บทที่ 145 พ่อลูกพบกัน

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 145 พ่อลูกพบกัน

รอมู่เซิ่งออกจากบริษัทเหวินเฟิงบรรดารปภ.ที่เคยขวางเขาไว้ต่างก็ยืนตรงหน้าเขาและขอร้อง “คุณมู่ เป็นเพราะพวกเรามีตาแต่หามีแววไม่ ได้โปรดท่านปล่อยพวกเราไปได้ไหม?”

“คุณมู่ พวกเราสำนึกผิดแล้ว ท่านเป็นคนใจกว้างคงไม่ถือสาคนต่ำต้อยอย่างพวกผม ปล่อยชีวิตที่ไร้ค่าของพวกเราได้ไหม?”

“ได้โปรด คุณมู่ พวกเราสำนึกผิดแล้ว”

รปภ.เหล่านั้นตกใจมากจนเกือบจะคุกเข่าคำนับมู่เซิ่ง

“อย่ากลัวไปเลย เวลาของฉันมีค่ามาก ไม่มีเวลามาเสียเวลากับพวกนาย อย่างไรก็ตาม ฉันไม่อยากให้มีครั้งต่อไป” มู่เซิงพูดเบาๆ แล้วเดินออกไป

“ครับๆๆ พวกเราจะไม่ทำผิดอีกแน่นอน!”

กลุ่มรปภ.ที่อยู่หน้าประตูรู้สึกขอบคุณอย่างท่วมท้น พวกเขาคิดไม่ถึงว่า มู่เซิ่งจะพูดง่ายขนาดนี้

ในเวลาเดียวกันนี้ พวกเขายังแอบเตือนในใจ ต่อไปจะไม่ดูถูกคนอื่นเด็ดขาด

มู่เซิ่งออกจากบริษัทเหวินเฟิง และมาถึงโรงพยาบาลเมืองเยียนจิง

ในเมืองเยียนจิงเป็นพื้นที่ที่มีราคาแพงมาก สามารถเปิดโรงพยาบาลภายในถนนวงแหวนที่สาม ต้องมีความสามารถที่แข็งแกร่ง รวมถึงหลิวเจี้ยนหัวที่เป็นหนึ่งในสี่ของหมอเทวดาในเยียนจิง ในอีกสามคน มีตำแหน่งเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลเมืองเยียนจิง

เข้าโรงพยาบาล

ไปที่ห้องผู้ป่วยหนักชั้นเจ็ด

ยืนอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย มือของมู่เซิ่งสั่นจนหยุดไม่ได้ ข้างในคือพ่อของเขาซึ่งเขาไม่ได้เจอมานานกว่า10ปี ยิ่งเข้าใกล้คนในครอบครัวก็ยิ่งกังวลใจ เป็นถึงเทพสงคราม ในเวลานี้ เกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ

เอี๊ยด

เมื่อเขาเปิดประตูออก ชายชราที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ราวกับมีใจตรงกัน คนป่วยก็ขยับหัว มองไปที่ประตู

หลังจากที่เห็นมู่เซิงแล้ว เดิมทีสายตาที่ว่างเปล่า ไม่มีชีวิตชีวา ทันใดนั้นแววตาก็เปล่งประกาย มือที่แก่ก็สั่นไหวจนต้องจับราวเตียงไว้ ต้องการใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง

มู่เซิ่งน้ำตาคลอเบ้า เดินไปข้างหน้า พยุงพ่อ “พ่อ ผมกลับมาแล้ว”

คำว่าพ่อ ทำให้ชายคนนั้นตัวสั่นสะท้าน ชายผู้แข็งแกร่งที่เลือดตกยางออกก็ไม่ยอมเสียน้ำตา เมื่อได้ยินคำนี้ ต้องอดทนกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าไว้

เขาอ้าปากกว้าง การเคลื่อนไหวช้าและในขณะที่จับมู่เซิ่ง และบีบฝ่ามือ ราวกับกลัวว่ามู่เซิงจะหายไปในทันใด และพูดอย่างตื่นเต้น “ลูกเอ๋ย ใช่ลูกจริงๆหรือ?

“ผมเอง” เสียงของมู่เซิ่งแหบพร่า ราวกับมีก้อนอะไรอยู่ในลำคอ

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เจอกันมานานกว่าสิบปี แต่ชั่วขณะที่เจอกัน พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ถึงสายเลือดเดียวกันที่กำลังไหลเวียนรอบตัว

มู่เซิ่งมองไปที่พ่อซึ่งแก่ชราและป่วยอยู่ตรงหน้า อยากจะพูด แต่กลับเก็บคำพูดทั้งหมดไว้ในใจ

ตระกูลมู่ในอดีต เนื่องจากพ่อหมดอำนาจ เขาจึงทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในห้องมืดๆ แม้แต่กรงสุนัขของตระกูลมู่ ก็ยังสะอาดกว่าที่ที่เขาอยู่

ในเวลานั้น ทุกคนในตระกูลมู่สามารถรังแกเขา แม้แต่คนรับใช้ของตระกูลมู่ ก็สามารถดูถูกเขาได้ ความอัปยศอดสูและความอยุติธรรมมากมาย เกิดขึ้นกับเขาในขณะที่อยู่ในตระกูลมู่

ต่อมา เมื่อพ่อของเขาต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ มู่จงหยุนและคนอื่นๆได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยม และข่มขู่มู่เฉินเทียน ดังนั้นมู่เฉินเทียนยินยอมส่งมู่เซิ่งไปที่อื่นดีกว่าการประนีประนอม

ในเวลานั้น มู่เซิ่งไม่เข้าใจ

แต่ตอนนี้ เขาเข้าใจแล้ว ถ้าไม่แข็งแกร่งพอ จะปกป้องคนที่ตัวเองรักได้อย่างไร?

หากพ่อของเขาไม่สู้ ไม่แย่งชิง เกรงว่าตัวเองคงจะต้องมีชีวิตอยู่ในห้องที่มืดมิดนั้นไปตลอดชีวิต ไม่สามารถมีอนาคตได้

ความขุ่นเคืองใจมาหลายสิบปีหายไปทันทีที่พวกเขาพบกัน

เมื่อมู่เซิ่งลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตารู้สึกพร่ามัว และน้ำตาไหล

“ลูกชายของฉันสูงขึ้นและหล่อขึ้นมาก”

มู่เฉินเทียนจับมือที่แข็งแกร่งของมู่เซิ่งไว้แน่น ยิ้มแหย่ๆและพูด เมื่อมองผ่านคอเสื้อเห็นรอยแผลที่หน้าอก หัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่ม

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เขาต้องผ่านความยากลำบากมามากเท่าไหร่ ถึงทำให้หน้าอกเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น?

ริ้วรอยสองเส้นที่กว้างสองนิ้ว เขาเห็นแล้วก็ยังตกใจ

“พ่อครับ ผมสบายดี หลายปีผ่านมาผมสบายดี” มู่เซิ่งพยักหน้า และคุกเข่าอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย

“เฮ้อ มู่เฉินเทียน เป็นลูกผู้ชายร้องไห้งอแงทำไม?”

“ฉันบอกให้คุณเซ็นชื่อ แต่คุณยังมัวชักช้าอยู่ทำไม ถ้าคุณตายแล้ว ฉันจะไปหาใครที่ไหนมาเซ็นล่ะ? รีบเซ็นซะ ยกเว้นยาของบริษัทเรา ทั่วตงหัว ไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้”

ในขณะนี้ ชายในชุดสูทสีดำ ในมือถือตู้เซฟ ยืนอยู่ที่ประตูและพูดอย่างเย็นชา

การตำหนิอย่างเย็นชานี้ ทำให้แก้มของมู่เฉินเทียนแดงระเรื่อ ชี้ไปที่ประตูและสาปแช่ง “พวกคุณไสหัวไปจากที่นี่ ฉันไม่ต้องการยาเน่าๆของคุณ!”

“ไม่ต้องการ?”

ชายคนนั้นพูดด้วยความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น “หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ถ้าไม่มียาของพวกเรา คุณคงตายไปนานแล้ว และตอนนี้คุณไม่ต้องการมันแล้ว? ฉันคิดว่าคุณคงกลัวว่าตัวเองจะมีอายุยืนยาวเกินไปมั้ง!”

“ฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นเจ็บป่วย ช่างไม่รู้จักละอายใจเลยเหรอ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เซิ่งขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืนและมองไปที่ชายชุดดำที่อยู่ข้างหลัง ตอนนี้ได้พบกับพ่อตัวเอง การปรากฏของชายที่อยู่ข้างหน้า ดูเสียงดังวุ่นวายเกินไป

ยิ่งไปกว่านั้นการกระทำและการพูดนี้ ในสายตาของมู่เซิ่ง เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า

“นายคือใคร?”

ชายในชุดดำสังเกตเห็นมู่เซิง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยาม และพูดต่อ “แม้ว่าพวกเราจะฉวยโอกาสใช้ประโยชน์ แล้วไงล่ะ?ยาชนิดนี้ นอกจากหมอเทวดาฉิน ของพวกเรา ไม่มีใครสามารถกลั่นออกมาได้! ถ้าไม่อยากตาย ก็แค่เซ็นข้อตกลงนี้อย่างเชื่อฟัง!”

“จริงสิ ขอบอกล่วงหน้าก่อนว่านี่คือข้อตกลงของขวัญฟรี คุณเข้าใช่ไหม? มันหมายถึงการไม่ให้เงินแม้แต่แดงเดียว ก็เอาบริษัทหลงเฉิงของมู่เฉินเทียนมอบให้กับพวกเรา”

ขณะพูด เขาก็ชี้ไปที่ยาเม็ดสีเทาที่อยู่ในตู้เซฟ ด้วยสีหน้าแห่งชัยชนะ

มีเหรอที่มู่เซิงจะดูไม่ออก นี่คือยาเม็ดที่ด้อยประสิทธิภาพ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหันหัวกลับไปและถาม “คุณพ่อ หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ได้กินยาที่ไร้ประโยชน์ชนิดนี้มาตลอดเหรอ?”

มู่เฉินเทียนไม่พูด สีหน้านิ่งเงียบ

เขารู้ว่ายาชนิดนี้กินแล้วก็ไม่มีผลประโยชน์มากนัก เขาไม่ใช่คนที่กลัวตาย แต่กลัวว่าก่อนตายจะไม่ได้เห็นหน้ามู่เซิ่ง

“เฮ้ย ยาด้อยประสิทธิภาพเหรอ? เจ้าหนุ่ม นายรู้ไหมว่านายกำลังพูดถึงอะไร?”

ชายในชุดดำยิ้ม ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “คนอย่างนาย ทางที่ดีควรอยู่เฉยๆ! ถ้าทำให้เม็ดยาเสียหาย ทั้งชีวิตของนายก็ไม่สามารถชดใช้ได้!”

เพี๊ยะ!

หลังจากพูดจบ ใบหน้าชายชุดดำ ก็มีเสียงตบที่เสียงดังฟังชัด

ความเร็วนั้นเร็วมาก จนไม่มีใครในห้องผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ว่าลงมือเมื่อไหร่

ชายในชุดดำเซไปสองก้าวและล้มลงกับพื้น ในขณะนี้ เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้า!

“แม่งเอ้ย แกกล้าตบฉันเหรอ? ฉันเป็นหลานชายของหมอเทวดาฉิน หากไม่มียาของปู่ มู่เฉินเทียนคงตายไปนานแล้ว! เชื่อหรือไม่จากนี้ไป ฉันจะบอกให้ปู่หยุดจัดยามาให้!”

ฉินหลินดุด่าอย่างโกรธเกรี้ยว

ปู่ของเขาเป็นหัวหน้าของสี่หมอเทวดา ทั่ววงการนี้ แม้แต่ตระกูลชั้นนำยังต้องเคารพเขา ใครจะกล้าทุบตีเขา?

“ชื่อของหมอเทวดานั้นทรงพลังมากหรือ? ขอเพียงฉันต้องการ ฉันสามารถทำให้เขาไม่เหลืออะไรเลย”

มู่เซิ่งฉีกยิ้ม ยิ้มอย่างสดใสร่าเริง

ฉินหลินตัวแข็งอยู่กับที่ รู้สึกร่างกายเย็นชา