ตอนที่ 177 ดังแล้ววุ่นวาย
“เสี่ยวเยาเยา เธอวาดเองเหรอ” พี่สะใภ้หกมีสีหน้าตะลึง
เธอรู้ว่ามู่เถาเยาวาดภาพเป็น เพราะหยวนเหยี่ยชอบอวดให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ฟัง แต่ไม่คิดว่ามู่เถาเยาจะวาดเก่งขนาดนี้!
ภาพวาดที่ทำให้จิตรกรชื่อดังอย่างพี่เขยห้ามองจนเหม่อลอยขนาดนี้ได้ ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดก็ยังรู้ว่าภาพวาดภาพนี้มีเทคนิคที่ลึกซึ้งคมคายขนาดไหน
เธออยู่สายวิทยาศาสตร์ ไม่ค่อยเข้าใจพวกศาสตร์สายศิลป์ รู้แค่ว่ามองไปมีความสวยหรือไม่สวย แต่มีดีที่ตรงไหนบ้างก็สาธยายออกมาไม่ถูก
“ค่ะ แค่วาดเล่นๆ”
“…”
“เสี่ยวเยาเยา ดูสีหน้าพี่เขยห้าสิ เหมือนที่พวกอาจารย์อาเล็กอ่านตำราโบราณไม่มีผิด มีเหรอที่วาดเล่นๆ จะทำให้พี่เขยห้ามองตาแทบถลนละสายตาออกจากภาพนี้ไม่ได้เลย”
มู่เถาเยา “…”
พี่สะใภ้หกช่างเปรียบเปรยได้สยดสยองจริงๆ…
“เสี่ยวเยาเยา ทำไมเธอเก่งขนาดนี้ ทำเป็นทุกอย่าง!”
“พอได้ค่ะ ก็แค่ทำเล่นๆ” สิ่งที่ทำให้เธอตั้งใจศึกษาได้ก็มีแค่ด้านวิทยาศาสตร์
พี่เขยห้าถูกคำว่า ‘ทำเล่นๆ’ สะกิดใจจนดึงสติกลับมา
“เสี่ยวเยาเยา เธอต้องให้เกียรติศิลปะนะ!”
มู่เถาเยา “…”
ดูเหมือนช่วงนี้เธอจะถูกสั่งสอนบ่อยแฮะ
“เสี่ยวเยาเยา ปรมาจารย์ท่านไหนสอนเธอวาดภาพเหรอ พี่เห็นภาพเขาหิมะนี้ดูมีเอกลักษณ์มาก ไม่เหมือนฝีมือของจิตรกรชื่อดังคนไหนเลย”
“ไม่มีใครสอนค่ะ ฉันวาดเล่นๆ ของฉันเอง”
“ภาพนี้ลงลายเส้นที่หนัก มีความพลิ้วไหว อีกทั้งยังลงรายละเอียด ผสมผสานกลมกลืนกลายเป็นความลงตัว เสี่ยวเยาเยา รู้หรือเปล่าถ้าเปิดเผยภาพนี้ออกไปจะต้องสะเทือนไปทั้งวงการศิลปะแน่!”
ดังนั้นเธอจะพูดเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่ได้!
พี่เขยห้าอยากกระอักเลือด
เขาเริ่มหัดวาดภาพตั้งแต่ห้าขวบ อายุสิบห้าเริ่มมีชื่อเสียงก็ถูกปรมาจารย์ชื่อดังด้านภาพวาดสีน้ำมันของประเทศเหยียนหวงรับไว้เป็นศิษย์ อายุสามสิบโด่งดังไปทั่ววงการศิลปะระดับโลก อายุสี่สิบกลายเป็นจิตรกรผู้ประสบความสำเร็จตลอดกาลที่มีผลงานจัดแสดงในหอศิลป์ต่างๆ ทั่วโลก…
แต่เสี่ยวเยาเยาเพิ่งอายุสิบแปด อีกทั้งไม่มีอาจารย์ชื่อดังชี้แนะ ยังวาดได้ไม่ด้อยไปกว่าเขา!
มันช่างสะเทือนใจยิ่งนัก!
แต่เขาก็ดีใจมาก!
เหมือนได้เห็นลูกตัวเองได้ดีกว่า
เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ!
“อ๋า ฉันไม่เอาไปจัดแสดงหรอกค่ะ แขวนไว้บ้านดูเองก็พอ”
ไม่อยากทำวงการสั่นสะเทือน
ดังแล้วยุ่งยาก
พี่สะใภ้หกเอามือลูบผมดำสลวยของมู่เถาเยาที่ยาวถึงเอวพลางพูดด้วยความเอ็นดู “เสี่ยวเยาเยา เธอมีความสามารถที่เยี่ยมยอดกี่อย่างกันแน่นะ เซอร์ไพรส์พวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า!”
“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ”
พี่เขยห้าดึงมู่เถาเยาไว้ อยากให้เธอพูดคุยเรื่องเทคนิคการวาดภาพ
แต่มู่เถาเยามีเทคนิคอะไรที่ไหนกัน เธอแค่วาดเล่นจริงๆ
แต่วิธีการวาดของเธอก็แตกต่างจากยุคปัจจุบัน อารมณ์ความรู้สึกตอนวาดก็ต่างกัน
สิ่งที่เธอเห็นคือทิวทัศน์ของยุคปัจจุบัน แต่ขณะวาดเธอกลับนึกถึงแผ่นดินจงโจวราชวงศ์เทียนเย่ว์
เมืองปิงหยวนที่เธอกับท่านน้าถ่ายทอดออกมาก็เป็นภาพวาดที่สวยงามแบบนี้
พี่สะใภ้หก “เสี่ยวเยาเยา เห็นในห้องหนังสือมีพิณโบราณ เธอก็เล่นเป็นด้วยหรือเปล่า”
“เป็นนิดหน่อยค่ะ”
“งั้นสักเพลงไหม”
“ได้ค่ะ งั้นเอาเพลงที่เข้ากับภาพเขาหิมะนี้แล้วกัน”
พี่สะใภ้หก “…”
แบบนี้ไม่ใช่แค่เป็นนิดหน่อย แต่แต่งเพลงเองได้ตลอดเวลาหรือเปล่า
เดิมทีเธอคิดว่าเสี่ยวเยาเยาจะเล่นเพลงที่มีอยู่ก่อนแล้ว ปรากฏว่า…สร้างเซอร์ไพรส์อีกแล้ว!
เสี่ยวเยาเยาเก่งมากจริงๆ!
มู่เถาเยาเดินไปนั่งลงตรงหน้าพิณโบราณ
อาหญิงของเธอให้พิณโบราณตัวนี้มา
พอเห็นมันเธอก็จะนึกถึงสมัยเด็กๆ เมื่อชาติก่อน ตอนฝึกเล่นพิณเธอมักนั่งไม่ติดที่…
มู่เถาเยาเอานิ้ววางบนสายพิณ มองภาพวาดเขาหิมะที่แขวนอยู่บนผนัง สองมือเริ่มดีดพิณ
เสียงพิณอันไพเราะเสนาะหูเริ่มบรรเลงโดยนิ้วเรียวยาวทั้งสิบ
คนอื่นๆ ที่อ่านหนังสืออยู่อดเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้
ท่ามกลางเสียงพิณบรรเลง พวกเขาเหมือนเห็นภูเขาหิมะลูกใหญ่ ตัดกับท้องฟ้าสีครามที่ไร้เมฆขาว ราวกับนางสวรรค์ที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง
แสงแดดอันร้อนแรงสาดส่อง สะท้อนชวนแสบตา
หิมะที่ละลายไหลสู่ลำธารเล็กๆ
ทุ่งหญ้าถูกลำธารแบ่งออกเป็นสองฝั่ง มีดอกไม้ป่าหลากสีสันประดับปะปน
วัวแพะอยู่รวมเป็นฝูง กินหญ้ากันอย่างไม่รีบร้อน
ทันใดนั้นท่วงทำนองก็เปลี่ยนไป
มีม้าสูงใหญ่สองตัววิ่งมาจากไกลๆ บนหลังม้ามีผู้ชายวัยกลางคนกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
เสียงหัวเราะสดใสดุจเสียงระฆังของเด็กผู้หญิงดังไปทั่วทุกซอกมุมของทุ่งหญ้าแห่งนี้…
คนฟังเคลิบเคลิ้ม คนเล่นดื่มด่ำ
มู่เถาเยากำลังจินตนาการว่าตัวเองขี่ม้าอยู่ในทุ่งหญ้ากับท่านน้า
นี่เป็นคำสัญญาที่ท่านน้ารับปากเธอว่าจะพาไปเที่ยว แต่กลับทำไม่สำเร็จ
สุดท้ายก็กลายเป็นความปรารถนาที่สุดแสนจะเรียบง่ายแต่เป็นจริงได้ยากของเธอ
มู่เถาเยาเริ่มรู้สึกเศร้า จึงดึงตัวเองกลับมาจากเมื่อชาติก่อน กลัวพวกอาจารย์อาเล็กจับสังเกตได้แล้วจะพากันเป็นห่วง
บทเพลงประกอบเขาหิมะจบลง
พี่สะใภ้หก “เสี่ยวเยาเยา บทเพลงไพเราะขนาดนี้ ทำไมพี่ถึงรู้สึกอยากร้องไห้ล่ะ”
ศิษย์พี่หญิงห้า “พี่ก็เหมือนกัน”
มู่เถาเยา “…”
อาจเพราะแต่ละคนจะรู้สึกได้ง่ายๆ ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของคนที่ตัวเองแคร์
ต่อไปเธอต้องเก็บซ่อนให้ดีหน่อย
“อาจารย์ปู่…อาจารย์อาห้า…อาจารย์อาหก…อาจารย์อาเล็ก กินข้าวได้แล้วครับ”
เฉิงอันนั่วมาเรียกทุกคน
มู่เถาเยา “ได้ พวกเราลงไปกินข้าวก่อนดีกว่าค่ะ จะให้ศิษย์พี่หญิงห้าหิวไม่ได้”
อาจารย์อาเล็ก เฉิงหราน และศิษย์พี่หญิงห้าต่างวางหนังสือลงอย่างอาลัยอาวรณ์
“เดี๋ยวเอากลับไปอ่านก็ได้ค่ะ” มู่เถาเยารู้สึกไม่เข้าใจพวกเขาเลยจริงๆ
หนังสือไม่ได้หนีไปไหน สีหน้าอาลัยอาวรณ์แบบนี้มันดูซื่อบื้อไปหน่อยจริงๆ นะ!
ศิษย์พี่หญิงห้า “เสี่ยวเยาเยา อาจารย์ยังไม่รู้เรื่องหนังสือพวกนี้ใช่ไหม”
“ยังไม่ได้บอกค่ะ”
อาจารย์จะทิ้งพวกคนที่ฝึกพิเศษแล้วหนีมาไม่ได้ ถ้ารู้จะต้องกระวนกระวายใจแน่นอน
“งั้นก็รอสุดสัปดาห์หน้าอาจารย์มาแล้วค่อยบอกนะ”
เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่หกก็รู้นิสัยของอาจารย์ตัวเองดี
“ค่ะ”
อาจารย์อาเล็ก “เจ้าห้า เจ้าหก พวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะเอาหนังสือไปเก็บไว้ที่หมู่บ้านเถาหยวน ระหว่างนี้แต่ละคนก็หยิบไปคนละเล่มแล้วถ่ายเนื้อหาไว้ ทำเป็นฉบับคัดลอก แลกเปลี่ยนกันอ่าน”
ศิษย์พี่หญิงห้ากับศิษย์พี่หกต่างไม่คัดค้าน
“เจ้าห้าร่างกายไม่อำนวย ไม่ต้องทำหรอก ไว้พวกเราทำเสร็จแล้วจะเอาให้อ่าน”
พี่เขยห้า “อาจารย์อาเล็กครับ ผมช่วยอาหลินทำเองครับ ให้เธอคอยดูอยู่ข้างๆ รับรองไม่ทำผิดแน่”
“ก็ได้”
ทุกคนไปที่ห้องกินข้าว ปาอินกับเหลียงจีตักข้าวกับน้ำแกงไว้ให้ทุกคนแล้ว
มู่เถาเยาทำจมูกฟุดฟิด “อื๊อ หอมจัง!”
ปาอินเชิดหน้าเล็กน้อย “เสี่ยวเยาเยา ก็บอกแล้วว่าให้ฉันมาอยู่ด้วย ฉันจะได้ทำกับข้าวให้กิน”
ดูสิ น้ำลายสอแล้ว!
เหลียงจียิ้มให้เธอ “มีพี่ก็พอแล้ว เธอตั้งใจเรียนไปเถอะ”
“แต่ว่าพี่เหลียงจีทำอร่อยไม่เท่าฉัน”
เหลียงจี “…” เถียงไม่ออกเลย!
ใครใช้ให้เธอเรียนกับกุ๊กเทวดาอันดับหนึ่งได้แค่ระยะหนึ่งเองล่ะ แถมเธอก็ไม่มีคุณยายที่เป็นกุ๊กเทวดาอันดับสองสอนมาแต่เล็กจนโต
มู่เถาเยา “เสี่ยวอิน เธอต้องเอาเรื่องเรียนเป็นหลักนะ”
เธอไม่อยากให้ทุกคนเอาเธอมาเป็นที่หนึ่งทุกเรื่อง
แต่ละคนควรเอาตัวเองเป็นหลัก
“ก็ได้ เชื่อฟังเสี่ยวเยาเยา”
“อืม กินข้าวเถอะ อย่าทำของอร่อยเสียของ”