บทที่ 143 เพื่อนเจ้าสาว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีตบไหล่ของเธอด้วยรอยยิ้ม“งั้นฉันจะรอดูคุณแย่งนะคะ”

พูดจบ วารุณีก็เดินผ่านเธอไป

เดินไปได้สองก้าว รอยยิ้มที่ใบหน้าวารุณีจึงค่อยๆหุบลง มีความกังวลอันเบาบางมาแทนที่

ตอนนี้ความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อนัทธี แสดงออกไปชัดเจนมากเลยเหรอ?แม้แต่คุณแอนนี่ก็ยังมองออก

งั้นคนอื่นก็มองออกด้วยใช่ไหม?

คุณแอนนี่มองแผ่นหลังของวารุณี มีความรู้สึกเหมือนตัวเองพยายามฝ่ายเดียวโดยที่เธอไม่สะทกสะท้านแปลกๆ ทำให้เธอท้อแท้มาก

สุดท้ายเธอก็กระทืบเท้าแรงๆ แล้วเข้าไปในลิฟต์

ด้านหน้าลิฟต์สงบลงอีกครั้ง เวลานี้ร่างหนึ่งก็ออกมาจากมุม ใบหน้าแสดงความตื่นเต้นออกมา“พระเจ้า ฉันได้ยินอะไรไปเนี่ย คนที่คุณวารุณีรักคือประธานนัทธี ดีจัง พอประธานนัทธีรู้ น่าจะดีใจสินะ?”

คิดไป มารุตก็รีบเดินไปที่ห้องเพรสซิเดนสูทของโรงแรมบนเรือสำราญ

นัทธีกำลังนั่งหน้าโต๊ะทำงาน จัดการเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ที่บริษัทส่งมาให้ ได้ยินเสียงเคาะประตู คิ้วจึงขมวดเล็กน้อย“เข้ามา”

มารุตผลักประตูเข้ามา

นัทธีมองเขาแวบหนึ่ง มองเห็นจดหมายในมือของเขา ริมฝีปากบางๆก็เม้มเข้า“ไม่ใช่ให้คุณเอารูปไปให้วารุณีเหรอ ทำไมคุณกลับมาอีกล่ะ?”

“คือแบบนี้ครับประธาน ตอนที่ผมไป ได้ยินข่าวดีมาข่าวหนึ่งครับ”มารุตเอาจดหมายวางลงที่โต๊ะทำงานนัทธี

นัทธีเงยตาขึ้นเล็กน้อย“ข่าวดีอะไร?”

“เกี่ยวกับคุณวารุณีครับ”มารุตดันแว่น“ผมได้ยินคุณวารุณีกับคุณแอนนี่คุยกัน คุณแอนนี่บอกว่าคนที่คุณวารุณีรักไม่ใช่คุณหมอพงศกร แต่เป็นประธานครับ คุณวารุณีก็ไม่ได้โต้แย้งด้วย”

ได้ยินคำนี้ มือที่นัทธีจับเมาส์อยู่ ก็กำไว้แน่น ข้างในใจรู้สึกยินดี แต่ใบหน้ากลับไร้อารมณ์ใดๆ มองไม่ออกว่าดีใจหรือไม่

ผ่านไปสักพัก เขาก็ดึงเนกไท พูดว่า“ผมเข้าใจแล้ว คุณลงไปก่อนเถอะ”

“ครับ”มารุตก้มหัวเล็กน้อย แล้วออกไป

พอเขาไป นัทธีก็ปล่อยเมาส์ออก หยิบจดหมายมาเปิด แล้วเขย่ารูปภาพด้านในสองสามใบออกมา

เขาหยิบหนึ่งใบในนั้นออกมา นิ้วหัวแม่มือลูบไล้หน้าของวารุณีบนรูป มุมปากจึงค่อยๆยกขึ้นมาจนเกิดเป็นมุมโค้ง

ข่าวที่มารุตเพิ่งเอามานั้น เป็นข่าวดีจริงๆ

ไม่มีข่าวอะไรดีไปกว่าที่ คนที่ตัวเองรัก ก็รักตัวเองด้วยแล้ว

แล้วจู่ๆ โทรศัพท์หน้าคอมก็ดังขึ้นมา

มุมโค้งที่ปากนัทธีก็หุบลงทันที วางรูปลงแล้วหยิบโทรศัพท์มาดู จากนั้นก็วางไว้แนบหู“ฮัลโหล?”

“ดีจัง ฉันรู้อยู่แล้วว่าแกยังไม่หลับ”เสียงหัวเราะชอบใจของพิชิตดังเข้ามา

นัทธีเอนไปที่พนักเก้าอี้“แกมีเรื่องอะไร?”

“จะมีอะไรได้ ฉันรู้อยู่แล้วว่าทางนั้นดึกไม่งั้นจะโทรหาแกทำไม ถ้าไม่ใช่เรื่องนวิยา?”พิชิตกลอกตา

นัทธีบีบหว่างคิ้ว“พูดมา นวิยาเป็นอะไรอีก?”

“ก็เรื่องกระจกตาแหละ วันนี้โรงพยาบาลส่งกระจกตาคู่หนึ่งมาอีกแล้ว แต่เธอไม่พอใจ ยังไงก็ไม่ยอมผ่าตัด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่กี่เดือนหรอก เธอได้มองไม่เห็นแน่”พิชิตถอนหายใจอย่างปวดหัว

นัทธีได้ยินดังนี้ สายตาก็ดูไม่พอใจ ริมฝีปากบางๆกลายเป็นเส้นตรง“เธอคิดอย่างไรกันแน่?”

“ฉันก็ถามเธอแล้ว เธอบอกว่าเธอมีกระจกตาคู่หนึ่งที่ตัวเองชอบแล้ว”

“ของคนที่มีชีวิตเหรอ?”มือนัทธีที่ถือโทรศัพท์กำไว้แน่น สีหน้าหม่นลง

พิชิตส่ายหน้า“เธอบอกว่าอีกไม่นานก็ไม่ใช่แล้ว เจ้าของกระจกตาคู่นั้น อีกไม่นานก็จะตาย”

ที่แท้ก็คนใกล้จะตายนี่เอง

สีหน้าเคร่งเครียดของนัทธีผ่อนคลายลง มือที่ถือโทรศัพท์ไว้กำแน่นก็คลายลงขึ้นเยอะ เก็บความทรงพลังรอบๆตัวเข้าไปแล้วถาม“งั้นเจ้าของกระจกตาคู่นั้นเป็นใคร เห็นด้วยหรือยังที่จะบริจาคให้เธอ?”

“อันนี้ฉันก็ไม่รู้ นวิยาไม่ยอมบอก ดังนั้นฉันเลยหมดหนทาง ได้แต่โทรหาแก ให้แกโน้มน้าวเธอ”พิชิตผายมือออกอย่างทำอะไรไม่ได้

นัทธีขมวดคิ้ว“เข้าใจแล้ว ฉันบินกลับพรุ่งนี้ตอนบ่าย”

“โอเค”พิชิตพยักหน้า

โทรศัพท์เสร็จ นัทธีเอาโทรศัพท์วางไว้ที่โต๊ะ จับเมาส์ขึ้นมา จมปลักอยู่กับงานต่อไป

วันถัดมา ในที่สุดก็ถึงงานแต่งของทายาทตระกูลฮิลล์

วารุณีในฐานะแขก สวมชุดราตรี ควงแขนของพงศกรมาที่งานแต่ง รองานแต่งเริ่มขึ้น

แต่ตอนนี้เอง คุณออสตินก็มาตรงหน้าทั้งสองคนด้วยใบหน้าอึดอัด“คุณหมอพงศกร คุณวารุณี”

“คุณออสตินมีอะไรไหม?”พงศกรถามด้วยรอยยิ้ม

คุณออสตินมองวารุณีที่อยู่ข้างๆเขา“คือแบบนี้ มีบางเรื่อง ผมอยากจะขอร้องคุณวารุณีหน่อยครับ”

“ขอร้องฉัน?”วารุณีชี้ไปที่ตัวเอง

คุณออสตินพยักหน้า“ใช่ เพราะว่าเมื่อคืนลูกสาวผมถูกผมส่งกลับไปที่ตระกูลแล้ว ดังนั้นเพื่อนเจ้าสาววันนี้เลยขาดไปคนหนึ่งครับ……”

“คุณอยากให้วารุณีเป็นเพื่อนเจ้าสาว?”พงศกรเลิกคิ้ว

วารุณีก็อ้าปากอย่างตกใจ

คุณออสตินเห็นพวกเขาคาดเดาการมาของตัวเองได้ทันที ก็ไม่อ้อมค้อมอีก พยักหน้า“ครับ ดังนั้นคุณวารุณี ขอร้องล่ะ”

เขาโค้งคำนับให้วารุณี

วารุณีปล่อยแขนของพงศกร ถอยหลังไปหนึ่งก้าว รีบส่ายมือ“ฉันไม่ได้หรอกค่ะ ฉันไม่สนิทกับเจ้าสาว และฉันก็ไม่เคยเป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วย นี่ไม่ค่อยดีมั้งคะ”

“ไม่เป็นไร เป็นเพื่อนเจ้าสาวไม่ต้องระวังอะไรหรอกครับ แค่ยืนเฉยๆก็พอ”คุณออสตินพูด

วารุณีมองไปที่พงศกรอย่างลำบากใจ

พงศกรเงียบไปหลายวินาที“ทำไมพวกคุณไม่หาคนอื่นล่ะครับ?”

“หาแล้วครับ ไม่แต่งงานแล้ว ก็เป็นผู้หญิงส่วนหนึ่งที่หน้าตาไม่สวย”คุณออสตินหัวเราะอย่างขมขื่น

เขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว ยอมให้เกียรติขนาดนี้ วารุณีรู้ว่าถ้าตัวเองปฏิเสธ ก็ไม่ค่อยไว้หน้าเท่าไหร่ ได้แต่ฉีกยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ รับปากไปว่า“ฉันเข้าใจแล้ว แค่ยืนเฉยๆใช่ไหมคะ?”

“ใช่ครับ”ใบหน้าคุณออสตินก็ดีใจ

พงศกรขมวดคิ้วมองไปที่วารุณี“วารุณี……”

“ไม่เป็นไร ฉันจะไปเดินกับคุณออสติน”วารุณียิ้มให้เขา

คุณออสตินทำท่าผายมือ“งั้นคุณวารุณีได้โปรดตามผมมา ผมจะพาคุณไปเปลี่ยนชุดและแต่งหน้า”

“ค่ะ”วารุณีพยักหน้า เดินตามหลังเขาไป

ไปถึงห้องแต่งหน้า วารุณีก็เข้าไป แล้วจึงถูกช่างแต่งหน้ากดลงไปนั่ง แล้วเริ่มแต่งหน้า

แต่งหน้าเสร็จ วารุณีก็ไปรวมกับเพื่อนเจ้าสาวคนอื่นๆ ตรงนั้น เธอก็เห็นเจ้าสาว

เจ้าสาวเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและสวยงามมาก วารุณีพูดกับเธอไม่กี่คำ ก็รู้ว่าเพื่อนเจ้าสาวเป็นอย่างที่คุณออสตินพูดจริงๆ ยืนอยู่เฉยๆก็พอ ไม่ได้ซับซ้อนมากอย่างในประเทศ

วารุณีเลยหมดความกังวล ค่อยๆกลมกลืนกับกลุ่มของเพื่อนเจ้าสาว

แป๊บเดียว งานแต่งงานก็เริ่มขึ้น

วารุณีกับเพื่อนเจ้าสาวคนอื่นๆตามหลังเจ้าสาวเข้าไปในงาน

มาตรงที่นั่งของแขก มารุตเห็นเธอ ก็ตาเบิกโตขึ้นอย่างเหลือเชื่อ รีบเตือนชายหนุ่มข้างๆที่ก้มหน้าดูโทรศัพท์ และไม่มองเจ้าสาวเข้างาน“ประธาน จู่ๆคุณวารุณีก็มาเป็นเพื่อนเจ้าสาวเห้อ”

“หือ?”พอได้ยิน หูนัทธีก็ขยับเล็กน้อย แล้วจึงเงยหน้ามองไปทางเจ้าสาว มองเห็นวารุณีที่เดินอยู่ข้างเจ้าสาว สวมชุดเพื่อนเจ้าสาว สายตาก็ดูทึ่ง

ชุดเพื่อนเจ้าสาวที่ตัวเธอก็เป็นสีขาว มีชายชุดยาวๆ เหมือนกับชุดแต่งงานขนาดเล็ก ถ้าบนหัวมีผ้าคลุมผมเจ้าสาวเพิ่มไปอันหนึ่ง บอกว่าเป็นชุดแต่งงานก็คงไม่โอเวอร์ไป

เขาจินตนาการได้มากพอว่า เธอสวมชุดแต่งงานจริงๆ จะสวยแค่ไหน

เหมือนตระหนักได้ว่ามีคนมองตัวเองอยู่ วารุณีหันหน้าไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วสบตาเข้ากับดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้นของนัทธี