ดวงตาคู่นั้นของอวี๋จือเปล่งประกาย สภาพจิตใจได้คล้อยตามคำพูดของเหยาเฉา ก่อนจะเงยหน้ากระดกสุราในจอกลงไปราวกับอดไม่ได้
ด้วยความที่เขาดื่มอย่างรีบร้อน จึงเกิดอาการสำลักไอจนลำคอแดงเถือก
เหยาซูรีบตักน้ำแกงส่งให้อวี๋จือทันที “ดื่มสุราไม่ได้ก็ต้องดื่มให้ช้าลง! พี่รองไม่สะทกสะท้านกับเรื่องพวกนี้หรอก รีบ ๆ กินข้าว ดื่มน้ำแกงเสีย จะได้ข่มฤทธิ์สุราในลำคอได้”
เมื่อสุราขาวกว่าครึ่งจอกไหลลงท้องไป ใบหน้าของอวี๋จือพลันแดงเถือกอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อฤทธิ์สุราอ่อนลง เขาจึงมองไปทางเหยาเฉาและหลินเหราพลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าคาดหวังว่า “พี่รองพูดจริงหรือ? อีกสองสามวันนี้จะเดินทางเข้าเมืองได้แล้วจริง ๆ งั้นหรือขอรับ?”
แผนการปราบโจรไม่สามารถเปิดเผยได้โดยง่าย แม้ว่าจะเป็นคนใกล้ชิด ก็ต้องเก็บเป็นความลับ
อวี๋จือเป็นคนเฉลียวฉลาด หลายวันนี้เขาเพียงใช้ชีวิตตามปกติไป แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา แต่กลับควบคุมข่มกลั้นไว้ไม่เคยเอ่ยถาม
เหยาเฉาปลอบโยนเขา “มีหนทางให้เจ้าเดินทางเข้าเมืองได้อย่างปลอดภัย ไม่พลาดช่วงฤดูใบไม้ผลิแน่นอน เจ้าวางใจได้”
หลินเหราเองก็พยักหน้า “พี่รองพูดถูก”
เมื่อได้ยินคำยืนยันจากทั้งสอง อวี๋จือก็คล้ายกับกินยาสงบจิตลงไป คิ้วที่เดิมทีขมวดแน่นพลันคลายออก เผยรอยยิ้มที่สบายใจเป็นครั้งแรกตลอดหลายวันที่ผ่านมา
แม้แต่อาจื้อก็คอยให้กำลังใจเขาอยู่ข้าง ๆ “ท่านอาอวี๋ ท่านแม่บอกว่าวิชาความรู้ของท่านยอดเยี่ยมที่สุด ฤดูใบไม้ผลิคราวนี้ท่านจะต้องสอบจอหงวนได้อย่างแน่นอน”
อวี๋จือลูบศีรษะของเด็กชายอย่างเบามือ พร้อมยิ้มและพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอให้เป็นดั่งคำอวยพรของเจ้า”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องการสอบ อวี๋จือก็นึกถึงจดหมายที่เขียนส่งไปให้ท่านปู่เมื่อสองสามวันก่อนขึ้นมาได้ จึงหันไปพูดกับเหยาซูและหลินเหรา “แม่นางเหยา พี่ใหญ่หลิน ข้าได้เขียนจดหมายส่งไปให้ท่านปู่ ชี้แจงถึงเรื่องราวของอาจื้อแล้ว คาดว่าในอีกสองสามวันนี้เขาน่าจะได้อ่านเนื้อหาในจดหมายฉบับนั้น แม้ว่าจะไม่ได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านปู่ แต่ข้าก็เชื่อว่าท่านปู่จะต้องชื่นชมอาจื้ออย่างแน่นอน”
เหยาเฉายังไม่รู้ถึงเรื่องการแนะนำให้อาจื้อไปร่ำเรียนหนังสือในสำนักศึกษาจิ้งหยาง เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ไม่ทราบว่าท่านปู่ของน้องอวี๋คือใคร?”
อวี๋จือรีบอธิบายให้เหยาเฉาทันที “ท่านปู่มีนามว่าอวี๋เพ่ย บัดนี้เป็นอาจารย์ใหญ่ในสำนักศึกษาจิ้งหยาง”
สำนักศึกษาจิ้งหยางเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในเมืองเจียงซู การสอบขุนนางทางตอนใต้ก็มักจะโดดเด่นกว่าทางตอนเหนือมาโดยตลอด เหยาเฉาได้ยินดังนั้น จึงทอดถอนใจ “มิทราบเลยจริง ๆ ว่าอวี๋จือจะเป็นหลานชายของอาจารย์ใหญ่อวี๋เสียได้! ต้องขออภัยที่เสียมารยาท ขออภัยด้วยจริง ๆ”
อวี๋จือรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “พี่รองเหยาเคยได้ยินชื่อของท่านปู่มาก่อนหรือ?”
เหยาเฉาถลึงตาใส่เหยาซู จากนั้นก็อธิบายว่า “ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว!อาซูหนออาซู แม้แต่ต้นกำเนิดของตระกูลอวี๋และตระกูลเหยาของเราก็ยังลืมเสียหมดเกลี้ยง!”
เหยาซูได้ยินดังนั้นก็รีบพูดอย่างจริงจังว่า “พี่รองพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
เหยาเฉาวางตะเกียบลง แสดงสีหน้าเคร่งขรึม และพูดกับทุกคนว่า “บรรพบุรุษตระกูลเหยาต่างก็เป็นขุนนาง แม้ว่าหลังจากนั้นรุ่นของท่านปู่จะเกษียณแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ท่านปู่ของข้าและอาซูกับท่านอาวุโสอวี๋ก็ยังคงเป็นสหายร่วมชั้นกันในวันวาน”
คำพูดเหล่านี้ฟังดูแล้วยากที่จะเชื่อ เหยาซูจึงอดพูดอย่างประหลาดใจไม่ได้ว่า “เหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้?”
เหยาเฉาส่ายหน้า และพูดกับเหยาซูว่า “บางทีอาจเป็นเพราะเจ้ายังอายุน้อยเกินไป เลยจำเรื่องราวไม่ได้… เมื่อครั้งท่านปู่ยังมีชีวิต ท่านกับท่านอาวุโสอวี๋เป็นสหายที่สนิทที่สุด แม้ว่าจะต้องกลับมาอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยา แต่ก็มักจะส่งจดหมายหากันอยู่บ่อยครั้ง ในตอนที่ท่านปู่จากโลกนี้ไป ตระกูลของเราตั้งใจส่งจดหมายไปหาตระกูลอวี๋โดยเฉพาะ จดหมายที่อาวุโสตอบกลับจนบัดนี้ก็ยังเก็บอยู่ในบ้านเลย”
เขาพูดกับอวี๋จืออีกว่า “ก่อนหน้านั้นอาซูก็เคยพูดถึงเจ้า ข้าแค่ไม่ใส่ใจเท่านั้น ต่อมาก็ได้ยินเจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนเจียงซู ทั้งยังเอ่ยถึงสำนักศึกษาจิ้งหยางด้วย จึงได้มั่นใจ”
อวี๋จือรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ “โลกใบนี้ช่างเล็กเกินไปยิ่งนัก เดินวนไปวนมา ท้ายที่สุดก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน”
เหยาซูจึงคลี่ยิ้ม “ใช่! นี่คือความมหัศจรรย์ของโชคชะตา หากท่านพ่อรู้ว่าเราจับผลัดจับผลูนำตัวหลานชายของท่านอาวุโสอวี๋กลับมาด้วย เกรงว่าคงจะเบิกบานใจอย่างมากทีเดียว!”
เดิมทีเป็นแค่อาหารค่ำมื้อหนึ่ง กลับกลายเป็นการเปิดฉากครอบครัวเสียอย่างนั้น แม้แต่หลินเหราที่ไม่สนใจใยดีสิ่งใดก็ยังทอดถอนใจ “เป็นเพราะอาซูนั้นใจดี จึงได้พาน้องอวี๋กลับมา ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโชคชะตาเหมือนอย่างวันนี้”
“พรวด” เหยาซูหลุดหัวเราะออกมา ดวงตาคู่งามค้อนใส่หลินเหราเบา ๆ “ทำไมกลายเป็นข้าใจดีได้เล่า? คนอย่างท่านนี่นะ หากชมไม่เป็นก็หุบปากไปเสียเถิด!”
นัยน์ตาเย็นยะเยือกของหลินเหราได้ฉายแววอบอุ่นออกมาในตอนที่มองไปทางเหยาซู เห็นได้ชัดว่าอ่อนโยนลงอย่างมาก “เช่นนั้นข้าไม่พูดก็ได้”
เด็ก ๆ ทั้งสองคนตกอยู่ในสถานการณ์งุนงง ไม่เข้าใจหัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปกะทันหันระหว่างพวกผู้ใหญ่ เพียงแต่ยังเข้าใจได้เลือนราง ดูเหมือนปู่ของท่านอาอวี๋และท่านตาทวดของพวกเขาจะรู้จักกัน
เหยาเฉาและอวี๋จือต่างดีอกดีใจกันใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหลัง ถึงขั้นรินสุราใส่จอกของตัวเองจนเต็มปริ่ม จากนั้นก็ยกแก้วขึ้น “แม่นางเหยา พี่ใหญ่หลิน พี่รองเหยา! ข้า ข้านั้นโง่เขลา ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร แต่กลับอยากดื่มฉลองให้พวกท่านทั้งสาม …ดื่มให้กับโลกที่ไม่เที่ยงแท้แห่งนี้ ทำให้จากเรื่องร้าย ๆ กลายเป็นเรื่องดี!”
เหยาซูคลี่ยิ้ม และพูดว่า “งั้นก็คงพูดได้ว่า ชายชราสูญเสียม้า แต่กลับได้โชคยิ่งใหญ่*! หากไม่ใช่เพราะอวี๋จือต้องประสบพบเจอกับเรื่องโชคร้ายเหล่านี้ เราก็คงไม่ได้มาสังสรรค์ด้วยกันเป็นแน่”
*塞翁失马, 焉知非福” · “ชายชราสูญเสียม้า แต่กลับเป็นโชคอันยิ่งใหญ่ เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดี เรื่องดีกลับกลายเป็นร้าย
นางรินสุราให้ตัวเอง จากนั้นก็ชนจอกกับทุกคน “ดื่มให้กับโชคชะตา!”
ทันทีที่สุราในจอกไหลลงสู่ท้อง อวี๋จือก็รู้สึกได้ว่าภาพตรงหน้าเริ่มฝ้าฟางอย่างเห็นได้ชัด
เหยาเฉาเห็นว่าอาการของเขาไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ วันนี้น้องอวี๋จือหยุดดื่มได้แล้ว กินกับแกล้มเหล่านี้เยอะ ๆ เถิด”
อวี๋จือพยักหน้าอย่างว่าง่าย หลังจากใช้ตะเกียบอยู่นาน ในที่สุดก็คีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งได้และเอาเข้าปาก
กระทั่งได้ยินอาจื้อถามขึ้นอีกด้านว่า “ท่านแม่ ‘ชายชราสูญเสียม้า แต่กลับได้โชคยิ่งใหญ่’ คืออะไรหรือขอรับ?”
เด็กทั้งสองคนเบิกตากลมโต รอคำอธิบายของเหยาซูอย่างใจจดใจจ่อ
เหยาซูยิ้มเล็กน้อย และพูดกับเด็ก ๆ ว่า “ความหมายคือ บางครั้งเรื่องที่ดูไม่ดี ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องดี ส่วนเรื่องที่เดิมทีคิดว่าดีอยู่แล้ว ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องที่เลวร้ายได้ มันมีเรื่องเล่าด้วยนะ พวกเจ้าอยากฟังหรือไม่?”
อาจื้อและอาซือพากันพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงว่า “อยากฟัง!”
เหยาซูเพิ่งจะดื่มสุราไปหนึ่งจอก ก็รู้สึกว่าลำคอแห้งผาก จึงรินชาใส่จอกให้ตัวเอง
หลินเหราชำเลืองมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับเด็ก ๆ ทั้งสองคนว่า “ท่านแม่มักจะเล่านิทานให้พวกเจ้าฟังก่อนนอนทุกวัน เรื่องในวันนี้ พ่อจะเป็นคนเล่าเองดีหรือไม่?”
อาจื้อและอาซือไม่ได้คัดค้าน เด็กสาวตัวน้อยยังพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังว่า “ท่านพ่อต้องเล่าเรื่องให้สนุกนะเจ้าคะ!”
หลินเหราเคยฟังเรื่องเล่าที่เหยาซูมักจะเล่าให้เด็ก ๆ ฟังก่อนนอน น้ำเสียงของนางอ่อนโยนมาก ทำให้นิทานที่เดิมทีดูธรรมดาไม่น่าสนใจถูกบรรยายออกมาได้อย่างมีการเคลื่อนไหวขึ้นลง และดึงดูดความสนใจได้อย่างมากทีเดียว
แต่ในตอนที่เด็ก ๆ ควรต้องนอนแล้วนั้น นางจึงได้เบาเสียงลง ไม่นานก็กล่อมอาจื้อและอาซือหลับไปในที่สุด
เสียงของชายหนุ่มนั้นทุ้มต่ำ ไม่นุ่มนวลเหมือนกับของเหยาซู ทว่าเส้นเสียงกลับคล้ายกับเครื่องดนตรีชั้นดี ให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไป
“เรื่องนี้ถูกอ้างอิงมาจากตำรา ‘หวยหนานจือ’ เล่าไว้ว่า มีอยู่วันหนึ่ง ครอบครัวที่อาศัยอยู่ใกล้ชายแดนสูญเสียม้าไป ทุกคนต่างก็เข้ามาปลอบใจ แต่ผ่านไปไม่กี่เดือน ม้าที่หายไปก็พาม้าพันธุ์ดีของชาวหูกลับบ้านมาด้วย คนภายนอกก็มาร่วมแสดงความยินดีอีกครั้ง ลูกชายของครอบครัวนี้ชอบขี่ม้าเป็นชีวิตจิตใจ แต่นิสัยม้าของชาวหูนั้นชอบพยศ มีครั้งหนึ่งในตอนที่ลูกชายกำลังขี่ม้า ไม่ทันระวังจึงได้ตกจากหลังม้าจนขาหัก…..”
อาซือสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกับรอยย่นซาลาเปา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างแจ่มชัดว่า “ม้าที่หายไปก็คือเรื่องไม่ดี ต่อมาก็กลับกลายเป็นเรื่องดี แต่สุดท้าย ก็กลายเป็นเรื่องไม่ดีอีกครั้ง! ขาหักเพราะล้มคงจะเจ็บน่าดู!”
นัยน์ตาของหลินเหรานั้นฉายแววอบอุ่น ก่อนจะตอบ “อื้อ” เบา ๆ จากนั้นก็พูดต่อว่า “เรื่องยังไม่จบ หลังจากที่ลูกชายของครอบครัวนี้ขาหักไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถร่วมเกณฑ์ทหารในหนึ่งปีหลังจากนั้นได้ บังเอิญว่าปีนี้ชาวหูเข้าร่วมสงครามด้วย ทหารที่ลงสนามรบต่างพากันล้มตายระเนระนาด เขาจึงหลบเลี่ยงหายนะได้อีกครั้ง”
อาซือจึงเริ่มแย้มยิ้มกว้างออกมา “ตอบจบเรื่องนี้ช่างดียิ่งนัก! สุดท้ายเรื่องร้ายก็กลายเป็นเรื่องดี!”
น้ำเสียงของหลินเหราไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก โชคดีที่เรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จึงดึงดูดความสนใจของเด็ก ๆ ทั้งสองคนได้มากพอ
อาจื้อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวอยู่ในสมอง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงเอ่ยถามหลินเหราว่า “ท่านพ่อเคยอ่านตำรา ‘หวยหนานจือ’ หรือไม่? ในนั้นยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกหรือไม่ขอรับ?”
หลินเหราพยักหน้า “ตำรา ‘หวยหนานจือ’ มีเรื่องเล่ามากมาย เหมือนกับเรื่อง ‘หนี่ว์วาซ่อมฟ้า’ ‘วีรบุรุษผู้ยิงดวงตะวันโฮ่วอี้’ ที่แม่เจ้าเล่าให้พวกเจ้าฟังก็อยู่มีอยู่ในนั้นด้วย”
เด็กชายอยากจะลองอ่านดู จึงส่องสายตาที่แวววาวระยิบระยับนั้นไปทางเหยาเฉา ซึ่งเหยาเฉารีบโบกปัดในทันที “ในห้องหนังสือของลุงไม่มีหรอก ว่าแต่อาจื้อไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนั้นที่บ้านของท่านตาหรือ?”
…………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โลกกลมจริง ๆ ปู่พี่อวี๋กลับกลายเป็นสหายของทวดตระกูลเหยาเสียได้
ไหหม่า(海馬)