บทที่ 174 ต้องการเก็บค่าคุ้มครอง

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 174 ต้องการเก็บค่าคุ้มครอง

หมี่อี้เหิงที่อยู่ข้างเขาเม้มปากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“ฮ่า ๆ”

น้ำเสียงนั้นช่างหวานใสยิ่งนัก

เมื่อเขาเผยรอยยิ้ม ทั้งหมี่เจ๋อเฉินและหมี่เฉินอี้ต่างก็ตกตะลึง

หมี่อี้เหิงเป็นคนฉลาดและหล่อเหลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งเขาก็ยิ่งหล่อเหลามากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ อีกทั้งเขายังมีนิสัยที่อ่อนโยนและเขาปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเมตตาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นที่รักของข้าราชบริพารและคนในวังอย่างสุดซึ้ง และดึงดูดสายตาของสตรีผู้สูงศักดิ์หลายคนด้วย

ในทำนองเดียวกัน การแสดงความยินดี ความเศร้าโศก ความโกรธ และความเสียใจอย่างหนักเหล่านั้นแทบไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของเขาเลย ทุกครั้งที่หมี่เฉินอี้เจอเขา เขาก็มักจะมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่บนใบหน้าเสมอ

หมี่เฉินอี้เคยเกลียดรอยยิ้มที่เหมือนหน้ากากของเขา เกลียดนิสัยอ่อนโยนและไร้ซึ่งความโกรธของเขา และรู้สึกว่าเขาเป็นคนเสแสร้ง

ดังนั้นเมื่อรอยยิ้มที่จริงใจนี้เคลื่อนออกจากใบหน้าของหมี่อี้เหิง สาวใช้และนางกำนัลทุกคนย่อมไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ หมี่เฉินอี้เองก็ยังรู้สึกกระสับกระส่ายในใจเช่นกัน เพื่อปกปิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขา เขาจึงลุกขึ้นแล้วตวาดเสียงดัง

“อาเหิง เจ้าหัวเราะ! ข้าบอกว่าจะไปฆ่าศัตรูไม่ใช่หรือ! หากเป็นชายก็ควรไปทำสงครามอย่างกล้าหาญ! ข้าไม่อยากเป็นเหมือนเจ้าที่เอาแต่อยู่ในห้องอ่านหนังสือเล็ก ๆ ทั้งวัน โดยที่ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสองราวกับเด็กผู้หญิง!”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา หมี่เจ๋อเฉินแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที และจ้องมองเขาด้วยความโมโห “รีบขอโทษอาเหิงเดี๋ยวนี้!”

หมี่อี้เหิงหยุดยิ้ม หากแต่ยังคงอ่อนโยนและสง่างาม “ไม่เป็นไร อาเฉินยังเด็กอยู่”

“ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว! ตอนนี้ข้าเป็นอาแล้ว! ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว!” หมี่เฉินอี้ตะโกนดังขึ้นกว่าเดิม

“ข้าคิดว่าอาเฉินยังเด็กอยู่ และข้าเกรงว่าเขาจะไม่อาจคว้าดาบขึ้นมาได้ทันเมื่อไปสงครามเพื่อฆ่าศัตรู เหตุใดไม่… ฝ่าบาท โปรดหาอาจารย์ให้อาเฉิน ให้เขาฝึกฝนสักสองสามปีแล้วรอจนกระทั่งเขาอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปด แล้วหลังจากนั้นก็ให้เขาไปหากเขาต้องการ”

หมี่เจ๋อเฉินไม่ได้คัดค้านคำพูดของหมี่อี้เหิง ดังนั้นความฝันที่จะเข้าร่วมกองทัพของหมี่เฉินอี้จึงล่าช้าเกินจริง

ในตอนนั้นหมี่เฉินอี้เกลียดหมี่อี้เหิงมากขึ้นเสียยิ่งกว่าเดิม เกลียดมากจนต้องการจะหลบหน้าเมื่อต้องเจอเขา! เกลียดเขามากจนหวังว่าคนอื่นจะไม่ชอบเขาเหมือนกัน

ต่อมาดูเหมือนว่าเทพเจ้าเบื้องบนจะได้ยินความปรารถนาของเขา ข้าราชบริพารและข้าหลวงบางคนมองดูหมี่อี้เหิงด้วยสายตาแปลก ๆ และพวกเขายังมองไปที่หมี่เจ๋อเฉินผู้เป็นพระเชษฐาของเขาด้วย

ไม่กี่วันต่อมา หมี่เฉินอี้ ชายหนุ่มผู้ใสซื่อก็ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ว่า ‘แบ่งลูกท้อ’ ที่หมายความว่าชายสองคนตกหลุมรักกัน

หมี่เฉินอี้รู้สึกว่าเขากำลังจะตายเพราะเสียงหัวเราะเยาะของข้าราชบริพารเหล่านั้น หมี่อี้เหิงหาได้พึงใจบุรุษไม่ เขาพึงใจสตรี และสตรีผู้นั้นก็คือนางสนมเสียนของพระเชษฐา

เขาเองก็รู้จักนางสนมเสียนด้วยเช่นกัน นางเป็นนางกำนัลที่อยู่กับพระเชษฐาตั้งแต่ยังเด็ก ดูเหมือนว่าพระเชษฐาจะยอมรับนางเป็นมเหสีไม่นานหลังจากที่ได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาท และหลังจากที่เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ก็พระราชทานตำแหน่งพระสนมให้

เมื่อไม่กี่ปีก่อน นางยังได้ให้กำเนิดองค์ชายเจ็ด หมี่โม่หรู่ ด้วย

แต่เขาเห็นกับตาว่าหมี่อี้เหิงพึงใจนางสนมเสียน

ในเวลานั้นฮ่องเต้เพิ่งเสด็จขึ้นครองบัลลังก์และทรงงานยุ่งทั้งวัน

ครั้งหนึ่งเขาเห็นนางสนมเสียนและหมี่อี้เหิงพบปะพูดคุยกันริมสระน้ำโดยบังเอิญ แม้ว่าระยะห่างระหว่างคนทั้งสองจะห่างไกลกันมากเหมือนระยะห่างระหว่างคนแปลกหน้า แต่หมี่เฉินอี้ก็ยังคงรู้สึกว่าหมี่อี้เหิงในวันนั้นไม่ปกติอย่างยิ่ง

นิสัยอ่อนโยนและเฉยเมยในอดีตกลายเป็นประหม่าและขี้อายขึ้นเล็กน้อย เขากำมือไว้แน่นด้านหลังของเขา และคิ้วดาบกับสายตาของเขาก็มีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้

บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนนั้นช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน มันแปลกเสียจนหมี่เฉินอี้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ในขณะนั้นหมี่เฉินอี้รู้สึกว่าเขาฟังมามากเกินไปและรู้สึกได้ถึงการถูกแทนที่

แต่พระเชษฐาจะชอบผู้ชายหรือ?!

หมี่เฉินอี้ตื่นตระหนกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพระเชษฐาจะไม่เคยทิ้งหมี่อี้เหิงเลยตลอดสิบปี และแม้กระทั่งในวันที่เขาอภิเษกสมรสกับพระสนม เขาก็อยู่กับหมี่อี้เหิงในตำหนักหลังใหม่ของเขาจนดึกดื่น

ดังนั้น…

ก่อนที่หมี่เฉินอี้จะเข้าใจ หมี่อี้เหิงก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน

ไม่เพียงแค่ตัวเขาที่หายไป แต่ความทรงจำของทุกคนเกี่ยวกับเขาก็หายไปด้วย ไม่มีใครในวังพูดถึงองค์ชายผู้งดงามและอ่อนโยนราวกับหยกองค์นี้อีก ราวกับว่าเขาไม่เคยปรากฏตัวในวังเลย

ในเวลานั้นหมี่เฉินอี้อายุได้สิบสี่ปีแล้ว และเมื่อไม่มีหมี่อี้เหิงพูดคุยอยู่ข้างเขาแล้ว เขาก็พูดถึงเรื่องที่จะไปเข้าร่วมกองทัพกับพระเชษฐาของเขาอีกครั้ง

ในวันนั้นพระเชษฐามองเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เคยถามเจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงอยากเข้าร่วมกองทัพ”

“ข้าต้องการช่วยเสด็จพี่ และกลายเป็นอาวุธแหลมคมที่สุดในพระหัตถ์ของเสด็จพี่โดยไม่อาจแยกออกจากกันได้ และข้าต้องการได้รับความสนใจจากเสด็จพี่เท่ากับอาเหิง”

นี่คือสิ่งที่หมี่เฉินอี้พูดในใจ เขาอิจฉาอาเหิงมานานกว่าสิบปี อิจฉาที่พระเชษฐาให้ความสนใจเขา และอิจฉาตำแหน่งของเขาในหัวใจของพระเชษฐา

“ตกลง”

ตั้งแต่นั้นมา หมี่เฉินอี้ที่อายุสิบสี่ปีก็ได้เปลี่ยนจากองค์ชายผู้มีเสน่ห์ไปเป็นนักรบ และเริ่มต้นชีวิตด้วยการตะเกียกตะกายและเสียเลือดในสนามรบ

สามเดือนหลังจากเข้าร่วมกองทัพ หมี่เฉินอี้ที่ใกล้จะถึงวันเกิดอายุครบสิบห้าปีก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้แบบประชิดตัว

ในวันนั้นดาบในมือของเขาเปื้อนเลือดมนุษย์เป็นครั้งแรก ชุดเกราะสีทองบนร่างของเขาเต็มไปเศษซากสมองเป็นครั้งแรก ซากศพที่กระจัดกระจายและแขนขาที่ถูกแยกส่วนนับพันปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาเป็นครั้งแรก

หลังจากต่อสู้มาทั้งวันทั้งคืน เขาก็มองไปที่สีแดงฉานทั่วร่างกายของเขาและทันใดนั้นก็คิดถึงหมี่อี้เหิง

เขารู้สึกว่าอาเหิงไม่ต้องการให้เขาเห็นความโหดร้ายนองเลือดเช่นนี้ก่อนเวลาอันควร และไม่ต้องการให้เขาไปเสี่ยงอันตรายเร็วเกินไป จึงป้องกันไม่ให้เขาเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุยังน้อย

เมื่อเขาคิดถึงอาเหิงเล็กน้อยและคิดว่าเขาไม่ได้น่ารำคาญขนาดนั้น คนรู้จักก็นำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้เขา ซึ่งมันเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายของอาเหิง

จดหมายฉบับนั้นสั้นมาก ขอร้องให้เขาช่วยดูแลหมี่โม่หรู่ผู้เป็นพระโอรสของพระสนมเสียน และในขณะเดียวกันก็ขอให้เขามอบจี้หยกให้หมี่โม่หรู่

“แล้วอาเหิงไปอยู่ที่ใดเสียเล่า?” หมี่เฉินอี้หยิบจี้หยกและเผาจดหมายพลางมองไปยังฉิงชางที่ซีดเซียว

นี่แหละคืออดีตของทาสใบ้ เขาอ่อนโยนมากเสียจนดูไม่เหมือนองครักษ์และอาเหิงเป็นคนเลี้ยงเขาไว้

ฉิงชางพูดไม่ออกและเพียงแค่หันหลังจากไป

บางทีหมี่เฉินอี้อาจไม่กล้าคิดคำตอบในใจ เขาทรมานฉิงชางในที่เกิดเหตุอย่างสิ้นหวัง เพื่อพยายามจะทำให้เขาเปิดเผยที่อยู่ของหมี่อี้เหิง

สุดท้ายหมี่เฉินอี้ที่เหน็ดเหนื่อยก็ตัดลิ้นของฉิงชางออก “หากเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดไปตลอดชีวิต”

เมื่อเห็นลิ้นที่ขาดออกแล้ว หมี่เฉินอี้ก็ดูเหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ จนกระทั่งดวงตาของฉิงชางถูกควักออกและใบหน้าของเขาถูกฟันจนทั่ว ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นจากความโกรธ

ครึ่งปีต่อมา หมี่เฉินอี้กลับมายังเมืองหลวงและพบกับหมี่โม่หรู่อีกครั้ง

ขณะนั้นหมี่โม่หรู่ถูกวางยาพิษและเพิ่งฟื้นกลับมาได้ เพราะพิษนั้นขาของเขาจึงเดินไม่ได้ และร่างกายของเขาก็ผ่ายผอมราวกับโครงกระดูกและซุกตัวอยู่บนในรถเข็น เขาจ้องมองหมี่เฉินอี้ด้วยดวงตาสีดำสดใส

ไม่มีชีวิตชีวาเลย หมี่เฉินอี้เกลียดดวงตาคู่นั้นมากเพราะเหมือนกับมองเห็นหมี่อี้เหิงตัวแสบ ช่างน่ารำคาญเสียจริง!

เขาวางจี้หยกไว้ในมือของหมี่โม่หรู่แล้วหันหลังเดินจากไป

ฮึ่ม คุณธรรมนี้จะคงอยู่ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับโชคชะตา ไม่อาจควบคุมมันได้!

ตั้งแต่นั้นมาหมี่เฉินอี้ก็อาศัยอยู่ที่ชายแดนและไม่เคยกลับมาอีกเลย จนกระทั่งพบว่ามีคนรายงานว่าเขาก่อกบฏ

เขากลับมาในรอบสิบปีหลังจากเผชิญกับการบาดเจ็บจากการต่อสู้ในสงครามมาตลอดสิบปี

จู่ ๆ คนแรกที่เจอกลับกลายเป็นสาวน้อยของหมี่โม่หรู่ ซึ่งเขาได้รับการช่วยเหลือจากสาวน้อยคนนี้ที่อายุน้อยกว่าเขาหลายสิบปี

บนรถม้า หมี่เฉินอี้เลียริมฝีปากของเขาและกอดคนที่อยู่ในอ้อมแขนแน่นขึ้น แล้วความคิดไร้ยางอายก็ผุดขึ้นในใจเขา

อาเหิง ข้าได้รับความไว้วางใจจากเจ้าให้ช่วยดูแลโม่หรู่ให้ปลอดภัยมานานกว่าสิบปี มันจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะเรียกเก็บค่าคุ้มครองในตอนนี้

………………………………………………………………………..