อาจื้อนึกย้อนอยู่ครู่หนึ่ง เขาเคยพลิกเปิดหนังสือที่ตระกูลเหยาซ่อนไว้ และหยิบมันมาอ่านด้วยความสนใจ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นตำรา ‘หวยหนานจือ’ มาก่อน
ทว่ากลับได้ยินอาซือที่อยู่ข้างกายพูดขึ้น “ข้ารู้แล้ว! พี่รองเคยถือหนังสือเล่มหนึ่ง และยังสอนข้าอ่านด้วย ที่แท้ก็ไม่ใช่หนานหนานจื่อ หากแต่เป็นหวยหนานจือนี่เอง”
เหยาเฉารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขารู้จักลูกชายของตนเองดี เหยาเอ้อหลางอ่านหนังสือได้ตั้งแต่เมื่อไร?
จากนั้นก็ได้ยินอาจื้อซักถามขึ้นว่า “เอ๊ะ? พี่คนรองเอาไปไว้ที่ไหนแล้ว ทำไมตั้งแต่นั้นมากลับไม่เคยเห็นมันอีกเลยเล่า?”
เด็กสาวตัวน้อยพูดเสียงดังกังวานว่า “ไม่มีแล้ว”
อาจื้อตะลึงไปครู่หนึ่ง “ไม่มีแล้ว? หายไปที่ใด?”
อาซือพูดอย่างงุนงงว่า “ก็พี่รองเอาไปจุดไฟ มันคงถูกเผาจนไม่มีเหลือแล้วแน่นอน”
ใบหน้าของเด็กชายแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันใด เขาหันขวับไปมองเหยาเฉา พลางคิดหาข้อแก้ตัวอยู่ในหัวสมองอย่างรวดเร็ว ต้องช่วยพี่รองปิดบังให้จงได้
“เอ้อเป่าต้องจำผิดไปแล้วเป็นแน่” อาจื้อกระวนกระวายใจต่อหน้าพวกผู้ใหญ่เช่นนี้เป็นครั้งแรก เขารู้สึกได้ถึงใบหูที่ร้อนผ่าวของตน “พี่รองมักจะใช้ชีวิตไร้ประโยชน์ราวกับกระดาษซวนจื่อ [1] ไฉนเลยจะเผาหนังสือ…”
เหยาเฉาหมดคำจะกล่าวออกมา จากนั้นก็มองไปทางหลานชายที่ซื่อสัตย์ที่ขณะนี้ตัวสั่นงันงก ก่อนจะพูดว่า “เอาละ ข้าไม่ใช่ลุงใหญ่ของพวกเจ้า เรื่องเผาหนังสือตอนเด็ก ๆ ข้าก็เคยทำ คงโทษเขาไม่ได้หรอก”
อาซือเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นได้ปากโป้งออกไปแล้ว มือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างได้ยกมือขึ้นมาปิดปากพลางอุทาน ‘ไอหยา’ ออกมาอย่างแผ่วเบา
เหยาซูหัวเราะออกมา จากนั้นก็พูดหยอกล้อเหยาเฉาว่า “มิน่าเล่าท่านพ่อถึงพูดเสมอว่า หนังสือในตระกูลของเราถูกสองพ่อลูกอย่างพวกเจ้าทำลายทิ้งหมดแล้ว ที่แท้ก็ทำลายเช่นนี้นี่เอง!”
อาจื้อที่มีความสนใจต่อตำรา ‘หวยหนานจื่อ’ กลับถูกลิขิตให้ต้องผิดหวัง เขาทอดถอนใจเหมือนกับพวกผู้ใหญ่ จากนั้นก็อ้อนวอนให้หลินเหราไปหาหนังสือสักเล่มจากร้านหนังสือในเมืองมาให้เขา
อวี๋จือนั่งมึนเมาอยู่ด้านข้าง ได้พูดกับอาจื้ออย่างรวบรัดว่า “อาจื้ออย่า…อย่าร้อนใจไปเลย ก็แค่ตำรา ‘หวยหนานจื่อ’ ไม่ใช่หรือ ท่านอาอวี๋อยากให้เจ้าเงียบลงก่อน…”
ดวงตาคู่นั้นของอาจื้อเปล่งประกาย พลางพยักหน้าหงึกหงัก
เหยาเฉาชำเลืองไปเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของเขา จึงคิดว่าคงจะดื่มจนเมามายแล้วเลยพูดกับอาจื้อว่า “เอาล่ะ ท่านอาอวี๋ของเจ้าดื่มเยอะแล้ว ตำรา ‘หวยหนานจื่อ’ มีหลายหมื่นตัวอักษร ไฉนเลยจะเขียนออกมาโดยง่าย?”
อวี๋จือที่อารมณ์ดีมาโดยตลอดกลับเปลี่ยนไป พยายามเบิกตาที่หยาดเยิ้มเป็นพิเศษเพราะอาการเมาสุรา จากนั้นก็พูดอย่างมึนงง ว่า “หลายหมื่นตัวอักษรแล้วอย่างไร? ข้าจำได้ก็แล้วกัน เขียนก็เร็ว ท่านปู่อวี๋มักจะชื่นชมลายมือเท่าหัวแมลงวันของข้า รูปแบบและกลิ่นอายต่างก็เทียบชั้นผู้ที่เรียนศิลปะพู่กันเหล่านั้น…”
บัณฑิตตัวน้อยดื่มสุราขาวไปสองจอก ทำให้ลืมสิ้นแม้แต่ท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัว และความระมัดระวังตัวที่เขาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แต่กลิ่นอายอันอ่อนเยาว์ที่แผ่กระจายออกมานั้น ทำให้เขาถกเถียงกับเหยาเฉาอย่างจริงจัง “ชาย เฒ่าชายแดนเสียม้าเรื่องนี้ ข้าท่องให้เจ้าฟังก็ได้นะ คนชอบธรรม อาศัยอยู่ใกล้พรมแดน อึก! โดยไม่มีเหตุผล ม้าได้วิ่งเข้าไปในแดน…”
ในขณะที่เล่านั้นเขาก็ท่องเนื้อหาในตำรา ‘หวยหนานจื่อ’ ออกมา ไม่เพียงแต่ท่องความเรียงนี้จบลง ยังจะท่องความเรียงวรรคต่อไปอีกด้วย
อาจื้ออ้าปากตาค้าง จากนั้นก็มองไปยังใบหน้าอันขาวนวลที่แดงระเรื่อของอวี๋จือ ก่อนจะเอ่ยถามหลินเหราเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ท่านอาอวี๋เมาแล้วใช่หรือไม่…”
ทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่าความสามารถในการดื่มสุราของอวี๋จือจะแย่ถึงเพียงนี้
เหยาเฉาเปิดฉากด้วยสุราที่ไม่รุนแรงไหนี้ แม้แต่เหยาซูก็ยังดื่มได้ คาดไม่ถึงว่าเพียงแค่สองจอกจะทำให้อวี๋จือเมามายไร้สติไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไรถึงเพียงนี้
เหยาเฉาปวดหัวเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้ตะเกียบคีบผักให้อวี๋จือและพูดกับเขาว่า “เอาล่ะ รู้แล้วว่าเจ้าท่องได้ ท่องทั้งหมดได้! รีบกินเจ้านี่รองท้องเสีย หากอาเจียนกลางดึก ไม่มีอะไรอยู่ในท้อง คงได้ปวดกระเพาะแน่”
อวี๋จือยังพอมีสติบ้าง จึงโต้เถียงกลับไปอย่างมีหลักเกณฑ์ “พี่รองเหยา ข้าไม่ได้เมา! ข้าเพิ่งดื่มไปเพียงสองจอกเอง ข้ายังท่องได้!”
เหยาซูและหลินเหราต่างหมดปัญญา หากจะแบกอวี๋จือในสภาพนี้ก็อับจนหนทางเหลือเกิน
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง เหยาซูเร่งรัดเด็กทั้งสองคน “หยุดพูดได้แล้ว กินข้าวให้หมดเร็ว เราจะต้องกลับบ้านแล้ว”
หลินเหราพูดน้อยมากจึงกินข้าวหมดไปแล้วสองชามใหญ่ ตรงกันข้ามกับเด็กทั้งสองคนที่กินไปเล่นไป ทำให้ยังเหลือข้าวอีกครึ่งชามใหญ่
อาจื้อไม่ชอบกินหัวไชเท้า จึงเลือกผักที่เหยาซูคีบให้เขาออกอย่างพิถีพิถัน เหลือเพียงหัวไชเท้าอยู่ในชามข้าว
หลินเหราไม่ชอบนิสัยนี้ของเขา จึงพูดขึ้น “กินให้หมด”
อาจื้อเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแวบหนึ่งและพูดเสียงเบา ๆ ว่า “อีกเดี๋ยวข้าค่อยกิน….”
ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วเล็กน้อย และออกคำสั่ง “กินให้หมดเดี๋ยวนี้”
เวลาที่ผู้เป็นพ่อมีสีหน้าเย็นชานั้นน่าหวาดกลัวยิ่ง อาจื้อรีบก้มหน้างุด ๆ ใช้ตะเกียบเขี่ยหัวไชเท้าเหล่านั้นเข้าปาก จากนั้นก็เคี้ยวจนแก้มตุ่ยและกลืนลงไป
เหยาซูใช้อีกด้านของตะเกียบเคาะศีรษะของอาจื้อเบา ๆ ก่อนจะพึมพำว่า “ปกติให้เจ้ากินหัวไชเท้าก็แทบจะต้องวิงวอน เหตุใดวันนี้ถึงเชื่อฟังได้เล่า?”
เมื่ออาซือเห็นดังนั้น จึงรีบกินผักที่ตัวเองไม่ชอบอย่างเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง
เหยาซูให้ความสนใจกับท่าทางเชื่อฟังของเด็กทั้งสองคน ในที่สุดก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของระบอบเผด็จการ จึงพูดกับหลินเหราว่า “เจ้าเด็กไร้จิตสำนึกสองคนนี้ ปกติเลือกอาหารจะตายไป เปลี่ยนวิธีทำอาหารให้พวกเขาก็ยังไม่ได้ผล! โน้มน้าวยังไงก็ไม่ฟัง คงต้องให้ท่านเฝ้าพวกเขากินข้าวทุกวันเสียแล้ว”
หลินเหราเอียงคอ มองใบหน้าด้านข้างอันอ่อนโยนของเหยาซูด้วยสายตาลึกซึ้ง ส่วนปากกลับพูดให้เด็กทั้งสองคนได้ยินว่า “ต่อไปหากเลือกกินอาหารอีก ข้าจะกลับบ้านมาจัดการพวกเขาตอนค่ำ”
เหยาซูจึงอดยิ้มกว้างไม่ได้ จากนั้นก็หันไปพูดกับอาจื้อและอาซือว่า “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่? พ่อของพวกเจ้าพูดแล้ว หากเลือกกินอีก เขากลับมาจัดการแน่!”
เพราะอาการเมามายของอวี๋จือ จึงทำให้อาหารค่ำมื้อนี้ปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่อวี๋จือผู้ตกอยู่ในอาการมึนเมาไม่ได้สร้างปัญหาให้ผู้อื่น ไม่โหวกเหวกโวยวาย ไม่วิ่งเปะปะ เหยาเฉาบอกให้เขาทำอะไรก็ทำอย่างนั้น เมื่อเหยาซูและหลินเหราเห็นดังนั้นก็พาเด็ก ๆ ทั้งสามคนกลับบ้านอย่างวางใจ
ซานเป่าตื่นนอนในตอนที่หลินเหราอุ้มเขา คาดว่าคงหิวแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านจึงส่งเสียงจอแจตลอดเวลา จะร้องก็ไม่ร้อง
เหยาซูหยอกล้อเขาอยู่ด้านข้าง “ซานเป่าพูดสิ! หิวแล้วใช่หรือไม่! หื้อ? ไม่พูดแม่ไม่ให้กินนะ”
เด็กทารกตัวน้อยไม่รู้ว่าเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่หรือไม่ จู่ ๆ กลับไม่สบอารมณ์เสียอย่างนั้น ยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปตีและขยำแก้มของหลินเหรา ส่วนปากยังร้องไห้งอแงไม่มีหยุด
เมื่อเหยาซูเห็นดังนั้น ก็รีบรับเป่าซานที่อยู่ในอ้อมแขนของหลินเหราทันที จากนั้นก็ปลอบใจเขา “เอาล่ะ ๆ แม่ไม่แกล้งซานเป่าของเราแล้ว ซานเป่าเป็นเด็กดีที่สุดใช่หรือไม่? ทนอีกหน่อยนะ กลับบ้านไปแม่จะป้อนนมให้เจ้า ใกล้แล้ว ใกล้แล้วล่ะ…”
ลานบ้านขนาดเล็กของพวกเขาอยู่ห่างจากบ้านพักของเหยาเฉาไม่กี่ช่วงถนน น้อยนักที่จะเห็นซานเป่าร้องไห้ เหยาซูจึงเร่งฝีเท้า อาจื้อและอาซือวิ่งหายวับไปด้านหน้า บอกว่าจะกลับไปจุดไฟให้แก่ท่านแม่ของตน
วันนี้เป็นวันที่สิบหกพอดี ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางท้องนภา ทอแสงประกายสีเงินดุจดั่งหยก ปกคลุมทั่วทั้งเมืองชิงถง
ยามราตรีอันเงียบสงัด หลินเหราเดินตามอยู่ด้านหลัง มองดูเหยาซูที่กำลังอุ้มเด็กน้อยก้าวฉับไวอยู่ด้านหน้า
แสงจันทร์ได้สาดส่องลงมายังผมสีดำขลับของนาง ไล้ลงมาตามเส้นผม จนมาถึงบริเวณเอวอ้อนแอ้นที่ไม่อาจจับต้องได้ แต่แล้วก็หยุดชะงักลงสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นหมองหม่น
“มัวยืนอึ้งอันใดอยู่?” เหยาซูหันกลับไปแต่กลับเห็นหลินเหราหยุดก้าวเดิน จึงเร่งเขา “ไม่ได้ยินลูกชายของท่านร้องไห้โยเยเหรอ? เหตุใดยังไม่รีบเดินอีกเล่า?”
ฝ่ายชายจึงได้สติกลับมา และตอบรับกลับไป “อื้อ ไปกันเถิด”
น้ำเสียงแหบแห้งถูกกลบท่ามกลางสายลมที่พัดพามาจากแดนไกลและความมืดมิดในยามราตรี เหมือนกับความรู้สึกที่ถูกเขาข่มกลั้นไว้ ไม่กล้าให้เหยาซูรับรู้และเห็นมัน
[1] กระดาษซวนจื่อ มีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เป็นกระดาษสีขาวที่มีลักษณะลื่นและนุ่ม ซึ่งยากที่จะยับและเน่าเปื่อย ใช้สำหรับการเขียนตัวอักษรจีนและวาดภาพในสมัยโบราณ
สารจากผู้แปล
วงวารอวี๋จือแท้ แค่เหล้าไม่แรงสองจอกยังเมา ถ้าโดนมอมเหล้านี่ไม่สลบคาที่เลยเหรอ
ไหหม่า(海馬)