ตอนที่ 191 ความมุ่งมั่น

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 191 ความมุ่งมั่น

ฮ่องเต้ทรงโกรธ องค์ชายใหญ่อกสั่นขวัญแขวน

เขาคิดว่าตนเองพูดเรื่องใดผิดไป จึงคุกเข่าลง

“กระหม่อมมีความผิด กระหม่อมมีความผิด!”

“เจ้ามีความผิดใดกัน ข้าต่างหากที่ผิด!”

ภายใต้ความโกรธ ฮ่องเต้หย่งไท่จึงยกเท้าถีบองค์ชายใหญ่เซียวเฉิงเย่จนล้มลง

ทั้งวันรู้จักแต่คุกเข่า ไม่รู้จักพูดจาที่มีประโยชน์เสียบ้าง

เซียวเฉิงเย่ยิ่งตกใจ เสด็จพ่อจะลงโทษเขา!

“ฮือๆๆ …”

เขาปล่อยเสียงร้องไห้ออกมา “กระหม่อมไร้ความสามารถ! กระหม่อมไม่อาจแบ่งปันความทุกข์ของเสด็จพ่อ กระหม่อมไร้ความสามารถ!”

ไร้ความสามารถเสียจริง

ฮ่องเต้หย่งไท่ฟังเสียงร้องไห้ของเขาจนในหูมีแต่เสียงอื้ออึง น่ารำคาญยิ่งนัก

เวลานี้สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่การคุกเข่าร้องไห้ หากแต่เป็นวิธีการที่สามารถดำเนินการได้ ข้อมูลอย่างละเอียดว่าพื้นที่ภัยแล้งกว้างใหญ่เพียงใด เสียหายหนักหนาสาหัสเพียงใด ขุนนางด้านล่างกำลังทำอันใด เหตุใดจึงไม่มีฎีกาทูลถวายภัยแล้งแม้แต่ฉบับเดียว

รวมทั้งการเพาะปลูกในปีนี้สามารถกอบกู้ได้หรือไม่ สามารถเพาะปลูกเพิ่มได้หรือไม่

องค์ชายใหญ่ยิ่งร้องไห้ ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ่งโมโห

เขาตะโกนด้วยความโกรธ “หุบปาก!”

องค์ชายใหญ่เซียวเฉิงเย่ปิดปาก สะอึกสะอื้นอย่างระมัดระวัง

ฮ่องเต้หย่งไท่ทำหน้าบึ้ง ถามด้วยความโกรธ “แผ่นดินประสบภัยแล้ง สถานการณ์เป็นอย่างไร เจ้ามีวิธีรับมือหรือไม่”

เซียวเฉิงเย่ฉงนเล็กน้อย เขารีบในการสร้างภาพลักษณ์ แต่สถานการณ์อย่างละเอียดยังไม่ทันได้เข้าใจ

อีกทั้งที่ปรึกษาข้างกายก็ไม่รู้สถานการณ์ภัยแล้งในท้องถิ่นมากนัก ไม่ได้เดินทางไปสำรวจด้วยตนเอง

ที่ปรึกษารับรู้เรื่องภัยแล้งในปีนี้จากจดหมายของคนบ้านเดียวกัน หรือจากจดหมายของสหายที่ร่ำเรียนด้วยกันมา

ฮ่องเต้หย่งไท่เห็นเขาไม่ตอบ จึงรู้ว่าเขาไม่รู้เรื่อง ถามไปก็เปล่าประโยชน์

เขาโบกมือให้บุตรชายคนโตออกไป

ไม่โทษเขาที่รู้สึกผิดหวังต่อบุตรชายคนโต เขาอายุไม่น้อย แต่ทำงานอย่างไร้ระเบียบแบบแผน

หลายปีนี้มีการพัฒนาอยู่บ้าง แต่ก็ต่ำกว่าที่คาดหวังไว้อย่างมาก

เพียงแต่คิดว่าจะแสดงตัวอย่างไร เสนอหน้าอย่างไร ไม่มีความอดทนและความมุ่งมั่นที่จะลงมือทำงานอย่างแท้จริง

เซียวเฉิงเย่รู้สึกไม่เป็นธรรมเล็กน้อย เขาตั้งใจวิ่งเข้ามาทูลรายงานข่าวในวัง ไม่ได้รับการชื่นชมแล้ว ยังต้องถูกรังเกียจอีก

เขาถอยออกจากตำหนักซิงชิ่งอย่างสลด จากนั้นแอบพึมพำ “เสด็จพ่อนับวันยิ่งปรนนิบัติยาก”

ออกจากวัง กลับจวน

เขาก็อดพร่ำบนต่อหน้าที่ปรึกษาไม่ได้ โนเวล-พีดีเอฟ

ที่ปรึกษาสำนึกผิดว่าไม่ได้เตรียมการให้พร้อม รายงานไม่สมบูรณ์

ก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะซักถามสถานการณ์อย่างละเอียดต่อองค์ชายแทนที่จะเรียกขุนนางมาทำความเข้าใจสถานการณ์

อย่างไรแล้ว ที่ปรึกษารับความผิดทั้งหมดไว้ที่ตัวเอง

องค์ชายใหญ่…

องค์ชายใหญ่ย่อมไม่มีความผิด

องค์ชายใหญ่ทรงพระปรีชาสามารถ เป็นโอรสแห่งสวรรค์ ย่อมสามารถสืบทอดราชบัลลังก์ กลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ได้

นี่คือสิ่งใด

นี่คือการฝึกฝนตัวเองในฐานะที่ปรึกษา

ต้องกินข้าว!

กินข้าวขององค์ชายใหญ่ย่อมต้องแบกรับความผิดแทนองค์ชายใหญ่ เยินยอองค์ชายใหญ่

นี่คือจรรยาบรรณของที่ปรึกษา แพะรับบาปแต่กำเนิด

ทำได้เพียงบอกว่าอาชีพที่ปรึกษานี้ยากลำบาก

เงินหายาก

แน่นอน มันเกี่ยวข้องกับระดับของที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่ไม่สูง

ที่ปรึกษาที่มีระดับจริงไม่มีทางเป็นที่ปรึกษาให้องค์ชายใหญ่ เขายอมไปอยู่ในตระกูลใหญ่ ก็ไม่ยอมกินข้าวที่เหม็นเน่าชามนี้

องค์ชายใหญ่เซียวเฉิงเย่ประสบเรื่องที่ไม่ราบรื่น ดังนั้นจึงเริ่มทำตัวเป็นเต่าหดหัว ไม่อยากจะใช้ภัยแล้งมาเสนอหน้า

องค์ชายอื่นเห็นความอับอายของเขา ลับหลังล้วนบอกว่าเขาเป็นคนโง่เขลา

องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวิน “…”

ไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะรีบร้อนเพียงนี้!

การให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์โตให้ความกล้าและความมั่นใจที่ไร้ขีดจำกัดแก่เขาเสียจริง

เสียดายความกล้าและความมั่นใจของพี่ใหญ่ล้วนเป็นแค่ฟองสบู่ เพียงแค่จิ้มก็สลาย ไม่ทนต่อการทุบตี

ฮ่องเต้หย่งไท่รังเกียจบุตรชายคนโตอย่างมาก แต่ว่าเวลานี้เขาไม่มีเวลาไปรังเกียจบุตรชาย

เขากังวลสถานการณ์ภัยแล้งอย่างมาก

เขารับสั่งให้องครักษ์จินอู่ออกสำรวจ รับสั่งให้องครักษ์ซิ่วอีออกเดินทางไปตรวจดูสถานการณ์

เรียกอัครมหาเสนบดี มหาเสนา ขุนนางหลักของแต่ละสำนักหยาเหมินเข้ามาหารือ

ภัยแล้งทั่วแผ่นดิน แต่ไม่มีผู้ใดทูลรายงาน มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือ

“…ทุกท่านเป็นคนที่มีแต่ตำแหน่งอย่างนั้นหรือ หากไม่อาจรับผิดชอบได้ก็บอกมา บนแผ่นดินยังมีคนที่มีความสามารถรอคอยทดแทนตำแหน่งของพวกท่าน”

“ฝ่าบาทโปรดทรงอภัย!”

“พอ! ไม่ต้องพูดมาก! ข้าจะถามเพียง ผู้ใดรู้สถานการณ์ละเอียดของภัยแล้งบ้าง ผู้ใดมีวิธีการช่วยเหลือบ้าง ล้วนไม่มี! ออกไป! สามวันหลังจากนี้ หากยังไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหา เมื่อถึงเวลาข้าจะปลดหมวกและชุดขุนนางของพวกท่านเอง”

ฮ่องเต้หย่งไท่ระบายอารมณ์แล้ว แต่ไฟโกรธก็ยังไม่สงบลงแม้แต่น้อย

กลับไปถึงตำหนักบรรทม เขาเขวี้ยงสิ่งของที่วางไว้เกือบครึ่งห้อง

ซุนปังเหนียน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขันทีประตูเหลืองคนอื่น แต่ละคนตัวสั่นเทาเหมือนนกกระทา เจ็บใจเพียงภายในตำหนักใหญ่ไม่มีรอยร้าวบนพื้นให้พวกเขามุดลงไป

หลังจากเขวี้ยงของมาครึ่งห้อง ในที่สุดอารมณ์ของฮ่องเต้หย่งไท่ก็ราบรื่นขึ้น

เขาหอบหายใจพลันล้มลงบนเตียงด้วยท่าทางกึ่งนอน สีหน้าของเขาดำทะมึน

ซุนปังเหนียนถวายน้ำชาที่อุ่นกำลังพอดี “ฝ่าบาททรงระงับความโกรธ เสวยชาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“ฮึ!”

ฮ่องเต้หย่งไท่ส่งเสียงไม่พอใจ “ล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางชั่วช้า ภัยแล้งเช่นนี้กลับไม่มีผู้ใดรายงานขึ้นมา องครักษ์จินอู่กับองครักษ์ซิ่วอีกำลังทำอันใดกัน มีแต่พวกไร้ความสามารถ”

ซุนปังเหนียนพูดแทนองครักษ์ทั้งสองหน่วย “องครักษ์จินอู่จับจ้องขุนนางในราชสำนักเป็นหลัก สัมผัสกับการดำรงชีวิตของสามัญชนน้อยมาก องครักษ์ซิ่วอีดูแลความปลอดภัยของเมืองหลวง พื้นที่อื่นนอกเหนือจากเมืองหลวงย่อมไม่อาจเอื้อมถึง”

“ฮึ! อย่าได้แก้ต่างแทนพวกเขา ล้วนแล้วแต่เป็นพวกไร้ความสามารถ”

หลังจากต่อว่าเสร็จ ฮ่องเต้หย่งไท่จึงรับถ้วยชาไปดื่มจนหมด

ซุนปังเหนียนถวายชาใหม่อีกถ้วย

ฮ่องเต้หย่งไท่รับสั่ง “เรียกหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ หัวหน้ากรมคลังเข้าเฝ้า!”

เขาต้องรู้ก่อนว่าสองสำนักหยาเหมินนี้ยังมีเสบียงคงคลังเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พอช่วยเหลือภัยแล้งหรือไม่

หากเสบียงไม่พอควรจะทำอย่างไร

เถาฮองเฮากำลังเสวยนมตุ๋นใส่ไข่อย่างเชื่องช้า บนใบหน้าเปื้อนยิ้มอบอุ่น

“ฮองเฮา รสชาติเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาแสดงสีหน้าห่วงใย

เถาฮองเฮาตอบ “รสชาติไม่เลว ตักให้ท่านชามหนึ่ง?”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาโบกมือระรัว “กระหม่อมคงไม่ต้อง ขอบพระทัยฮองเฮา”

เถาฮองเฮาเหลือบมองเขา “เรื่องที่ให้ท่านสืบเป็นอย่างไรบ้าง”

“มีข่าวแล้ว ปีนี้ยากลำบากมาก ไม่เพียงนครบาลแห้งแล้ง ทางตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำชิงโจว ปิ้งโจว อี้โจว…พื้นที่จำนวนมากปรากฏภัยแล้งแล้ว พื้นที่ที่มีแหล่งน้ำเพียงพอสถานการณ์ยังดี พื้นที่ที่มีแหล่งน้ำไม่พอสถานการณ์แย่มาก หากภัยแล้งไม่ได้รับการบรรเทา ปีนี้ย่อมมีคนจำนวนมากไม่มีผลประกอบการ ทำได้เพียงขายบุตร”

“อ่อ!”

เถาฮองเฮาไม่คัดค้าน “แผ่นดินเกิดภัยแล้ง ตระกูลเถาสามารถใช้โอกาสนี้กว้านซื้อที่ดินในราคาต่ำ ชดเชยความเสียหายเมื่อสองปีก่อน”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาหัวเราะ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น! เพียงแต่ภัยแล้งที่ใหญ่เพียงนี้ ราชสำนักมีความสามารถในการช่วยเหลือหรือ กระหม่อมกังวลว่าจะเกิดการจลาจล”

เถาฮองเฮาหัวเราะ “เกิดจลาจลแล้วอย่างไร ทุกปีย่อมต้องเกิดการจลาจล มีกองทัพเหนือและกองทัพใต้อยู่ การจลาจลก็เป็นเพียงแค่ความวุ่นวายเล็กน้อย เมื่อสองกองทัพเคลื่อนไหว พวกเขาก็แหลกสลายเหมือนฝุ่นผงในชั่วพริบตา”

“ฮองเฮาตรัสได้ถูกต้อง! เพียงแค่จลาจล มีกองทัพเหนือและกองทัพใต้อยู่ การจลาจลก็ไม่เกิดขึ้น เพียงชั่วพริบตาก็ถูกดับสลาย”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาวางใจยิ่งขึ้น

เพียงแค่แผ่นดินไม่เกิดความวุ่นวาย ตระกูลเถาก็สามารถใช้โอกาสนี้แสวงหาเงินที่สูญเสียไปก่อนหน้านั้นกลับมา

เขายังพูดอีกว่า “กระหม่อมกักตุนเสบียงไว้จำนวนมากแล้ว รอราคาขึ้นต่อเนื่อง ค่อยวางขายออกไป”

เถาฮองเฮากำชับเขา “ฝ่าบาททรงกำลังวุ่นวายกับการช่วยเหลือภัยแล้ง คลังในเมืองหลวงและสำนักเซ่าฝู่ย่อมไม่มีเสบียงที่เพียงพอ เสบียงในมือท่านอย่าได้เอาออกมาในเวลานี้ ระวังฝ่าบาททรงจับจ้อง รอผู้อื่นเริ่มวางขายเสบียง ท่านค่อยนำออกมา จำไว้ อย่าได้เป็นผู้ริเริ่ม ได้กำไรน้อยไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือต้องรักษาชีวิตเอาไว้ อย่าได้ถูกฝ่าบาททรงจับได้”

“ฮองเฮาวางใจ กระหม่อมรู้ว่าต้องทำอย่างไร! ย่อมไม่ให้ฮ่องเต้ทรงจับผิดได้”

เถาฮองเฮาได้ยินจึงยิ้มเสียดสี “หากฝ่าบาททรงต้องการจัดการตระกูลเถาไม่จำเป็นต้องมีความผิด เพียงแค่โทษที่ไร้เหตุผลก็สามารถประหารท่านได้! อย่าลืมบทเรียนของท่านพ่อ”

เมื่อเอ่ยถึงท่านผู้เฒ่าตระกูลเถาที่เสียชีวิตไปแล้ว พี่น้องสองคนต่างเงียบลง

การตายของท่านผู้เฒ่าตระกูลเถาไม่มีความผิด เพียงแค่คำว่าขุนนางสำคัญของแผ่นดินก็คร่าชีวิตของเขาไป

เถาฮองเฮาส่งเสียงไม่พอใจ “ภัยแล้งร้ายแรงเพียงนี้ หากกินเวลาสั้นย่อมไม่เป็นอันใด หากกินเวลาหนึ่งปีหรือสองปี เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงกลุ้มจนบรรทมไม่ได้ ถึงแม้การจลาจลของสามัญชนไม่สำคัญ แต่ก็ทำให้การเก็บส่วยราชสำนักล่าช้า ทำให้ราชสำนักมีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย”

“ฮองเฮาทรงหมายความว่าอย่างไร”

เถาฮองเฮากดเสียงต่ำลง พูดด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงแค่สองคน “เตรียมการให้เร็ว! เวลาที่จำเป็น ข้าก็สามารถใจร้ายได้”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาใจเต้นระรัว…น่ากลัวเหลือเกิน

สีหน้าของเขาซีดเผือดเพราะความอกสั่นขวัญแขวน “ฮองเฮาคิดจะเดินไปถึงก้าวนั้นจริงหรือ”

“หากฝ่าบาททรงแต่งตั้งเจ้าสามเป็นองค์รัชทายาทในเร็ววันย่อมไม่ต้องเดินไปถึงก้าวนั้น”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถายังไม่ทันได้โล่งใจ ก็ได้ยินเถาฮองเฮาพูดขึ้นอีกครั้ง “แต่ดูจากการกระทำของฝ่าบาทที่นับวันยิ่งไร้เยื่อใย ไม่แน่ว่าวันใด พระองค์จะออกรับสั่งเอาชีวิตของข้า”

“เป็นไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาปากแห้ง ภายในใจทั้งกังวลทั้งตื่นเต้น ร่างกายของเขากำลังสั่นเทา

เถาฮองเฮาทำหน้าบึ้ง “แน่นอน เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นการคาดเดาของข้า ท่านต้องสนใจข่าวของแผ่นดินอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งมารายงานข้าให้ทัน อย่ารอจนเกิดความวุ่นวายในพื้นที่ สั่นคลอนมาถึงราชสำนัก ข่าวของข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ท่านต้องส่งข่าวเข้ามาในวังก่อนราชสำนักให้ได้”

นายท่านใหญ่ตระกูลเถาพยักหน้าระรัว “คนของพวกเราแพร่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ผ่านการค้าขาย สำนักหยาเหมินในท้องที่บางแห่งก็มีคนของพวกเรา”

“เช่นนี้ย่อมดี! อย่ากลัวที่จะเสียเงิน ไม่มีเงินก็หาทางหาเงิน”

มุมปากของนายท่านใหญ่ตระกูลเถากระตุก เขาคิดในใจ ไม่มีเงินก็หาทางหาเงิน พูดง่าย โชคดีที่คราวนี้เกิดภัยแล้งทั่วแผ่นดิน สามารถหาเงินได้ง่าย

เมื่อหารือเรื่องสำคัญเสร็จสิ้น เถาฮองเฮาก็ส่งนายท่านใหญ่ตระกูลเถาออกไป

นางเอนกายพักผ่อนอยู่บนเตียงหลัวฮั่น

เหมาเส้าเจี้ยนปรนนิบัติอยู่ข้างกาย เขาถามขึ้นเสียงเบา “ฮองเฮา ต้องเชิญองค์ชายสองเข้ามาหารือหรือไม่ องค์ชายสองทรงมีความคิดไม่ธรรมดา อาจมีหนทางอื่น”

เถาฮองเฮาส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า “ไม่เรียกเขา ไปเรียกเจ้าสามเข้ามา ข้าไม่อาจพึ่งพาเจ้าสองคนเดียว สุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องอาศัยเจ้าสามประคองตระกูลเอาไว้”

“ฮองเฮาตรัสมีเหตุผล ควรให้โอกาสองค์ชายสามฝึกฝนมากยิ่งขึ้น”

องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ชอบเข้าวังอย่างมาก

เพราะว่าเขาเป็นเด็กที่โชคดีได้รับความโปรดปราน

คนอื่นเข้าวังล้วนกล้าๆ กลัวๆ

เขาเข้าวังเหมือนกลับบ้าน อิสระเสรีอย่างมาก

“ถวายบังคมเสด็จแม่! เสด็จแม่ทรงเป็นอย่างไรบ้าง”

เขากระปรี้กระเปร่าอย่างมาก เมื่อเดินทางมาถึงตำหนักเว่ยยางจึงถวายบังคมเสด็จแม่ก่อน

เถาฮองเฮายิ้มตาหยีด้วยความดีใจ “รีบเข้ามานั่งใกล้ๆ ให้ข้าดูหน่อย เจ้าผอมลง ระยะนี้งานยุ่งมากหรือ บ่าวรับใช้ปรนนิบัติอย่างไร ไม่ดูแลเจ้าให้ดี”

“เสด็จแม่ทรงระงับความโกรธ! ระยะนี้อากาศร้อน กระหม่อมจึงไม่อยากอาหารนัก ผอมลงกลับรู้สึกสบายตัวขึ้น”

เถาฮองเฮาถลึงตา พลันตำหนิ “ต้องระวังร่างกาย อย่าได้ชะล่าใจ”

“กระหม่อมเชื่อฟังเสด็จแม่”

เมื่อเทียบกับการหารือเรื่องสำคัญ เถาฮองเฮายิ่งสนใจสถานการณ์เรือนหลังของบุตรชายคนเล็กยิ่งกว่า

“ระยะนี้ภรรยาเจ้าไม่ได้ก่อเรื่องใช่หรือไม่”

เซียวเฉิงอี้ส่ายหน้า “ใกล้กำหนดคลอดแล้ว อารมณ์ของนางกลับมั่นคงมากขึ้น นางกำลังเตรียมตัว เพียงแค่ชุดของเด็ก นางก็จับตาดูสาวรับใช้ทำเป็นลังด้วยตนเอง”

เถาฮองเฮาพูดด้วยรอยยิ้ม “นางเข้าใจได้ก็ไม่เสียแรงที่ข้าเป็นห่วงนาง หากครรภ์นี้ได้บุตรชาย ข้าย่อมมีรางวัลให้”

เซียวเฉิงอี้กล่าวขอบพระทัยแทนจ้งซูอวิ้น “ขอบพระทัยเสด็จแม่! รอนางคลอดบุตร พักรักษาตัวแล้ว กระหม่อมจะนำนางเข้ามากราบขอบพระทัยเสด็จแม่ในวัง”

“เรื่องเหล่านี้ค่อยว่ากัน เวลานี้แผ่นดินเกิดภัยแล้ง เสด็จพ่อของเจ้าทรงกลุ้มพระทัยอย่างมาก เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

“กระหม่อมยินดีเดินทางไปช่วยเหลือภัยแล้งในพื้นที่”

เซียวเฉิงอี้พูดอย่างหนักแน่น

หางตาของเถาฮองเฮากระตุก อารมณ์ไม่ดีนัก

นางทำหน้าเคร่งขรึม “บุรุษไม่ยืนอยู่ใต้กำแพงที่กำลังจะล้ม เจ้าเข้าใจหรือไม่”

เซียวเฉิงอี้กลับพูด “แบ่งปันความทุกข์ของเสด็จพ่อเป็นหน้าที่ของกระหม่อม แผ่นดินเกิดภัยแล้ง แต่ไม่มีขุนนางแม้แต่คนเดียวถวายฎีกาทูลรายงานเรื่องนี้ กระหม่อมไม่เชื่อใจพวกเขา คิดว่าเสด็จพ่อก็ไม่เชื่อใจขุนนางเหล่านั้นเช่นเดียวกัน”

เถาฮองเฮาส่งเสียงไม่พอใจ “ภรรยาเจ้าใกล้คลอดแล้ว เวลานี้เจ้าออกไปช่วยเหลือภัยแล้ง ไม่เหมาะสม”

นางคัดค้านความเห็นของบุตรชายคนเล็กทันที

เซียวเฉิงอี้สลดเล็กน้อย แต่เขายังคงยืนกรานความคิดของตนเอง “ซูอวิ้นจะคลอดในไม่ช้า รอนางคลอดบุตรแล้ว กระหม่อมค่อยออกจากเมืองหลวงไปช่วยเหลือภัยแล้ง กระหม่อมเชื่อว่าเสด็จพ่อย่อมทรงเห็นด้วย”

“เหลวไหล! เจ้าเคยไปพื้นที่ประสบภัยหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพื้นที่ประสบภัยเป็นอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าระหว่างทางมีอันตรายมากน้อยเพียงใดรอเจ้าอยู่ ไม่เพียงมีความขัดแย้งของทางการ ยังมีโรคระบาดมากมาย หากเจ้าติดโรคระบาดขึ้นมา เจ้าต้องการให้ข้าร้องไห้จนตายหรือ”

พูดไปพูดมา เถาฮองเฮาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา

เซียวเฉิงอี้ฉงนเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติได้ “เสด็จแม่ทรงระงับความโกรธ! หากกระหม่อมออกจากเมืองหลวง กระหม่อมย่อมจะเตรียมตัวให้พร้อม จะนำยาและหมอหลวงไปด้วย เพียงแค่มีอาการปวดหัวตัวร้อน กระหม่อมจะไม่ฝืนเด็ดขาด”

เถาฮองเฮาพูดด้วยความโกรธ “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะออกจากเมืองหลวงใช่หรือไม่ เจ้ามีพี่น้องมากมาย องค์ชายมากมายเพียงนั้น ไม่มีผู้ใดยืนออกมาบอกว่าจะออกจากเมืองหลวงไปช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย เหตุใดเจ้าจึง…”

“เสด็จแม่ หากต้องการได้รับ ย่อมต้องสูญเสียก่อน อย่าคิดจะนั่งรอผลประโยชน์อย่างเดียว เกรงว่ากระหม่อมคงไม่มีโชคที่ดีถึงเพียงนั้น”

เซียวเฉิงอี้พูดด้วยความจริงจัง

เถาฮองเฮาผงะไป สุดท้ายก็ถอนหายใจ “เจ้าโตแล้ว รู้เรื่องแล้ว! เพียงแต่มันอันตรายเกินไป เจ้าสามารถอยู่แบ่งเบาความทุกข์ของเสด็จพ่อในเมืองหลวงได้”

“อยู่ในเมืองหลวงจะมีความดีความชอบเท่าออกจากเมืองหลวงไปช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยได้อย่างไร สิ่งที่กระหม่อมขาดแคลนในเวลานี้ความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ กระหม่อมไม่อยากหวังพึ่งผู้อื่นตลอดไป กระหม่อมอยากจะใช้ความพยายามของตนเองสร้างความดีความชอบนี้ขึ้นมา ขอเสด็จแม่โปรดอนุญาต”

เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว เถาฮองเฮาก็หมดหนทางคัดค้านอีก

นางถอนหายใจ “เอาเถิด เอาเถิด! ข้าเถียงสู้เจ้าไม่ได้”

———————————————-