บทที่ 165 ทุกวันนี้สตรีทั้งหลายชอบธารน้ำแข็ง
ไป๋จือเยี่ยนมุมปากกระตุกยิก “เช่นนั้น… ก็อาจเป็นไปได้ว่านางเป็นยายแก่ที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปีแล้วน่ะสิ?”
โหลวจวินเหยาเหลือบตามองอีกฝ่าย “เจ้าเองอายุมากกว่าสองร้อยปี ยังกล้าเรียกคนอื่นว่าเป็นยายแก่อีกหรือ?”
ไป๋จือเยี่ยนได้ยินก็ระเบิดทันที “เจ้าเรียกข้าว่าคนแก่อายุกว่าสองร้อยปีหรือ? เจ้าเองก็อายุมากกว่าสองร้อยปีไม่ใช่หรือไร?!”
โหลวจวินเหยาเดาะลิ้นราวกับเยาะอีกฝ่าย สายตาของเขาทำให้ไป๋จือเยี่ยนโกรธอยู่ในใจ
——————————
ณ สถานที่ที่ห่างไกลที่สุดในแดนเมฆาสวรรค์ ภายในค่ายหลักของเผ่าหมานซึ่งเป็นเผ่าคนเถื่อน ตอนนี้กำลังอยู่ในยามราตรีเงียบสงัด เป็นเวลาที่คนกำลังหลับฝันหวาน เสียงร่ำไห้น่าขวัญผวาพลันดังขึ้นมาจากกระโจมแห่งหนึ่ง
กระโจมทั้งหมดในค่ายสว่างไสวด้วยแสงไฟทันที บางคนกระทั่งรีบใส่เสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ “เกิดอะไรขึ้น?” มีศัตรูบุกรุกหรือไม่?”
“คนนอกจะเข้ามาในเขตคนเถื่อนได้อย่างไรกัน? พวกเขาผ่านทะเลทรายข้างนอกนั่นมาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“แล้วมันจะเป็นอะไรไปอีกเล่า? ไปดูกันเลยเถอะ”
ในกระโจมที่เป็นที่มาของเสียงกรีดร้องนั้น เด็กสาวตัวจ้อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักกำลังกุมมือชายชราไว้แน่น สีหน้าอ้อนวอนขอร้องแต่ก็เกรงกลัวนัก “ท่านปู่… ท่านปู่… ท่านอย่าสังหารนางเลย นางไม่ใช่คนเลวนะเจ้าคะ”
ใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อเห็นเด็กสาวตัวน้อยพยายามเว้าวอนเสียขนาดนี้ยิ่งทำให้เขาโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม “อาเยว่ เหตุใดเจ้าจึงโง่เขลานัก? เจ้ากำลังละเมิดกฎเผ่า! เจ้ารู้บ้างหรือไม่!?”
สายตาชายชราคมดั่งใบมีด มันตวัดจ้องไปยังสตรีที่กำลังเอนร่างนอนอยู่บนเตียง นัยน์ตายิ่งฉายแววสังหารมากขึ้น “ข้าทำได้เพียงสังหารนางเสียแล้วค่อยไปขออภัยกับหัวหน้าเผ่า!”
อาเยว่เป็นกังวลจนน้ำตาจะร่วงอยู่รอมร่อ ยังร้องขอต่อไม่หยุด “ท่านปู่แสร้งทำเป็นไม่เห็นได้หรือไม่? นี่ก็ผ่านมานานมากแล้ว ท่านเองก็ไม่รู้มาตลอดไม่ใช่หรือ? ข้าซ่อนนางไว้เป็นอย่างดี คนอื่น ๆ ไม่มีทางรู้ได้หรอก!”
ชายชราพลันคำรามด้วยความโกรธ “สตรีนางนั้นร่ายอาคมอะไรใส่เจ้า เจ้าถึงได้ปกป้องนางเช่นนี้? อย่าคิดว่าเอาคนนอกเข้าเผ่ามาแล้วจะรอดตัวไปได้ เจ้าไม่เพียงจะต้องถูกลงโทษหนัก แต่ปู่ของเจ้ายังจะต้องโทษไปด้วย! รอข้าสังหารนางทิ้งเสียก่อนแล้วข้าจะกลับมาสั่งสอนเด็กโอหังอย่างเจ้าสักที!”
พูดจบ เขาก็ผลักอาเยว่ตัวน้อยออกไปอย่างแรง ด้วยความโกรธ เขาจึงไม่อาจคุมแรงตนได้ ร่างของเด็กน้อยกระเด็นไปกระแทกเสาเหล็กที่ยึดกระโจมไว้ตรงกลางทันที
ด้วยแรงเหวี่ยงรุนแรงพร้อมกับความเร็วของร่างน้อยที่กระเด็นไปเช่นนั้น หากกระแทกเสาเหล็กเขาคงศีรษะแยกเป็นแน่
เขาพลันได้ยินเสียงร้องหวาดกลัวของเด็กน้อย ก่อนที่นัยน์ตาชายชราจะเบิกกว้าง ”อาเยว่!”
พริบตานั้น หญิงสาวที่นอนนิ่งไม่ส่งเสียงอยู่ตลอดพลันตาส่องแสงเรืองวาบ นางยกนิ้วเรียวขึ้น เส้นสีทองพลันพุ่งออกมารัดเอวเด็กหญิงไว้แล้วดึงกลับมาได้อย่างปลอดภัย
ในชั่วพริบตานั้น ศีรษะของเด็กน้อยอยู่ห่างจากเสาเหล็กไปไม่ถึงหนึ่งข้อนิ้ว
ต้องมีพลังบำเพ็ญล้ำลึกถึงเพียงไหนจึงจะสามารถควบคุมพลังได้รวดเร็วและแม่นยำถึงเพียงนี้ได้?
ชายชราหันไปมองตาหญิงสาว จากนั้นก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง เขาก็ชะงักไปชั่วขณะ
เพราะนางสวยมากจนไม่อยากเชื่อสายตาตน
ในเวลาหลายร้อยปีที่ชนเผ่าหมานถือกำเนิดขึ้นมา พวกเขาก็ไม่เคยพบเห็นใครที่มีหน้าตาดั่งเทพเซียนมาก่อนเป็นตัวตนสูงส่งที่พวกมนุษย์เดินดินธรรมดาต้องนับถือบูชา ไม่อาจลบหลู่ล่วงเกินได้
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ชายชราไม่สนใจว่านางจะเคยเป็นใครมาก่อน แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวและกลิ่นอายไม่ธรรมดาที่แผ่ออกจากร่างนางแล้ว เขาก็รู้ได้ว่านางเป็นตัวตนที่ไม่อาจล่วงเกินได้
แต่นางเป็นคนที่หลานสาวเขาเป็นคนพาเข้ามา ดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้
อาเยว่ที่เพิ่งรอดมาได้อย่างหวุดหวิดพลันเอ่ยเสียงอ่อนแรง “ท่านปู่ นางสูญเสียความทรงจำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นใคร อีกทั้งวิญญาณนางยังไม่สมบูรณ์และเปราะบางมาก ดังนั้นสภาพร่างนางจึงผันผวน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย”
“วิญญาณไม่สมบูรณ์หรือ?” ดวงตาของชายชราเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “หรือนางอาจเป็นคนที่ถูกขุมอำนาจอื่นไล่ล่ามาหรือ? เจ้านี่นำตัวหายนะมาให้จริง ๆ!”
อาเยว่เม้มปากแน่น หน้าตาดูเสียใจ “นางไม่ใช่ตัวหายนะเลย ครั้งแรกที่ข้าเห็นนางก็รู้สึกสนิทใจด้วย ข้าชอบนางมาก นางอาจเกี่ยวพันกับชนเผ่าหมานด้วยซ้ำ!”
คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่นางพูดออกมาโดยไม่คิด อาเยว่นั้นถึงจะร่างกายอ่อนแอ วิทยายุทธ์ย่ำแย่ แต่ก็มีวิชาแพทย์ที่เก่งกาจมากที่สุดคนหนึ่งในเผ่า
นอกจากเรื่องวิชาแพทย์แล้ว นางยังมีความสามารถที่มีมาแต่กำเนิด นั่นคือสัญชาตญาณที่แม่นยำอย่างเหลือเชื่อ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สัญชาตญาณแม่นยำของนางได้ช่วยชีวิตหัวหน้าเผ่าเอาไว้ได้
นางมีส่วนช่วยในชนเผ่าหมานอยู่มากจึงได้รับความเคารพไม่น้อย!
ดังนั้นเมื่อชายชราได้ยินคำพูดของหลานสาว แม้จะไม่เชื่อเต็มที่ แต่ก็คิดว่าคงจะมีความจริงอยู่บ้าง
หรือสตรีนางนี้จะเกี่ยวพันกับชนเผ่าหมานจริง ๆ?
แต่ก่อนที่เขาจะคิดอะไรได้มากกว่านั้น เสียงวิ่งจากด้านนอกก็ดังเข้าหู จากนั้นก็มีเสียงตะโกนมาจากไกล ๆ “ผู้เฒ่าฉี เกิดอะไรขึ้นหรือ? เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงอาเยว่น้อยกรี๊ด!”
ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนไปทันที แย่แล้ว กลายเป็นว่าดึงความสนใจจากทุกคนมาเสียอย่างนั้น เรื่องนี้คงยากจะปิดบังแล้ว
อาเยว่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ไม่รู้ว่านางหยิบสิ่งใดออกมาจากเอว จากนั้นนางก็ตบมันเข้ากับแขนเนียนของตนทันที เกิดรอยช้ำที่ม่วงเขียวสะดุดตาบนผิวขาวขึ้นมาทันที
ชายชรามองไปที่เด็กหญิงตัวน้อยด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไรเช่นกัน
จากนั้นเขาก็เห็นอาเยว่เดินออกจากกระโจมไปขอโทษทุกคนที่อยู่ด้านนอก “ข้าขอโทษที่ปลุกทุกคนขึ้นมา แต่ข้าเผลอเดินกระแทกโต๊ะเข้า มันเจ็บมากจนข้าหยุดร้องไม่ได้เลย”
เด็กสาวเผยให้เห็นแขนของเธอที่นางเอามือปิดไว้ เมื่อทุกคนก็เห็นรอยช้ำบนแขนขาวของนางก็เอ่ยเสียงเห็นใจออกมา
“หนูน้อย เจ้านี้เลินเล่อเสียจริง เดินละเมอไปกระแทกโต๊ะเช่นนั้นได้อย่างไร? เจ้ารีบเข้าไปทำแผลข้างในเสีย ส่วนพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะ จะได้กลับไปกระโจมตนเอง”
เมื่อเห็นว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรร้ายแรง พวกเขาจึงหาวหวอด ๆ แล้วกลับไปนอน
อาเยว่ถอนหายใจโล่งอกก่อนจะหันกลับไปด้านใน เมื่อเห็นใบหน้าหวาดกลัวของชายชรา นางก็แลบลิ้นพลางเอ่ย “ท่านปู่ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว!”
“ยัยหนูนี้” ชายชราเอ่ยพลางลูบหัวเด็กตัวน้อย ทั้งโกรธและอยากหัวเราะออกมาดัง ๆ พร้อมกัน
อาเยว่เงยหน้าภูมิใจนัก “ข้าบอกแล้วว่าพวกเขาไม่รู้หรอก ท่านปู่กังวลเกินไปแล้ว”
ชายชราส่ายหัวก่อนถอนหายใจ “แต่ก็ยังแก้ปัญหาทุกอย่างไม่ได้”
อาเยว่เลิกคิ้ว ปากขยับราวกับอยากเอ่ยคำ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยแผนการกล้าหาญในใจออกมา
เพราะนางรู้ว่าท่านปู่ไม่มีทางเห็นด้วยแน่
สตรีใบหน้างดงามหรี่ตาลงพลางฟังบทสนทนาของปู่กับหลานสาวเงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เสียงนุ่มนวลของนางก็ดังขึ้น “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ข้าไม่รั้งอยู่นานหรอกค่ะ”
อาเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็กังวลขึ้นมาทันที “วิญญาณของท่านยังไม่สมบูรณ์ อีกทั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นใคร ดังนั้นท่านจากไปเองไม่ได้หรอก ท่านรู้หรือไม่ว่าด้านนอกอันตรายขนาดไหน อีกทั้งท่านยังมีหน้าตางดงามเช่นนี้”
ชายชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “เจ้า… ฟื้นความจำได้แล้วค่อยจากไปก็ได้ ข้าจะถือเสียว่าวันนี้ข้าไม่ได้มาที่นี่”
ได้ยินเช่นนั้นอาเยว่ก็รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านปู่!”
ริมฝีปากของหญิงสาวโค้งขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม นางลดสายตาลงมองร่างกายของตนเองที่ดูมั่นคงมากขึ้นในเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอบคุณเจ้ามากที่เมตตาข้า แม้ว่าจะยังจำอดีตไม่ได้ แต่เรื่องความสามารถในการปกป้องตนเองนั้น… ข้าคิดว่าข้าน่าจะไม่เป็นอะไร อีกทั้งเศษวิญญาณของข้ากระจัดกระจายไปทั่ว ดังนั้นข้าจึงต้องออกตามหาเพื่อกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง”
“แต่ท่านจะหาเศษวิญญาณของท่านได้อย่างไรกัน?” อาเยว่ถามขึ้น ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางเป็นกังวลนัก
หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ นัยน์ตางามของนางอ่อนโยนขณะมองไปยังเด็กน้อย “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เพราะอะไรร่างวิญญาณที่แทบจะหายไปได้ทุกเมื่อยามเจ้าพบข้าคราแรก วันนี้กลับมีร่างเนื้อขึ้นมาได้?”
“ทำไมเล่า?”
“ก็อย่างที่เจ้าเห็น นี่คือร่างกายที่แท้จริงของข้า” หญิงสาวกล่าว
อาเยว่จ้องมองด้วยดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ปากเล็ก ๆ ของนางอ้าค้าง เสียงที่เอื้อนเอ่ยตะกุกตะกัก “ แต่ว่า… .. แต่ว่าตอนข้าพาท่านกลับมา ท่านอยู่ในร่างวิญญาณนะ!”
หญิงสาวพยักหน้าและหัวเราะ “ถูกต้อง! เจ้าเอาวิญญาณของข้ากลับมาเท่านั้น แต่หลังจากนั้นกายเนื้อของข้าก็มาหาข้าด้วยตัวของมันเอง”
“เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้ด้วยหรือ?” อาเยว่ทำหน้าราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องประหลาดลี้ลับ
นางยังเด็กนัก ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แต่ผู้เฒ่าฉีที่อยู่ดูโลกมานานกว่าร้อยปีนั้นรู้ดี ว่ากันว่าในสมัยโบราณยังมีพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถฟื้นคืนชีพคนได้อยู่ ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาจากกองเถ้าถ่าน
แม้ว่าจะถูกกระชากวิญญาณออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่หากยังหลงเหลือแก่นวิญญาณอยู่สักนิดก็จะสามารถฟื้นคืนชีพได้ และไม่ว่าร่างวิญญาณจะผ่านกาลเวลาจนเปลี่ยนไปมากเพียงไหน มันก็จะไม่มีวันสลายหายไป แต่จะกลับมารวมกันอีกครั้ง สร้างร่างเนื้อขึ้นมาใหม่ และฟื้นคืนชีวาในที่สุด
แต่นั่นเป็นพลังที่มีแต่ตัวตนอันยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณกาลก่อนเท่านั้นที่จะมีไว้ครอบครอง
สตรีคนนี้ อย่างมากก็ดูเหมือนมีอายุราวยี่สิบกว่าปี จะมีพลังแบบนั้นได้อย่างไรกัน?
เป็นไปไม่ได้เลย
หรือนางจะเป็น… ผู้เยี่ยมยุทธ์หาใครเทียมจากเมื่อครั้งโบราณกาลงั้นหรือ?
——————
ณ สำนักละอองหมอก
ตั้งแต่ที่ภาควิชาพิเศษมีอาจารย์คนใหม่เข้ามา วันเวลาก็ผ่านไปอย่างน่าสนใจมากขึ้น ทุกคนดูมีเรื่องอะไรให้ทำมากกว่าเดิม
พวกเขาได้เห็นว่าบุรุษผู้โดดเด่นทั้งสองคน พี่ใหญ่ที่แสนอ่อนโยนและชิงเยี่ยหลีที่เย็นชาไม่ใส่ใจใครพยายามปะทะถากถางกันตลอด เบาะแว้งกันอยู่เป็นเนืองนิจ สุดท้ายก็จบที่การใช้การต่อสู้ที่ไม่อาจมองเห็นปะทะกัน
อีกทั้งโฉมสะคราญแห่งสำนัก ที่ว่ากันว่าเป็นยอดสตรีอัจฉริยะแห่งชิงหลานผู้นั้นก็ยังมาที่ภาควิชาพิเศษด้วยเช่นกัน
ดูเหมือนนางจะดูสนิทสนมกับอาจารย์คนใหม่ของพวกเขาดี ยามนางมาถึง ทั้งสองคนก็จะออกไปหาที่สงบพูดคุยกันชั่วครู่ แม้ส่วนมากจะเป็นสาวงามที่เอื้อนเอ่ย ส่วนอาจารย์หน้าตาเย็นชาทำเพียงนั่งนิ่งสีหน้าเรียบเฉยก็ตาม
ซึ่งทำให้เขาดูเป็นคนไร้ความรู้สึกและเฉื่อยชาเสียเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าเหตุใดรสนิยมของหญิงสาวในปัจจุบันนี้จะประหลาดเช่นนี้ได้ หากเป็นคนปากหวาน เอาใจเก่ง อีกทั้งยังหลงใหลพวกนางมากละก็ พวกสตรีก็จะหาว่าเป็นคนเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า ไม่ใช่อย่างที่พวกนางชอบ หากพูดไม่เก่งก็จะบ่นว่าน่าเบื่อคร่ำครึ ไม่ใช่อย่างที่พวกนางชอบเช่นกัน
ดูแล้วพวกนางทุกคนจะชอบบุรุษประเภทที่เผยกลิ่นอายเย็นชา ท่าทีเหินห่างกับผู้คนเป็นพันลี้ เป็นธารน้ำแข็งที่คุยด้วยเพียงคำหนึ่งก็แช่แข็งทั้งร่างได้ หรือพวกนางจะชอบให้ถูกรังแกหรือ?
พูดขึ้นมาเช่นนี้ ชุดคลุมสีขาวพลิ้วไสวของหญิงสาวคนหนึ่งก็พลันปรากฏให้เห็นอยู่ไกล ๆ อีกครา
และเมื่อเห็นนางเดินตรงไปยังภาควิชาพิเศษ ทุกคนก็ร้อง “หึ” ออกมาพร้อมกับเดาะลิ้น ใบหน้าติดป้ายไม่สนใจ แต่ภายในกลับรู้สึกริษยา
ทำไมพวกเขาถึงไม่มีสาว ๆ มาหาบ้างเล่า?
ดูท่าเดี๋ยวนี้เขาจะนิยมเป็นอาจารย์กันกระมัง พวกศิษย์อย่างพวกเขาเสียเปรียบนัก ช่างเป็นชีวิตที่น่าเศร้าน่าเวทนาจริง ๆ!