บทที่ 152 หัวใจ

บทที่ 152 หัวใจ

“ศิษย์ไม่รู้ เชิญท่านอาจารย์ให้ความกระจ่างด้วยเถิด”

ไป่หลี่ยืนเอามือไพล่หลัง “ไม่ว่าศิลปะการต่อสู้ใดล้วนสร้างมาจากทักษะขั้นพื้นฐาน ยืนท่าหม่าปู้ได้ดีไม่ได้แสดงว่าศิลปะการต่อสู้ของเจ้านั้นสูงส่ง แต่การยืนท่าหม่าปู้ได้ไม่ดี แสดงให้เห็นว่าศิลปะการต่อสู้ของเจ้ามีจุดอ่อนอย่างแน่นอน”

“หากอยู่ในสงคราม จุดอ่อนนี้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของเจ้าเอง”

ซูโย่วอี๋นึกถึงคำพูดหนึ่งในยุคสมัยปัจจุบัน หากรากฐานไม่มั่นคง แผ่นดินก็จะสะเทือนและส่งผลให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่

ต่างกันก็แต่ความหมาย

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านอาจารย์”

ไป่หลี่ส่ายหัว “ไม่ เจ้ายังไม่เข้าใจ”

“เจ้าไม่เคยประสบพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ด้วยตัวเองมาก่อน จึงไม่มีวันเข้าใจได้ ก่อนที่จะยิงธนู เจ้าควรจะต้องเข้าใจถึงความสำคัญของทักษะพื้นฐานให้ได้เสียก่อน”

ไป่หลี่กวักมือเรียก ทหารกว่าสิบคนวิ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงและตะโกนด้วยความเคารพ “ขอรับ”

“วันนี้ผู้ใดสามารถทำให้ข้าล้มลงได้โดยไม่ใช้มือช่วย ตอนเที่ยงจะได้กินซาลาเปาเพิ่มอีกสองชิ้น”

เหล่าทหารต่างพากันมองหน้ากันไปมา พร้อมลงมือ

ไป่หลี่ยิ้มขึ้น ไม่รู้ว่ายิ้มเยาะเย้ยพวกเขาหรือว่าเพราะอะไรกันแน่ “เข้ามาพร้อมกันเลย”

เหล่าทหารยังคงลังเล “ท่านไป่หลี่ ให้พวกข้าเข้าไปที่ละคนน่าจะดีกว่า?”

“ทีละคน?”

ไป่หลี่พูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “เช่นนั้นพวกเจ้าคงไม่มีโอกาสที่จะชนะข้าได้”

เหล่าทหารเริ่มกระหายเลือด ได้ยินเช่นนั้นยิ่งอยากจะเอาชนะ “เช่นนั้นข้าน้อยก็ต้องทำให้ท่านขุ่นเคืองใจแล้ว”

เหล่าทหารรวมตัวกัน

ซูโย่วอี๋ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เธอเห็นเพียงไป่หลี่ดูสงบนิ่ง พลางก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทันเลยว่าเขาทำได้อย่างไร เขาหลีกเลี่ยงจากการโจมตีของเหล่าทหารได้อย่างสบาย ๆ

หลังจากนั้น ไป่หลี่ก็ยกขาขึ้น!

ขาที่พาดผ่านไปทำให้ทหารหนึ่งคนล้มลง

ทันใดนั้นเกิดเสียงคร่ำครวญ

ไป่หลี่เงยหน้าจากเหล่าทหารและมองไปยังเธอ “คุณชาย เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”

ซูโย่วอี๋ตื่นตกใจกับภาพตรงหน้านี้เป็นอย่างมากจนพูดอะไรไม่ออก อยากพูดเพียงแค่ว่า

ท่านอาจารย์โคตรเท่!

เธอทำท่าหม่าปู้ได้อย่างไร้ที่ติ

ติ๊ง!

[ยินดีกับซู่จู่ มีการเติบโตทางอารมณ์ไปพร้อมกับตัวละคร เพิ่ม 3 คะแนน]

การแสดงของเธอเริ่มเข้าใกล้บทบาทของตัวละครมากขึ้นแล้วใช่มั้ย?

หึหึ

ตามระยะเวลาในหนังสือ ฮั่วเสวียนฝึกซ้อมกับท่านอาจารย์เป็นเวลาหนึ่งเดือน เป็นครั้งแรกที่ไป่หลี่เริ่มตอบกลับข้อสงสัยให้เธอ

หลังจากไป่หลี่ตั้งใจเฝ้าดูฮั่วเสวียน และรู้สึกว่าเด็กชายคนนี้มีจิตใจบริสุทธิ์ ร่างกายแข็งแรงตามปกติ จึงคิดอยากสอนเขาจริง ๆ ขึ้นมา

เมื่อมองไปยังสายตาแน่วแน่ของซูโย่วอี๋ ไป่หลี่พยักหน้าอย่างพอใจ

เด็กคนนี้ใช้ได้

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ซูโย่วอี๋ตามไป่หลี่ไปยังลานยิงธนู โต๊ะในลานยิงธนูมีคันธนูและหน้าไม้สองตัววางอยู่ คันหนึ่งใหญ่อีกคันหนึ่งเล็ก

ไป่หลี่หยิบคันธนูอันเล็กโยนให้เธอ “ลองค้นหาความรู้สึกของเจ้า”

พอรับคันธนูมาซูโย่วอี๋ถึงกับต้องถอยไปสองก้าว

ถึงคันธนูนี้จะดูเล็ก แต่ก็หนักมาก!

ยังดีที่หนักในระดับที่ซูโย่วอี๋พอจะยกได้ไหว

เธอเริ่มดึงสายธนู ดึงไปได้เพียงครึ่งหนึ่งก็ไม่สามารถดึงต่อไปได้ไหว

ในนิยายก็เขียนเอาไว้แบบนี้ ค่าของพลังงานที่ถูกตั้งเอาไว้ของซูโย่วอี๋ในตอนนี้ก็คือพลังของฮั่วเสวียน จึงดึงสายธนูคันนี้ไม่ไหว

สีหน้าของไป่หลี่จริงจัง “ออกแรงให้มากกว่านี้”

เขาไม่คิดว่าพลังของฮั่วเสวียนจะน้อยกว่าพลังของเด็กทั่ว ๆ ไป จึงทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

แต่มีเพียงซูโย่วอี๋ที่เข้าใจ ฮั่วเสวียนเป็นเด็กผู้หญิง

แน่นอนว่าพลังและแรงเทียบกับเด็กผู้ชายไม่ได้

ผ่านไปสักพัก ซูโย่วอี๋ก็วางคันธนูและลูกศรลงหลังจากแสดงพลังของตัวเอง

ไป่หลี่รีบเปลี่ยนแผนการฝึกซ้อมและชี้ไปยังกลุ่มทหารเกณฑ์ใหม่ด้านข้าง พวกเขากำลังยกหินอยู่ “ไปฝึกยกหินกับพวกเขา ดึงสายธนูได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นพวกเราค่อยมาเรียนยิงธนูกัน”

นางไม่มีทางเลือกเมื่อเป็นฮั่วเสวียน ทำได้เพียงยอมฝึกตามไป

แต่ซูโย่วอี๋นั้นแตกต่าง เธอสามารถลากแถบเวลาได้

หากลากแถบเวลาไปแล้ว แต่กำลังแขนไม่เพิ่มขึ้นล่ะ?

เธอยืนมองดูทหารที่ถูกเกณฑ์มาใหม่ยกหินขึ้นเพื่อฝึกใช้พลังข้อมือ พลังแขน และอื่น ๆ

ซูโย่วอี๋คิดไปมาและเลือกที่จะเดินเข้าไปหาพวกเขา

ตอนนี้เธอเป็นคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในกองทัพ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเธอ

เหล่าทหารเห็นเด็กอย่างเธอก็หยุดมือลง “ท่านแม่ทัพตัวน้อยมาแล้วหรือ?”

ซูโย่วอี๋ไม่พูดอะไร เดินไปหยิบหินอย่างเงียบ ๆ

ยกไม่ขึ้น…

ทหารคนหนึ่งวิ่งไปยังโกดังและหยิบหินที่มีน้ำหนักแตกต่างกันออกมา “ท่านแม่ทัพน้อย ท่านเด็กเกินไป ฝึกซ้อมของพวกข้ามิได้หรอก ลองใช้พวกนี้สิ”

ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้น รู้สึกว่าทหารคนนี้ดูคุ้นตาจัง “เจ้าชื่ออะไร?”

ทหารผู้นั้นยิ้มอย่างเขิน ๆ “ข้าชื่อชุยดาบเดียว”

?

ซูโย่วอี๋ไม่อยากจะเชื่อ เลยมองเขาอีกครั้ง มองสักพักก็ยิ้มขึ้น ใครจะไปคิดว่าหลังจากนี้ไปเขาจะกลายเป็นเทพสังหารที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยดาบเดียว

“ชุยดาบเดียว?”

“ขอรับ”

“เจ้าสอนข้าฝึกยกหินหน่อย”

“ข้าน้อยรับคำสั่ง”

ไป่หลี่ที่ยืนอยู่ไกล ๆ มองดูซูโย่วอี๋คลุกคลีอยู่กับเหล่าทหาร มุมปากค่อย ๆ ยกยิ้มขึ้น เด็กคนนี้เหมาะกับค่ายทหารจริง ๆ

แต่จู่ ๆ ก็มีคนถามขึ้นอย่างสงสัย “ท่านไป่หลี่ ท่านไม่สอนคุณชายด้วยตัวเองแล้วรึ?”

ไป่หลี่ไม่ได้พูดอะไร

พลังของชุยยดาบเดียวนั้นถือว่าไม่เลว ให้เขาสอนซูโย่วอี๋ในตอนนี้ก็ดีแล้ว

ซูโย่วอี๋ฝึกไปสักพักก็เริ่มหมดแรงลง ข้อผิดพลาดของเกมในตอนนี้มีผลกระทบในการใช้งานที่สำคัญมาก

ทุกครั้งที่เธอทนแถบพลังไม่ไหว เธอก็จะกดลงที่ฝ่ามือขวาเพื่อหยุดเกมชั่วคราวและกลับไปยังโหมดคอนโทรล เลือกคลิกที่การเพิ่มพลัง พอเพิ่มพลังแล้วก็กลับมายังเกมอีกครั้ง

แต่ในสายตาของชุยดาบเดียวและตัวละครอื่น ๆ ภายในเกม เธอพักผ่อนแค่ครู่เดียวเท่านั้น

ซูโย่วอี๋ใช้เวลาหามรุ่งหามค่ำจนเสร็จสิ้นภารกิจเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพในเกมอย่างรวดเร็ว และสามารถดึงสายธนูได้สำเร็จ!

ไป่หลี่เริ่มสอนเธอยิงธนูตามที่ตกลงกันเอาไว้

ตอนแรกเธอยิงพลาดเป้าจนนับไม่ถ้วน จนเธอเริ่มยิงเข้าเป้า และค่อย ๆ ยิงเข้าตรงกลางเป้าเรื่อย ๆ

มือของซูโย่วอี๋เกิดรอยแผลมากมาย

หลายครั้งที่หยิบคันธนูขึ้นมา ฝ่ามือก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด

ความเจ็บปวดนี้เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกถึงได้จริง ๆ ซูโย่วอี๋เกือบจะร้องไห้เสียแล้ว

แต่ทุกครั้งเธอจะทายาแค่เพียงเล็กน้อย พันผ้าก๊อซสองสามรอบแล้วไปฝึกต่อ

ด้านพี่เลี้ยงก็เป็นห่วงร่างกายของฮั่วเสวียนมาก แต่ทำได้เพียงยืนรออยู่ที่ข้างของลานยิงธนู เพื่อเปลี่ยนยาให้เธอ

ความพยายามของซูโย่วอี๋ทำให้ไป่หลี่รู้สึกประทับใจ

เขาถามอย่างอดไม่ได้ “คุณชาย เหตุใดเจ้าถึงต้องเพียรพยายามมากถึงเพียงนี้?”

ซูโย่วอี๋วางมือ คันธนู และลูกศรลง มันเหมือนกับมีดร้อน ๆ ที่ตัดเข้าไปในหัวใจ!

“เพราะว่าร่างกายของข้าแบกรับความรุ่งโรจน์ของตระกูลฮั่วเอาไว้ ข้าจะต้องทำให้ตระกูลฮั่วภูมิใจ”

ติ๊ง!

[ยินดีกับซู่จู่ มีการเติบโตทางอารมณ์ไปพร้อมกับตัวละคร เพิ่ม 10 คะแนน]

อ่าฮ่า

ซูโย่วอี๋ยกยิ้มขึ้น “ท่านอาจารย์ ข้ายิงเข้าเป้าแล้ว”

มีรอยยิ้มในดวงตาของไป่หลี่ “อืม”

เวลาหลายเดือนก็ได้ผ่านพ้นไป วันหนึ่งตอนที่ซูโย่วอี๋ขี่เฟยอิงขณะยิงธนูล่านกที่อยู่บนฟ้าได้สำเร็จ เธอก็ได้ยินเสียงที่หายไปนานของสุนัขจิ้งจอก

[ซู่จู่ คุณควรจบเกมได้แล้ว]

ซูโย่วอี๋หยุดนิ่ง ตอนนี้เธอหลงรักเมืองเล็ก ๆ ที่ชายแดนแห่งนี้ไปเสียแล้ว เธอชอบการที่ได้ฝึกฝนไปพร้อมกับท่านอาจารย์และเหล่าทหาร

การใช้ชีวิตในละครเรื่องนี้กับการใช้ชีวิตในรายการ 22 วันปั้นดาว นั้นแตกต่างกัน ข้างในนี้ต้องกระตือรือร้นมากกว่า แถมยังเรียบง่ายกว่ามาก!

เธอรีบดึงบังเหียนให้ม้าหยุดลงและมองออกไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย

พร้อมถอนหายใจและออกมาจากเกม

[เกมกำลังถูกบันทึก]

[ออกจากเกม]

ซูโย่วอี๋กลับมายังพื้นที่โฮโลแกรม เห็นสุนัขจิ้งจอกกำลังนอนอยู่ที่พื้น [อ่า ซู่จู่ ในที่สุดคุณก็ออกมาแล้ว หลายวันมานี้น่าเบื่อมากเลย]