บทที่ 156 เจอป่ายเม่ยเซิงอีกครั้ง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่156 เจอป่ายเม่ยเซิงอีกครั้ง

นัยน์ตาของร่างดำนั้นประกายความโกรธจากนั้นก็กลับมาสงบนิ่ง เผชิญหน้ากับองครักษ์ลับที่ล้อมไว้เขาไม่คิดจะต่อต้าน

“เฮ้อ อย่าทำเสื้อข้ายุ่งสิ ตอนแรกมันเปิดออกมาแล้วครึ่ง ถูกพวกเจ้าดึงนิดเดียวก็แทบจะหลุดออกมาแล้ว”

“ข้าจะไม่วิ่ง ปล่อยให้ข้าเดินเอง ข้าต้องการไปพบสาวงามด้วยสภาพที่ดีที่สุด”

“เฮ้ย พวกเจ้านี่หยาบคายเสียจริงก็บอกแล้วไงว่าจะไม่วิ่ง ไม่ต้องคุมตัวข้าเช่นนี้”

“……”

หลานเยาเยาที่อยู่ในห้องโถงมองคนที่ถูกคุมตัวเข้ามาก็ต้องขมวดคิ้ว ดวงตาประกายความสงสัย

ร่างนี้คุ้นตามาก

เสียงเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหน

ตอนผู้นั้นถูกเหล่าองครักษ์ลับคุมตัวมาอยู่ตรงกลางห้องโถง กำลังจะมัดตัวเขา ผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มโง่ๆให้หลานเยาเยา

“ป่ายเม่ยเซิง?!”

หลานเยาเยากุมขมับพูดไม่ออก

“ใช่ๆๆ ข้าเอง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีภาพจำลึกซึ้งต่อข้า นึกว่าเจ้าจะลืมคนในครอบครัวไปหมดแล้ว!”ในน้ำเสียงมีความคับแค้นใจ

เอ่อ……

ทำไมเขาพูดแปลกๆ รู้สึกอย่างกับพวกเขาเป็นคนรักเก่ากัน

“อยู่บนเรือดีๆหนีมาที่จวนอ๋องเย่ทำไม?”

เรือแห่งความสิ้นหวังลึกลับเช่นนี้ อำนาจที่อยู่เบื้องหลังก็ทำให้คนครุ่นคิดไม่ตก ในฐานะสมาชิกของคนเรือแห่งความสิ้นหวัง ป่ายเม่ยเซิงผู้นี้คิดจะทำอะไร?”

“การจากกันครั้งก่อน ในทุกๆคืนข้าพลิกไปพลิกมาคิดถึงเจ้าจนนอนไม่หลับ คิดไปคิดมาข้าก็ตัดสินใจจะมาดูเจ้าสักครั้ง คิดไม่ถึงว่าจะโดนจับ แต่ก็ยังดีที่ได้พบเจ้า”

เผชิญหน้ากับป่ายเม่ยเซิงที่สาธยายความรัก ในใจหลานเยาเยาคำรามร้องด้วยความโกรธ

คำพูดโกหกนี้พูดจนนางแทบจะเชื่อว่าจริง

แม้จะรู้ว่าจุดประสงค์ที่เขามามันไม่ดี แต่สำหรับเรื่องวางยาพิษน่าจะไม่ใช่เขาที่ทำ

“เจ้าไปซะ!”

เมื่อประโยคนี้ออกมา

ทำให้ป่ายเม่ยเซิงและจื่อซีตกตะลึง จื่อซียังไม่ทันพูดอะไรป่ายเม่ยเซิงก็ไม่พอใจก่อนแล้ว

“แม่คนงาม มันไม่ง่ายเลยนะที่จะเข้ามาพบเจ้าได้ ทำไมถึงไล่ข้าไปแล้วหล่ะ? ถ้างั้นเจ้าให้ข้าคอยปรนนิบัติข้างกายเจ้าไหม?”

“ได้ งั้นเจ้าก็อยู่ก่อน!” หลานเยาเยาพยักหน้าแบบไม่คิด นี่ยิ่งทำให้ป่ายเม่ยเซิงและจื่อซีรู้สึกเหลือเชื่อ

พระชายาคงไม่คิดจะเลี้ยงนายบำเรอใช่ไหม?

ถ้าหลังจากเจ้านายรู้จะต้องสับเจ้านายบำเรอนี้ให้หมากินแน่

เขายังไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด เสียงของหลานเยาเยาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ท่านอ๋องของเรานั้นชอบปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อผู้ที่ลักลอบเข้ามาในตำหนักที่สุด ทอด ตัดสดๆ น้ำส้มสายชู ผัด ตัดอวัยวะก็ดูเหมือนจะมี ถ้าเจ้าอยู่ต่อก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว ลองลิ้มรสฝีมือของท่านอ๋องสักหน่อยก็ถือเป็นสิริมงคลอย่างหนึ่ง”

จื่อซี:“……”

พระชายาพูดนี่สรุปคือเจ้านายหรือข้อเสียของเจ้านาย?”

แต่ที่เขาได้ยินทำไมมันเหมือนกับการผัดผักมากกว่านะ?

แต่หลังจากที่ป่ายเม่ยเซิงได้ยินดังนั้น คอก็หดลงหลังจากกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วก็ยิ้มแหยๆ

“งั้นไม่รบกวนแล้ว!”

ได้ยินมาว่าอ๋องเย่กระหายเลือดโหดร้ายที่สุด ดูท่าแล้วน่าจะสมคำร่ำลือ เขาต้องรักษาชีวิตไว้

“ส่งแขก!”

แต่ส่งแขกนี้ไม่ใช่การไปส่งเขาที่ประตูอย่างเกรงใจ แต่เป็นการที่หลังจากแก้มัดเขาแล้วแล้วโยนเขาจากข้างในรั้วกำแพงออกไปรั้วนอกกำแพง

หลังจากได้ยินเสียงอู้อี้ องครักษ์ลับก็ต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่

ป่ายเม่ยเซิงที่ถูกโยนหน้าตาบวม หลังจากส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดก็ผิวปากออกมาอย่างจนตรอก

ในไม่ช้าก็มีการเคลื่อนไหวพุ่งออกมากลางอากาศ ร่างอีกร่างหนึ่งตกมาอยู่ข้างเขา หลังจากที่เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนก็หัวเราะขึ้นมายกใหญ่

“โอ้ รูปร่างนี่ไม่เลวเลย! ข้าไปหาช่างวาดดีกว่าให้เขาวาดรูปร่างเจ้า”

เมื่อคนนั้นพูดจบก็ดูเหมือนจะทำจริงๆ พอยกเท้าจะก้าวก็ถูกป่ายเม่ยเซิงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

“ซาหมั่นเฉิง นี่มันเวลาอะไรแล้วยังมาพูดไร้สาระอยู่ ยังไม่รีบช่วยข้าแก้เชือกอีก”

ป่ายเม่ยเซิงหดหู่ใจมาก

เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม รูปร่างกำยำ แค่กะพริบตาก็สามารถทำให้หญิงสาวหมื่นพันคนหลงใหลได้

แม่สาวงามนั่นโหดร้ายเกินไป ปฏิบัติต่อนางอย่างนั้นมันช่างทำร้ายใจเขามาก

ซาหมั่นเฉิงคุณอาวัยกลางคนนั่นก็ไม่ได้จะไปหาช่างวาดมาจริงๆ ที่เขาพูดอย่างนั้นเพียงแค่อยากแกล้งป่ายเม่ยเซิงก็เท่านั้น

หลังจากแก้มัดให้ป่ายเม่ยเซิง เขาก็ถามนิ่งๆว่า

“เรื่องเป็นยังไงบ้าง?”

เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา ป่ายเม่ยเซิงที่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความคับแค้นใจก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง

“ยังคงไม่ได้เบาะแสอะไร ตอนแรกจะไปที่ตำหนักนอนอ๋องเย่แต่กลับถูกเจอเสียก่อน”

ที่จริงไม่ได้เป็นแบบนั้น

ได้แต่พูดว่าทั้งหมดนี้เป็นเขาที่หาเอง

ตอนอยู่ที่จวนอ๋องเย่ เขาได้ยินองครักษ์ลาดตระเวนพูดอะไรสักอย่างว่าเจอคนที่วางยาแล้วทั้งยังจะส่งไปดูแสงอะไรสักอย่าง

ก็เกิดสงสัยจึงไปยังห้องโถง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นกับดัก……

น่าเกลียด!

แม่สาวงามนั่นก็ค่อนข้างเก่งทีเดียว

“อ๋องเย่อยู่ในตำหนักหรือไม่?”

“ไม่รู้”สถานที่พักของอ๋องเย่นั้นยากที่จะคิดมาโดยตลอด ครั้งนี้พวกเขาได้ยินข่าวคราวพูดว่าอ๋องเย่ออกไปสองสามวันไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง”

“ไปเถอะ! เจ้าของเรือมีคำสั่งว่าให้หยุดการกระทำทั้งหมดในเมืองหลวง”

“อ๊ะ?”ข่าวนี้ทำให้ป่ายเม่ยเซิงตกใจ

“ตราราชลัญจกรหยกปรากฏออกมาแล้ว!”

ตอนนี้ป่ายเม่ยเซิงเข้าใจแล้ว หลังจากที่เขาพยักหน้า ทั้งสองคนก็จากไปอย่างไว

หลังจากที่พวกเขาจากไปภายในรั้วกำแพงก็มีการเคลื่อนไหวพุ่งออกมากลางอากาศ

……

ณ ห้องโถง

จื่อซีคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ หลังจากที่เห็นฮัวหยู่อันเข้ามา ในที่สุดเขาก็โพล่งถามออกไป

“พระชายา ทำไมท่านถึงปล่อยคนเมื่อครู่นั้นไป?”

“เขาเป็นเพียงสมาชิกของเรือแห่งความสิ้นหวังก็เท่านั้นอีกอย่างคนที่วางยาพิษก็ไม่ใช่เขา”น้ำเสียงของหลานเยาเยามุ่งมั่น

เมื่อพูดถึงเรือใหญ่ลึกลับลำนั้นแม้กฎของประเทศก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ อีกอย่าง ดูจากภายนอกเย่แจ๋หยิ่งก็ดูเหมือนไม่เคยมีความแค้นกับเรือใหญ่ลำนั้น

แล้วนางจะเข้าไปยุ่งด้วยทำไม?

ได้ยินดังนั้น!

นัยน์ตาจื่อซีเป็นประกาย

พระชายาก็คือพระชายา ไม่เพียงแต่มีการรักษาที่สูงส่งสมองก็ยังฉลาดอีก

“แล้วคนที่วางยาพิษหล่ะ?”

หาคนที่วางยาพิษไม่เจอก็จะเป็นอันตรายที่แฝงอยู่

การปล่อยให้คุณหนูของตำหนักอื่นมาโดนยาพิษในจวนอ๋องเย่ เห็นได้ชัดว่าเป็นภัยต่อจวนอ๋องเย่ เพียงแค่หาคนวางยาพิษให้เจอทุกอย่างก็จะคลี่คลาย

ขณะนั้นเอง!

มีองครักษ์ลับนายหนึ่งมารายงานว่าจับสายลับผู้ที่ใช้โอกาสปนเข้ามาในตำหนักตอนคุณหนูแต่ละตำหนักพบปะเยี่ยมชมได้แล้ว

หลานเยาเยาสั่งให้คนพาพวกเขามาให้หมด หลังจากถามสองสามคำถามก็สั่งให้คนเล่นงานพวกเขาจากนั้นก็โยนออกไปข้างนอก

แม้ว่าเป็นสายสืบของใครก็ไม่ได้ถาม

หลานเยาเยาเงยหน้ามองสภาพอากาศ ถึงตอนนี้คุณหนูสี่จากตระกูลหลี่โดนพิษไปประมาณเกือบจะสองชั่วยามแล้ว

หลังจากเหลือบมองฮัวหยู่อันก็ลุกขึ้น

“ไปเถอะ! พวกเราไปหาคนวางยากัน”

ประโยคที่เอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเหมือนกับตอบคำถามของจื่อซีก่อนหน้านี้

เมื่อมาถึงห้องที่คุณหนูสี่จากตระกูลหลี่พักอยู่ หลานเยาเยาก็ถามองครักษ์คุมประตูว่า: “หลังจากที่คุณหนูสี่จากตระกูลหลี่ถูกจัดให้เข้ามา มีใครบ้างที่มาเยี่ยมนาง?”

“เรียนพระชายา ไม่มีขอรับ!”

“ไม่มี?”

“ขอรับ!”

นี่มันแปลก ทำไมไม่มีคนมาเยี่ยมนางหล่ะ?