักษะทั้งหมดที่มีสอนเด็กน้อยอย่างเธอ ช่างไม่สมกับความสามารถของเขาเลยจริง ๆ!

แต่ตอนนี้ฮั่วเสวียนยังเด็กอยู่ ไม่เข้าใจถึงเรื่องแบบนี้หรอก และยังคิดว่านี่เป็นเพราะท่านพ่อต้องการดูความสามารถของตนด้วย

ซูโย่วอี๋ดีใจมาก คุกเข่าลงทำความเคารพ “ศิษย์ขอเคารพท่านอาจารย์”

ไป่หลี่รับการเคารพอย่างเงียบ ๆ “ลุกขึ้นเถิด ในเมื่อท่านเคารพอาจารย์แล้ว ข้าก็คืออาจารย์ของท่าน ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจะไม่ทำเหมือนว่าท่านคือคุณชาย และจะไม่ให้สิทธิพิเศษอะไรกับท่าน ท่านเข้าใจหรือไม่?”

“ขอรับ” น้ำเสียงชัดเจน ไม่มีท่าทีของการเป็นคุณชายแห่งตระกูลใหญ่อยู่เลย

ไป่หลี่รู้สึกพึงพอใจ “ลุกขึ้น ลองยืนแยกขาท่าหม่าปู้*[1]สักหนึ่งชั่วยาม*[2]”

ซูโย่วอี๋ลังเลอยู่พักหนึ่ง “ท่านอาจารย์ วันนี้ไม่ได้มาเรียนขี่ม้ารึ?”

เธออ่านเรื่องราวมาก่อนแล้ว ในตอนนี้คือการสอนขี่ม้าเธอถึงได้เลือกเข้ามา!

ไป่หลี่ขมวดคิ้ว “ข้ามีแผนการของข้า เจ้าแค่ทำตามก็พอ ไม่ต้องถาม”

ซูโย่วอี๋เดินออกไป แยกขาออกเท่ากับขนาดหัวไหล่ ยกสองมือขึ้น

ไม่ถึงสองวินาที เสียงของไป่หลี่ดังขึ้น “นี่ท่ายืนหม่าปู้แบบใดของเจ้ากัน?”

ไป่หลี่ประหลาดใจกับทักษะพื้นฐานของลูกศิษย์ตัวเอง ฮั่วเสวียนเรียนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่น่าจะยืนออกมาเป็นท่าทางแบบนี้ได้

เขาหยิบแท่งไม้ขึ้นมา และตีลงไปที่หลังอย่างไร้ความปรานี

“ยืดตัวขึ้น!”

ซูโย่วอี๋เด้งตัวตามปฏิกิริยาการตอบสนอง การตอบโต้แบบนี้ทำให้เธออายเล็กน้อย เมื่ออาจารย์เห็นเหตุการณ์อันไม่คาดฝัน จึงพูดอธิบายขึ้นอย่างเขินอาย “ข้าแค่ตกใจ”

“ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก”

ซูโย่วอี๋กลับเข้าสู่ท่าหม่าปู้อีกครั้ง ไป่หลี่ช่วยจัดท่าทางให้เธออย่างใจเย็น “อดทนตั้งท่าไว้”

ซูโย่วอี๋ก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ในการฝึกทหารสมัยใหม่ แต่ท้ายที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว

ขาทั้งสองข้างสั่นไหว

เหงื่อไหลท่วมไปทั้งตัว

เธอมองไปยังไป่หลี่อย่าอ้อนวอน หวังว่าท่านอาจารย์ผู้นี้จะใจอ่อนและให้เธอหยุดทำท่าหม่าปู้นี้ก่อนเวลา

แต่ท่านอาจารย์ผู้นี้ใจแข็งอย่างเห็นได้ชัด และไม่สามารถชักจูงได้ง่าย ๆ

และในตอนที่ซูโย่วอี๋ทนไม่ไหวจนเกือบจะล้มลงไปนั้น ไป่หลี่เปิดปากพูดขึ้น “ครบเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว พักหนึ่งเค่อ*[3]”

เธอมองไปยังท้องฟ้าสีคราม พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ชีวิตของคนในสมัยก่อนช่างยากลำบากจริง ๆ

โดยเฉพาะคนโบราณที่ต้องเป็นผู้นำทหาร

มีเสียงคนพูดทฤษฎีหนึ่งขึ้น “ประโยคนั้นว่าอย่างไรกัน ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ไม่แปลกที่จะเป็นบุตรชายของท่านแม่ทัพฮั่ว”

“เพิ่งหกขวบก็สามารถยืนท่าหม่าปู้ได้ถึงหนึ่งชั่วยาม ดูท่าทางอ้อนแอ้นเช่นนั้นแต่กลับสามารถอดทนต่อความยากลำบากได้”

“นี่สิท่านแม่ทัพในวันข้างหน้า!”

ซูโย่วอี๋เม้มริมฝีปากตัวเอง สันนิษฐานได้เลยว่าฮั่วเสวียนเติบโตภายใต้สายตาของผู้คนนับหมื่นที่จ้องมองเขาอยู่ แน่นอนว่าคงจะต้องพบกับความกดดันและความยากลำบากในแบบที่ผู้อื่นไม่เคยได้รู้เลย

จู่ ๆ ก็มีเสียงเกือกม้าดังขึ้น

เมื่อมองไปก็พบกับม้าตัวเล็กสีแดงเพลิง

เฟยอิง!

ไป่หลี่ลากมันจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าของซูโย่วอี๋ “คุณชาย นี่คือม้าเหงื่อโลหิตที่ท่านแม่ทัพเตรียมไว้ให้เจ้า เป็นม้าที่ล้ำค่า เจ้าตั้งชื่อให้มันสักชื่อเถิด”

ซูโย่วอี๋ยิ้มขึ้น เธอเอื้อมมือลูบหน้ามันเบา ๆ และไล่ไปถึงที่หู “รูปร่างของเจ้าเพรียวบางและสง่างามแต่ก็แข็งแกร่ง ข้าเรียกเจ้าว่าเฟยอิงดีหรือไม่?”

ลูกม้ากะพริบตาราวกับว่ามันเข้าใจ

ให้ทั้งสองได้อยู่ใช้เวลาพัฒนาความสัมพันธ์สักระยะ ไป่หลี่พูดขึ้น “วันนี้ข้าจะสอนเจ้าขึ้นม้า ดูให้ดี”

ผู้ดูแลม้าลากม้าอีกตัวเข้ามา และไป่หลี่ดึงม้าไปด้านหน้า เท้าขวาเหยียบโกลน ยกตัวขึ้นและนั่งคร่อมไปบนหลังม้า ทุกขั้นตอนมือของไป่หลี่ไพล่กันไว้ด้านหลัง

มีเพียงส่วนของร่างกายที่กำลังทำงานอยู่!

ดวงตาของซูโย่วอี๋ลุกวาวและปรบมือขึ้นอย่างตื่นเต้น “ท่านอาจารย์สง่างามมากขอรับ”

ไป่หลี่นั่งอย่างสง่าอยู่บนหลังม้า “เจ้าลองดู”

เอ่อ

นี่จะไม่ให้เวลาสักหน่อยเลยเหรอ?

เพิ่งดูไปแค่ครั้งเดียวก็ต้องมาทำท่าทางยากเย็นแบบนี้เลยหรือไง?

ซูโย่วอี๋มองไปยังม้าตัวเล็กตรงหน้าซึ่งก็คือเฟยอิงด้วยความมั่นใจ

เธอเลียนแบบท่าทางตามท่านอาจารย์ โดยการก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และตอนที่เธอเตรียมก้าวที่สามเพื่อจะขึ้นไปบนม้านั้น ม้ากลับวิ่งออกไปแล้ว

วิ่งไปแล้ว…

เท้าของเธอที่เหยียบพลาดไปในอากาศ จึงล้มลงกับพื้นอย่างแรง

ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น

แต่ใบหน้าของไป่หลี่กลับนิ่งเฉย และดึงบังเหียนก้าวออกไปสองก้าว “เจ้าใจร้อนมากเกินไป”

หืม

ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าท่านสั่งให้เธอขึ้นม้าเหรอ?

“คุณชาย เจ้าและเฟยอิงเพิ่งพบหน้ากับครั้งแรก ยังไม่เคยมีสถานการณ์ที่สร้างความเชื่อใจต่อกัน อย่าได้รีบร้อนทำท่าทีโจมตีลูกม้าเช่นนั้น”

“เจ้าควรจะทำตัวดี ๆ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป”

นี่มัน

ท่านก็ไม่รีบบอกก่อนล่ะ?

เมื่อครู่ไป่หลี่เพียงอยากจะแสดงท่าทางการขึ้นม้าอันสง่างามให้ดู หลังจากหมุนตัวลงจากม้ามาแล้ว เขาค่อย ๆ แสดงท่าทางเริ่มต้นอย่างช้า ๆ ให้ฮั่วเสวียนดู

“เจ้าพอจะทำได้หรือไม่?”

ซูโย่วอี๋ตบ ๆ ที่ก้นของเธอก่อนจะลุกขึ้นยืน “ข้าจะลองดู”

ครั้งแล้วครั้งเล่า

ซูโย่วอี๋เรียนรู้ท่าขึ้นม้าที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว จนไป่หลี่ให้เธอฝึกซ้อมด้วยตัวคนเดียว

ระหว่างนั้นก็หาน้ำและอาหารมาให้ แต่ซูโย่วอี๋ปฏิเสธที่จะกิน เธอรอจนสามารถขึ้นม้าได้ หลังจากฝึกซ้อมจนเสร็จในคราวเดียว ความเย่อหยิ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้พลุ่งพล่านขึ้นในใจของเธอ

แม้ว่าจะแย่กว่าท่าทางสง่างามในการขึ้นม้าโดยไม่ใช้มือของท่านอาจารย์ แต่คนโบราณก็ยังเก่งด้านศิลปะการต่อสู้

แต่เธอก็ไม่เก่งอะไรเลย

ซูโย่วอี๋ดึงแถบเวลาไปมา เล่นเฉพาะส่วนของการฝึกซ้อมขี่ม้าเท่านั้น หลังจากรู้สึกว่าไม่มีปัญหาด้านการขี่ม้าแล้ว เธอถึงได้ยุติการสวมบทบาทในเนื้อเรื่องตอนที่เจ็ดลง

หลังตรวจสอบดูคะแนนที่ระบบ มีทั้งคะแนนที่ถูกตัดและถูกเพิ่ม ดูรวม ๆ แล้วก็ถือว่าการสวมบทบาทค่อนข้างประสบความสำเร็จ

เธออยู่ในเกมประมาณห้าชั่วโมงแล้ว แต่ในชีวิตจริงเพิ่งผ่านไปแค่ประมาณยี่สิบนาที และตอนนี้เพิ่งเก้าโมง

“เจ้าจิ้งจอกเน่า หลายวันนี้ฉันจะอยู่แต่ในเกมและไม่ออกมาสักพัก ถ้าฉันลืมเวลา นายจะต้องเตือนให้ฉันออกมาจากเกมก่อนวันแคสต์หนึ่งวันนะ”

ตอนนี้ห่างจากวันแคสต์อีกแค่ห้าวัน หากจะนำตอนทั้งหมดมาลองสวมบทบาทดู เธอจะต้องอยู่ในเกมถึงสี่เดือน!

จะทำยังไงให้ได้เรียนรู้อะไรออกมาได้ดีบ้าง!

สุนัขจิ้งจอกพยักหน้า [ตกลง]

หลังจากพักผ่อนไปสักครู่ ซูโย่วอี๋ก็กลับเข้าไปสวมบทบาทในเกมอีกครั้ง ครั้งนี้เธอเลือกรายการฝึกซ้อมยิงธนู

แต่ท่านอาจารย์ยังคงให้เธอยืนท่าหม่าปู้อีกหนึ่งชั่วยาม

ซูโย่วอี๋ยังคิดอยู่ว่าครั้งหน้าจะข้ามตอนฝึกยืนท่าหม่าปู้ไปเลยดีหรือไม่ แต่ไป่หลี่พูดขึ้น “เจ้ากำลังคิดว่าเหตุใดต้องยืนท่าหม่าปู้ทุกวันใช่หรือไม่?”

[1] ท่าหม่าปู้ เป็นการยืนแยกขาออกและย่อตัวลงคล้ายการนั่งยอง ๆ ในอากาศ โดยลำตัวตั้งตรงไม่เคลื่อนไหว

[2] 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง

[3] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที