ตอนที่ 192 ม้าพันลี้

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 192 ม้าพันลี้

ภัยพิบัติย่อมต้องช่วยเหลือ

แต่เสบียงมาจากที่ใด

เสบียงในสำนักเส้าฝู่และกรมคลังเหลือไม่เพียงพอ ทำให้ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงโกรธจนอาละวาดอีกรอบ

หากไม่ใช่เวลานี้ไม่เหมาะสมกับการเปลี่ยนคน ฮ่องเต้หย่งไท่ก็อยากจะปลดหัวหน้าสำนักเส้าฝู่และหัวหน้ากรมคลังทิ้ง เลือกผู้มีความสามารถอื่นมารับตำแหน่งแทนเสียจริง

ภัยพิบัติไม่อาจรอช้าได้

สิ่งสำคัญคือภัยพิบัตินับวันยิ่งร้ายแรง อีกทั้งยังกำลังขยายกว้างขึ้น

พื้นที่จำนวนมากตกอยู่ในสถานการณ์แห้งแล้ง บางพื้นที่ไม่มีฝนตกเป็นเดือน บางพื้นที่ไม่มีฝนตกมาครึ่งปี

ลำธารแห้งเหือดเป็นเรื่องปกติ

บ่อน้ำแห้งเหือดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่

ซึ่งหมายความว่าไม่เพียงการเพาะปลูกขาดแคลน้ำ แม้แต่น้ำดื่มของคนและสัตว์ก็ปรากฏสถานการณ์ขาดแคลน

ซึ่งมันสำคัญอย่างมาก

คนสามารถไม่กินข้าวหนึ่งวันได้ แต่ไม่อาจไม่ดื่มน้ำหนึ่งวันได้

หลังจากหารือในราชสำนักนับวันติดต่อกัน

ฮ่องเต้หย่งไท่บีบบังคับให้บรรดาขุนนางออกเสบียงออกเงินออกกำลังคนช่วยเหลือภัยพิบัติ

เพื่อบรรลุเป้าหมาย เขาไม่สนใจที่จะต้องประหารขุนนาง

เมื่อประหารขุนนางไปสามนาย ในที่สุดก็สามารถข่มความเห็นต่างของราชสำนักลงได้

ตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลออกเสบียงมุ่งหน้าไปช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยเหมือนตอนสงครามสยบเหล่าท่านอ๋องในเวลานั้น

ความคิดงดงามมาก แต่สามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกของตระกูลใหญ่ นอกจากนี้ยังต้องขึ้นอยู่กับคำสั่งของฮ่องเต้จะออกจากเมืองหลวงได้หรือไม่

อย่างไรแล้ว การออกเสบียงของตระกูลใหญ่เพื่อช่วยเหลือราชสำนักโจมตีเหล่าท่านอ๋องในคราวก่อนเพราะเกี่ยวเนื่องกับการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ดังนั้นบรรดาตระกูลใหญ่จึงยินยอมออกเสบียงด้วยความเต็มใจ

แต่คราวนี้ การออกเสบียงช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยไม่มีผลประโยชน์ต่อตระกูลใหญ่แม้แต่น้อย

การช่วยผู้ประสบภัยให้มีชีวิตย่อมกระทบต่อจำนวนที่ดินที่ตนเองจะกว้านซื้อในราคาต่ำ

จำนวนทาสย่อมได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ไม่มีผู้ใดยอมขายตัวเป็นทาส

การขายตัวเป็นทาสย่อมต้องเป็นทาสตลอดไป!

ทุกวันต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างจนฟ้ามืด กินไม่อิ่ม สวมใส่ไม่อุ่น แม้แต่หมูหมายังไม่อาจเทียบได้ หนึ่งปีสามร้อยหกสิบห้าวันไม่ได้พักผ่อน ทำงานจนถึงตาย

หากจะใช้การป่วย ฝนตกเป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงทำงาน ฝันไปเถิด!

ทาสนาไม่ใช่ทาสเรือ ไม่มีสิทธิไม่ทำงานเมื่อป่วยหรือฝนตก

เป็นทาสนาหนึ่งวัน ทั้งชีวิตย่อมตกเป็นทาสนา อย่าคิดจะหลุดพ้นจนตาย

ในมือของตระกูลใหญ่ครอบครองพื้นที่จำนวนมาก ต้องการคนปลูกที่จำนวนมาก

ใช้ทาสนาประหยัดค่าแรง

เพียงแค่ให้เสบียงจำนวนน้อยก็สามารถมีแรงงานที่ไม่ต้องเสียเงินได้

ถูกกว่าการใช้ควายไถนาเสียอีก

เพราะว่าควายกินมาก ต้องเลี้ยงให้โต อีกทั้งยังต้องมีคนดูแล ต้องมีแพทย์ดูแล…

คนเพียงแค่ต้องการอาหารเล็กน้อย แม้จะต้องทนหิวโหยก็สามารถทำงานได้

ทำไม่ไหวก็โบย!

ทำงานช้าก็โบย!

ทาสนาคนเดียวราคาถูกมาก ทำจนตายก็เสียเงินไปเพียงเล็กน้อย

คุ้มค่ายิ่งกว่าเลี้ยงควายเลี้ยงม้าทำงาน

ภัยพิบัติเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับตระกูลใหญ่

ผู้ประสบภัยตกอยู่ในขุมนรก ตระกูลใหญ่ยังต้องการเหยียบย่ำด้วยความโหดเหี้ยม

ดังนั้นการช่วยเหลือภัยพิบัติจึงไม่มีผลประโยชน์ต่อตระกูลใหญ่แม้แต่น้อย

ถึงแม้จะเกิดการจลาจลก็ไม่มีผลกระทบต่อพวกเขา

พวกเขามีกองกำลังส่วนตัว

ผู้ลี้ภัยที่ไร้กำลังก่อการจลาจลจะสู้ทหารได้อย่างไร

ตระกูลใหญ่ไม่สนใจผู้ประสบภัย

แต่ฮ่องเต้สนใจ!

แผ่นดินต้องการผู้ประสบภัยกลุ่มนี้มาประคองเอาไว้

จะเกิดความโกลาหลขึ้นไม่ได้เด็ดขาด

หากเกิดความโกลาหลขึ้นมา ตระกูลใหญ่ยังสามารถดำรงต่อไปได้

แต่แผ่นดินนี้อาจเปลี่ยนราชวงศ์ได้

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงรู้ว่าตระกูลใหญ่ไม่มีทางช่วยเหลือภัยพิบัติด้วยความจริงใจ แต่เขาหมดหนทาง เขาไม่อาจบีบบังคับขุนนางในราชสำนักโหดเกิดไป

ทำได้เพียงแค้นที่สำนักเส้าฝู่และกรมคลังไร้ความสามารถ ไม่มีเสบียงที่กักเก็บไว้เพียงพอ

หากมีเสบียงที่กักเก็บไว้เพียงพอ เขาย่อมไม่ต้องร้องขอจากผู้อื่น

ซุนปังเหนียนแอบเสนอ “ทรงส่งองครักษ์จินอู่ออกจากเมืองหลวงควบคุมบรรดาตระกูลใหญ่ช่วยเหลือภัยพิบัติดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากมีผู้ใดกล้าขัดขืนคำสั่ง ให้องครักษ์จินอู่จับกุมเอาไว้ ประหารทิ้งเสีย!”

วิธีนี้โหดเหี้ยมและสามารถข่มขวัญผู้คนได้

แต่…

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงไตร่ตรองอย่างละเอียด ก่อนจะส่ายหน้าคัดค้านข้อเสนอของซุนปังเหนียน “ไม่ได้! ข้าไม่อาจบีบบังคับพวกเขาเกินไป มิฉะนั้นหากพวกเขาร่วมมือกัน ข้าจะมีปัญหาใหญ่”

ซุนปังเหนียนแอบถอนหายใจ

ฝ่าบาทยังทรงขาดแคลนความโหด โดยเฉพาะเมื่อทรงเผชิญหน้ากับบรรดาตระกูลใหญ่

ฝ่าบาททรงโหดเหี้ยมเมื่อเผชิญหน้ากับบรรดาท่านอ๋อง

แต่เมื่อทรงเผชิญหน้ากับตระกูลใหญ่ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงหวาดกลัว ไม่กล้าลงมือประหาร

ซุนปังเหนียนพูดความกังวลของตนเองออกมา “กระหม่อมแค่กังวลว่าตระกูลใหญ่จะไม่เพียงไม่ช่วยเหลือภัยพิบัติ หากแต่ยังจะบีบบังคับให้สามัญชนขายบุตรหลาน กระหม่อมได้ยินว่าโรงแลกเงินบางแห่งขึ้นดอกเบี้ยสูงถึงแปดส่วนต่อเดือน อีกทั้งยังทบดอกเบี้ยราวกับปล้นเงิน”

สีหน้าของฮ่องเต้หย่งไท่ดำทะมึน

เขาไม่อาจได้ยินข่าวเช่นนี้ เมื่อใดที่ได้ยินก็ขุ่นเคือง แต่ก็ระบายออกมาไม่ได้

เขารู้จักเถ้าแก่ของโรงแลกเงินเหล่านั้นอย่างดี

แต่รู้จักแล้วจะทำอย่างไรได้ ถึงแม้เขาจะเป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่ง แต่ก็ไม่อาจแตะต้องโรงแลกเงินเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย

นอกจากเขาเตรียมพร้อมที่จะบาดหมางกับตระกูลใหญ่

เขากัดฟันกรอด แต่ไม่ตอบโต้

ซุนปังเหนียนแอบถอนหายใจ “ฝ่าบาท องครักษ์จินอู่ไม่อาจอยู่นิ่งได้”

“หุบปาก!”

ฮ่องเต้หย่งไท่ตวาดเสียงดัง “นอกจากให้องครักษ์จินอู่ออกจากเมืองหลวงไปสังหารผู้คน เจ้ายังมีวิธีใดอีก เวลานี้ต้องการคนช่วยเหลือภัยพิบัติ ไม่ใช่การสังหารคน”

“กระหม่อมสมควรตาย!”

ซุนปังเหนียนคุกเข่ายอมรับความผิดอยู่บนพื้น

เขาเองก็ร้อนใจ จึงได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา

หากเป็นวันอื่น เขาไม่มีทางพูดจาเช่นนี้ออกมา

หากบทสนทนาในวันนี้แพร่กระจายออกไป ตระกูลใหญ่ย่อมต้องสังหารเขาอย่างแน่นอน

บังอาจสนับสนุนให้ฮ่องเต้ส่งองครักษ์จินอู่สังหารผู้คน หากไม่ประหารย่อมไม่อาจสยบแผ่นดินได้

ฮ่องเต้หย่งไท่สูดลมหายใจเข้า “ลุกขึ้นเถิด! ต่อจากนี้อย่าได้พูดจาเหลวไหล! เรื่องการช่วยเหลือภัยพิบัติ ข้าย่อมมีแผนการ”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

หน้าผากของซุนปังเหนียนเต็มไปด้วยเหงื่อ

การหารือในเวลาต่อมาล้วนเป็นการยืดเยื้อไปเรื่อยเปื่อย

ทุกคนต่างบอกว่าจะช่วยเหลือภัยพิบัติ แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหว

ทุกคนต่างถ่วงเวลา ถ่วงจนไม่อาจถ่วงต่อไปได้

จ้งซูอวิ้นตบตีสาวรับใช่หนึ่ง จากนั้นเข้าห้องคลอดก่อนกำหนด

หลังจากทรมานมาหนึ่งวันหนึ่งคืน นางก็ให้กำเนิดบุตรชายสมดังปรารถนา

นางพึงพอใจอย่างมาก

องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ก็ยิ้มแย้มด้วยความดีใจ เขาส่งคนไปทูลรายงานในวังเป็นเวลาแรก

เมื่อเถาฮองเฮารู้ว่าจ้งซูอวิ้นให้กำเนิดบุตรชายก่อนเยียนอวิ๋นฉี นางก็ดีใจอย่างมาก พระราชทานของขวัญให้สิบกว่าคันรถ

มีทั้งสิ่งของที่ให้เด็ก มีทั้งสิ่งของที่ให้จ้งซูอวิ้น นอกจากนี้ยังมีรางวัลให้บุตรชายคนเล็ก เซียวเฉิงอี้

ฮ่องเต้หย่งไท่ก็พระราชทานรางวัลเช่นเดียวกัน

เพียงแต่เมื่อเทียบกับเถาฮองเฮา ฮ่องเต้หย่งไท่ตระหนี่อย่างเห็นได้ชัด

แม่กุญแจมงคลที่ทำจากทอง และเครื่องหยกอีกสองชิ้นเป็นรางวัลพระราชทานทั้งหมด

จ้งซูอวิ้นกลับดีใจอย่างมาก นางเก็บรางวัลของฮ่องเต้แทนบุตร

เซียวเฉิงอี้แอบพึมพำลับหลัง “เวลานี้เสด็จพ่อทรงยากจนอย่างมาก แม้แต่รางวัลพระราชทานยังตระหนี่เพียงนี้”

สวนดอกไม้จวนองค์ชายสอง

เยียนอวิ๋นเฟยถามน้องสอง เยียนอวิ๋นฉี “จ้งซูอวิ้นให้กำเนิดบุตรชายสำเร็จ น้องสองกังวลหรือไม่”

เยียนอวิ๋นฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่กังวล กลับกันข้าโล่งใจอย่างมาก นางได้บุตรชาย ข้าก็ไร้แรงกดดัน ครรภ์นี้ข้าได้บุตรชายหรือบุตรสาวย่อมได้”

“น้องสองมองทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็ใกล้ถึงกำหนดคลอดแล้วใช่หรือไม่”

“คำนวณจากเวลา ยังเหลืออีกเจ็ดแปดวัน”

เยียนอวิ๋นฉีลูบไล้หน้าท้องแผ่วเบา ตื่นเต้นเล็กน้อย

ตั้งครรภ์ครั้งแรก คลอดบุตรครั้งแรก เป็นมารดาครั้งแรก ทุกสิ่งล้วนแปลกใหม่ ย่อมต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา

นางกังวลเล็กน้อย “พี่ใหญ่ ท่านดูท้องของข้า มันใหญ่ไปหรือไม่ จะคลอดยากหรือไม่”

“อย่าได้พูดจาเหลวไหล ครรภ์ของเจ้าดีมาก ย่อมคลอดได้อย่างราบรื่น”

เยียนอวิ๋นเฟยตำหนิเสียงเบา หากแต่ทำให้จิตใจที่กระสับกระส่ายของเยียนอวิ๋นฉีสงบลง

นางหัวเราะออกมา “พวกเราสามพี่น้องรวมตัวในเมืองหลวงได้ อีกทั้งยังเป็นเวลานี้ ช่างเป็นเรื่องที่โชคดี รอจนพี่ใหญ่คลอดบุตร ข้าก็จะได้อุ้มหลานชายได้แล้ว”

เยียนอวิ๋นเฟยพูด “ครรภ์นี้ของข้าไม่รู้จะเป็นชายหรือเป็นหญิง”

“พี่ใหญ่ย่อมต้องได้บุตรชาย” เยียนอวิ๋นฉีจริงจังอย่างมาก

เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะขึ้นมา “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”

นางก็อยากได้บุตรชาย เพื่อแย่งชิงกับบุตรในตระกูลสือกลุ่มนั้น

มิฉะนั้นเพียงแค่มองดูบุตรชายกลุ่มนั้นอาละวาด แต่นางแทรกแซงไม่ได้ ช่างน่าเศร้าใจเสียจริง

เสียดายองครักษ์ห้าร้อยนายในมือของนาง

สิ่งสำคัญคือ หลังจากให้กำเนิดบุตรคนนี้ หากอยากตั้งครรภ์อีกครั้ง ไม่รู้ต้องรอถึงเวลาใด

นางถามเยียนอวิ๋นฉี “พระอาการประชวนขององค์ชายสองยังไม่ดีขึ้นหรือ”

เยียนอวิ๋นฉีส่ายหน้า “อากาศแห้งแล้ง เขารับไม่ไว้ รักษามาระยะหนึ่งแล้ว ทุกครั้งล้วนบรรเทาเพียงเล็กน้อย อีกไม่กี่วันก็รุนแรงขึ้น อากาศไม่ดีเอาเสียเลย”

เยียนอวิ๋นเฟยยิ้ม “มีคนอยากให้อากาศเช่นนี้คงอยู่ต่อไป ราชสำนักถกเถียงกันสั่นเรื่องช่วยเหลือภัยพิบัติ แต่องค์ชายสองไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เขาอดทนได้ดีเสียจริง”

เยียนอวิ๋นฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “เขามีจุดยืนอย่างมาก ทุกเรื่องก็มีแผนการไว้ก่อนแล้ว เขาไม่เคลื่อนไหวในเวลานี้ คงกำลังรอโอกาสที่เหมาะสม”

เยียนอวิ๋นเฟยพยักหน้า ประเมินอยู่ภายในใจ

อีกสองวัน บุตรของจ้งซูอวิ้นและองค์ชายสามเข้าพิธีสรงสาม นางย่อมต้องเดินทางไปถวายของขวัญ

เมื่อถึงเวลา นางจะได้พิจารณาองค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้

องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้สร้างความประหลาดใจ หรือความตกใจให้แก่ทุกคน

เมื่อถึงเวลาหารือในราชสำนัก เขาเสนอตัวว่าจะออกไปช่วยเหลือภัยพิบัตินอกเมืองหลวง

อ้างว่าแบ่งเบาความทุกข์ให้เสด็จพ่อและราชสำนัก

บรรดาขุนนางต่างตกตะลึงและสงสัย

บุรุษจะยืนอยู่ใต้กำแพงอันตรายได้อย่างไร

องค์ชายสามช่างเหลวไหล

เพื่อแย่งชิงความดีความชอบ ไม่สนใจแม้แต่ความอันตรายของตนเอง

เหลวไหล!

แต่ฮ่องเต้หย่งไท่ซาบซึ้งใจอย่างมาก

เขาพยุงเซียวเฉิงอี้ขึ้นมาด้วยตนเองต่อหน้าขุนนาง พลันพูดเสียงดัง “ม้าพันลี้ของข้า!”

คำว่าม้าพันลี้ทำให้บรรดาขุนนางเบิกตาโตด้วยความตกใจ

หมายความว่าอย่างไร

เหมือนที่พวกเขาคิดหรือไม่

ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นองค์รัชทายาทหรือ

ทุกคนต่างมองไปทางองค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ด้วยความตกตะลึง

หรือเขาจะเป็นคนที่ซ่อนเร้นความสามารถของตนเอง

ใช้วาจาไม่กี่คำก็ได้รับคำชมจากฝ่าบาทเพียงนี้ ร้ายกาจ!

คำว่าม้าพันลี้แทบจะเป็นตัวกำหนดสถานะครึ่งหนึ่งแล้ว

จิ๊ๆ…

ทุกคนต่างตกตะลึง แอบคิดว่าองค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้มีความสามารถ ไม่รู้มีผู้ใดชี้แนะอยู่เบื้องหลัง

แต่ไม่รู้ว่าองค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ก็ตกตะลึงด้วยความดีใจเช่นเดียวกัน

เขาตั้งใจจะออกไปช่วยเหลือภัยพิบัติ แต่ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับการตอบแทนที่ใหญ่เพียงใด

แต่ไม่คิดว่าจะมีความน่ายินดีอย่างไม่คาดคิด

คำว่าม้าพันลี้มีความหมายลึกล้ำ

เขาข่มความดีใจภายในใจเอาไว้ พูดอย่างจริงจัง “ข้าย่อมไม่ทำให้เสด็จพ่อทรงผิดหวัง”

“ดี ดี!”

ฮ่องเต้หย่งไท่พูดคำว่าดีติดต่อกันสามคำ เห็นได้ชัดว่าเขาตื้นตันเพียงใด

ในขณะที่ทุกคนต่างผลักภาระ บุตรชายของตนเองยืนออกมารับหน้าที่เอาไว้เอง เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร

———————————————-