ตอนที่ 159 ลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง
สองชั่วโมงผ่านไป เซวียเหลียงกลับไปยังแผนกประพันธ์เพลงด้วยความสับสน บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างก็เข้ามาห้อมล้อมเซวียเหลียง พร้อมกับสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ตัวแทนหลินเรียกนายไปด่าเหรอ”
“ไปนานขนาดนี้เชียว?”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวแทนหลินเรียกคนของแผนกประพันธ์เพลงเราไปเข้าเฝ้าเลยนะ!”
“ตัวแทนหลินไม่ใช่ฮ่องเต้สักหน่อย จะใช้คำว่า ‘เข้าเฝ้า’ ทำไม”
“ฉันรู้สึกว่าเข้าเฝ้าเหมาะจะตายไป เข้ากับสถานะของตัวแทนหลินมากเลย”
“จะว่าไปก็จริง”
“…”
หลังจากซักไซ้อยู่หลายประโยค ผู้คนก็มองไปยังเซวียเหลียง “อาเหลียง ทำไมไม่พูดไม่จาล่ะ”
“ผม…”
เซวียเหลียงมองไปยังฝูงชน อ้าปากพะงาบอยู่นาน กว่าจะเอ่ยขึ้นว่า “ผมเรียนแต่งเพลงกับอาจารย์ครับ”
ผู้คนพากันตกตะลึง “อาจารย์?”
เซวียเหลียงคล้ายกับว่ายังไม่ได้สติกลับมา “ตัวแทนหลินเป็นอาจารย์ของผม เขาบอกว่าหลังจากนี้จะชี้แนะการเรียนแต่งเพลงให้ผม…”
“พูดจริงหรือจ้อจี้?”
“ถึงว่าสิไปนานตั้งนาน”
“ตัวแทนหลินสอนนายแค่สองชั่วโมง?”
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด
แต่เซวียเหลียงกลับยิ่งไม่คาดคิดขึ้นไปอีก แต่ตอนนี้มาหวนระลึกถึงบทเรียนเมื่อครู่ ก็รู้สึกตื่นตะลึงอยู่เหมือนกัน “ตัวแทนหลินน่ะ…”
“ทำไม”
ทุกคนจ้องมองเซวียเหลียง
เซวียเหลียงขบคิดอยู่นานโข ก็ไม่สามารถสรรหาคำบรรยายที่เหมาะสมออกมาได้ จนกระทั่งเมื่อผู้คนกำลังจะแยกย้ายกันไปด้วยความรำคาญใจ จู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นมาว่า “ผมคิดว่าบนโลกนี้ไม่มีใครรู้เรื่องการแต่งเพลงดีไปกว่าตัวแทนหลินแล้วล่ะครับ!”
ทุกคน “…”
หลังจากนั้น ก็ระเบิดหัวเราะกันออกมา
หัวหน้าแผนกประพันธ์เพลงตบบ่าเซวียเหลียงเบาๆ “นายเป็นคนที่ค่อนข้างพิเศษในหมู่พวกเรา เพราะนายไม่ได้เรียนแต่งเพลงมาจากมหาวิทยาลัย ความรู้เฉพาะทางของนายอาจน้อยกว่าคนอื่น ตัวแทนหลินเป็นนักแต่งเพลงมือทอง ความรู้ด้านการแต่งเพลงของเขาต้องล้ำเลิศกว่าพวกเราทุกคนตรงนี้อยู่แล้ว แต่นายจะบอกว่าบนโลกนี้ไม่มีใครรู้เรื่องการเขียนเพลงดีไปกว่าเขาก็ออกจะเว่อร์ไปหน่อยนะ นอกจากพ่อเพลงแล้ว ไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองมีความรู้เรื่องการเขียนเพลงมากที่สุดหรอก”
เซวียเหลียงยังคงนิ่งเงียบ
เขาอยากบอกคนพวกนี้ว่า ตนหาความรู้เรื่องการประพันธ์เพลงเพิ่มเติมทุกวัน บทเรียนของมหาวิทยาลัยเหล่านี้ เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองได้แทบจะทั้งหมดแล้ว
เขาอยากบอกว่า
ตัวแทนหลินเป็นบุคคลระดับพ่อเพลงเชียวนะ!
แต่เขารู้ว่าตนพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ มีเพียงตัวเซวียเหลียงเองที่รู้ว่าตนเรียนกับตัวแทนหลินเวลาสั้นๆ เพียงสองชั่วโมง ก็ได้ความรู้มหาศาล!
“ฉันว่าตัวแทนหลินแกงเซวียเหลียงแล้วล่ะ” นักประพันธ์เพลงหนึ่งในนั้นหัวเราะเยาะ
ทันใดนั้นเซวียเหลียงก็รู้สึกโมโหขึ้นมา เขามองอีกฝ่าย เอ่ยว่า “นั่นก็เป็นเพราะพวกพี่ไม่เข้าใจตัวแทนหลินไงล่ะ!”
“คงงั้นแหละมั้ง” เพื่อนร่วมงานคนนี้ยิ่งหัวเราะลั่นเข้าไปใหญ่
เซวียเหลียงกำหมัดแน่น ทันใดนั้นก็เยือกเย็นลง มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ต่อไปก็จะรู้เองแหละครับ”
“อะไรวะเนี่ย”
อีกฝ่ายก็หัวเสียขึ้นมาแล้ว สายตาของเซวียเหลียงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด เอ่ยกระทบกระแทกแดกดันขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “นายเรียนกับตัวแทนหลินแค่ไม่กี่วันก็จะสำเร็จเป็นยอดฝีมือหรือไง อ้อ หรือนายก็ทำออเดอร์ราคาสามล้านของธันเดอร์เอนเตอร์เทนเมนต์สำเร็จแล้วเหมือนกัน? นายมียอดความสำเร็จของออเดอร์เป็นอันดับหนึ่งของบริษัท แต่ถ้าฉันจำไม่ผิดละก็ ออเดอร์ใหญ่ที่สุดของนาย ก็น่าจะราคาสองแสนหยวนได้ล่ะมั้ง”
“ล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น นายก็เกินไปแล้วนะ”
หัวหน้าขมวดคิ้วมุ่น ถลึงตาใส่เพื่อนร่วมงานที่ทะเลาะกับเซวียเหลียง จากนั้นก็ตบบ่าเซวียเหลียง “ตั้งใจเรียน โอกาสหายาก ตัวแทนหลินเลือกนาย เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นแววนาย”
“ครับ”
เซวียเหลียงพยักหน้ารัว
เพื่อนร่วมงานซึ่งปะทะฝีปากกับเซวียเหลียงเมื่อครู่เบ้ปาก แต่ก็ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดอีก
สรุปง่ายๆ ก็คือ เขาก็เพียงรู้สึกน้อยอกน้อยใจ ที่ตัวแทนหลินเลือกสอนเซวียเหลียง ไม่ใช่เขา
……
หลินเยวียนรู้สึกว่าการสอนแต่งเพลงนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว เพราะตอนที่เขาเปิดการใช้งานการ์ดตัวละครหยางจงหมิง ความทรงจำของเขาก็ยังแจ่มชัดอยู่
ดังนั้นขณะที่สอนเซวียเหลียง เขาก็รู้สึกว่าตนเองก็กำลังเรียนรู้อยู่เช่นกัน
การ์ดตัวละครมหัศจรรย์แบบนี้นี่เอง
เขาสอนคนอื่นอยู่แท้ๆ แต่กลายเป็นว่าเขาก็สอนตนเองอยู่ด้วย
น่าเสียดายที่ตอนสอน ตนไม่ได้ใช้เอฟเฟ็กต์ ‘อาจารย์’ แต่เซวียเหลียงสามารถใช้ได้ทั้งหมด
“เอฟเฟ็กต์อาจารย์ของฉันอัปเลเวลแล้วเหรอ” หลินเยวียนถามระบบ
ระบบตอบ “เอฟเฟ็กต์อาจารย์ของโฮสต์ค่อยๆ เพิ่มระดับอย่างช้าๆ มาโดยตลอด แต่ช่วงนี้เข้าสู่โหมดหยุดนิ่งเพราะโฮสต์ไม่ได้ทำการสอนมาเป็นเวลานาน”
หลินเยวียนเข้าใจแล้ว
เขารู้ว่าระบบหมายถึงเรื่องที่ตนสอนในชมรมจิตรกรรมตอนอยู่ฉินโจว ในช่วงเวลานั้น ผลของเอฟเฟ็กต์อาจารย์ของหลินเยวียนเพิ่มขึ้นรวดเร็วมาก
“ปัญหาก็คือ…”
หลินเยวียนขมวดคิ้ว “ตอนนี้ฉันสอนนักเรียนแค่คนเดียว ในภารกิจนี้นับรวมกันทั้งหมด ก็คือสอนสามคน ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันก็จะใช้เอฟเฟ็กต์อาจารย์ได้ยากมากน่ะสิ”
“โฮสต์เข้าใจผิดแล้ว”
ระบบตอบว่า “เอฟเฟ็กต์อาจารย์ ไม่เพียงเพิ่มสูงขึ้นตามขอบเขตการสอนของโฮสต์ ขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มสูงขึ้นตามคุณภาพการสอนของโฮสต์ได้ด้วย เรียกอีกอย่างก็คือ ต่อให้โฮสต์สอนแค่คนเดียว แต่ถ้าโฮสต์พัฒนาความสามารถของอีกฝ่ายได้ถึงระดับหนึ่ง ผลเอกเฟ็กต์อาจารย์ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ถึงขั้นที่อัปเลเวลได้เลยนะ!”
หลินเยวียนให้ความสำคัญกับเอฟเฟ็กต์อาจารย์มาก
เพราะเรื่องอย่างการสอนนี้สามารถสร้างรายได้
เดิมทีก็ควรเก็บเงินกับเซวียเหลียงด้วย
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะนี่เป็นภารกิจของระบบ แถมอีกฝ่ายยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ฉะนั้นแล้วเขาเลยรู้สึกกระดากใจที่จะเอ่ยถึงเรื่องเก็บเงิน
แต่ก่อนหน้านี้คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่แท้สอนคนคนเดียวก็เพิ่มเอฟเฟ็กต์อาจารย์ได้เหมือนกัน
ในใจของเขาเกิดคำถามว่า ‘ยกเซวียเหลียงเมื่อกี้เป็นตัวอย่าง ระบบหมายความว่า ถ้าฉันสอนให้เซวียเหลียงกลายเป็นนักแต่งเพลงที่ยอดเยี่ยมได้ ผลก็อาจไม่ได้ด้อยไปกว่าการวนสอนนักแต่งเพลงกลุ่มหนึ่งเลย?’
“ถูกต้อง”
นี่ก็คือเส้นทางลัดกองพลชั้นยอดนั่นเอง!
ถ้ารู้แต่แรกว่าทำแบบนี้ได้ หลินเยวียนก็แค่จับคนที่มีพรสวรรค์ใช้ได้มาขัดเกลาประสบการณ์ก็แค่นั้น
ตัวอย่างเช่นชมรมจิตรกรรมที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวก่อนหน้านี้
ตนสามารถสอนจงอวี๋มากขึ้นอีก บ่มเพาะอุ้มชูให้จงอวี๋กลายเป็นยอดฝีมือด้านจิตรกรรมตัวจริงเสียงจริงให้ได้!
ก็เหมือนกับการสังหารศัตรูในเกมออนไลน์นั่นแหละ
ถ้าตีมอนสเตอร์เล็กๆ หลายสิบตัว ก็จะได้ประสบการณ์หลากหลาย แต่ถ้าเจอบอส ขอเพียงสังหารได้สักตัว ก็จะได้ประสบการณ์ที่เหมือนกัน!
“ฉันเข้าใจแล้ว”
หลินเยวียนรู้สึกไม่พอใจขึันมาเล็กน้อย “ทำไมนายไม่บอกตั้งแต่แรก”
ระบบถึงกับลังเลอยู่ชั่วขณะ “เพราะแต่ไหนแต่ไรมาโฮสต์ไม่เคยดื่มด่ำกับความสนุกที่ระบบสร้างมาให้เลย โฮสต์ชอบแต่เงิน ถูกเงินบังตาหมดแล้ว”
นี่ระบบกำลังประชด?
หลินเยวียนยิ่งรู้สึกไม่พอใจขึ้นไปอีก
ใครบอกว่าเขาชอบแต่เงิน
เห็นชัดๆ ว่าตนชอบพุดดิงเยลลี ไอศกรีม ขนมเปี๊ยะไข่แดง…
แล้วก็ใบชา
ระบบคล้ายกับรู้สึกว่าการประชดประชันโฮสต์นั้นละเมิดกฎเกณฑ์ ดังนั้นจึงกล่าวเสริมว่า “อันที่จริงระบบมีฟังก์ชันที่โฮสต์ยังไม่ค้นพบ เดิมทีคิดว่าจะให้โฮสต์ค้นพบและเปิดใช้ด้วยตัวเอง แต่ดูท่าทางโฮสต์จะนึกถึงระบบก็แค่ตอนที่จะหาเงิน ดังนั้นจึงอยากเตือนสักหน่อย”
“เตือนเรื่องอะไร”
“ความจริงแล้วยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ระบบผลักดันให้โฮสต์รับลูกศิษย์ เมื่อลูกศิษย์ของโฮสต์แตะถึงระดับที่ออกจากสำนักได้แล้ว ผลงานที่ลูกศิษย์เผยแพร่ออกไปก็จะทำให้เกิดค่าความโด่งดัง นอกจากนั้นแล้วค่าความโด่งดังนี้ก็จะนับรวมไปที่โฮสต์ ขอให้สักวันหนึ่งโฮสต์บ่มเพาะลูกศิษย์ออกมาเต็มบ้านเต็มเมือง”
“แล้วไม่บอกตั้งแต่แรก!”
หลินเยวียนร้อนรนขึ้นมา “ทำไมนายไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ…นายบอกเร็วกว่านี้ฉันก็รู้เรื่องแล้วมั้ย…ทำไมนาย…ทำไมไม่บอกแต่แรก…ถ้าไม่บอกก่อน แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง…”
………………………………………………….