บทที่ 184 ไต่สวน

บทที่ 184 ไต่สวน

หนานกงสือเยวียน “นางกำนัลที่ถูกสอบสวนสภาพน่ากลัวอย่างยิ่ง เจ้าไม่กลัวหรือ?”

เสี่ยวเป่ายืดคอน้อย ๆ ของตนเองขึ้นมองสบตา “เสี่ยวเป่าเป็นบุตรสาวของท่านพ่อ ย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินเด็กน้อยเอ่ยเช่นนั้น ทุกคนก็อดหันไปมองดูไม่ได้

ช่างเป็นการประจบประแจงที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

ในตอนนี้ หนานกงสือเยวียนอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว เขาลูบหัวเล็ก ๆ พลางคิดว่านางสมกับเป็นพระธิดาของเขาแล้ว

หลังจากนั้น หนานกงสือเยวียนก็โบกมือสั่งให้คนนำตัวนางกำนัลผู้นั้นเข้ามา

ถูกคนของฮ่องเต้สอบสวน แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาหนึ่งก้านธูป แต่สภาพในปัจจุบันของนางกำนัลผู้นี้ก็ไม่มีส่วนไหนที่ดูดีเลย

ร่างของนางอาบไปด้วยเลือด ใบหน้าขาวซีดราวกับผี เผ้าผมพันกันยุ่งเหยิง สภาพจิตใจเองก็ดูแล้วไม่ปกติเช่นกัน

เหล่าสตรีที่อยู่ตรงนั้นต่างตื่นตกใจกลัว กระทั่งเด็กหนุ่มจำนวนไม่น้อยที่เคยเห็นด้านนี้มาก่อนก็แทบจะเป็นลมด้วยความหวาดกลัว

แม้เสี่ยวเป่าจะบอกว่าไม่กลัว แต่เมื่อได้มาเห็นสภาพอันน่าเวทนาของนางกำนัลเข้าจริง ๆ มือที่จับเสื้อของท่านพ่อไว้ก็อดกำแน่นขึ้นมาได้ นางเม้มริมฝีปากแล้วมุดเข้าไปในอ้อมกอดของท่านพ่อ

ฝ่ามือที่คุ้นเคยยื่นออกมาเบื้องหน้าเพื่อปิดตานาง ตามมาด้วยเสียงทุ้มลึกของท่านพ่อที่เอ่ยปลอบประโลม

“ไม่ต้องกลัว”

เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างว่าง่าย

“พูดมาว่าเหตุใดเจ้าถึงผลักองค์หญิงน้อย เป็นผู้ใดที่สั่งการเจ้ามา”

นางกำนัลผู้นั้นคุกเข่าลงบนพื้น ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไม่หยุด

“เป็น…เป็นแม่นางน้อยหลี่หนานจูจากจวนเซวียนผิงโหว”

สิ้นคำ องค์หญิงไท่จ่างแห่งจวนเซวียนผิงโหวเป็นผู้แรกที่ยืนขึ้นมา นางถลึงตาจ้องมองนางกำนัลด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ

“เจ้าพูดซี้ซั้วอันใดออกมา!”

หลี่หนานจูเองก็ตกตะลึง หลังจากนั้นนางก็ผุดลุกขึ้นปรี่เข้าไปทุบตีนางกำนัลผู้นั้นอย่างบ้าคลั่ง

“คนชั้นต่ำอย่างเจ้าพูดจาซี้ซั้วอันใดออกมา ไม่ใช่หม่อมฉันเพคะ ฝ่าบาทเชื่อหม่อมฉันเถิด ไม่ใช่หม่อมฉันที่เป็นผู้สั่งให้นางผลักองค์หญิงจริง ๆ หม่อมฉันไม่แม้แต่จะรู้จักนางเสียด้วยซ้ำ!”

หลี่หนานจูจ้องเขม็งไปทางนางกำนัลด้วยดวงตาแดงก่ำเปี่ยมความชิงชัง นางอยากจะทุบตีคนชั้นต่ำหน้าไม่อายผู้นี้ให้ตายไปเสียจริง ๆ แต่นางก็ถูกนางกำนัลอีกสองมาคนลากตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว

“บังอาจ!”

หนานกงสือเยวียนตวาดคำเสียงดัง หลี่หนานจูหวาดกลัวเป็นอย่างมากจนต้องคุกเข่าลงด้วยใบหน้าซีดเซียว

“ไม่ใช่หม่อมฉันจริง ๆ เพคะ หม่อมฉันไม่ได้สั่งให้นางผลักองค์หญิง”

หนานกงสือเยวียนมองท่าทางของนาง ดูแล้วไม่เหมือนการเสแสร้งแต่อย่างใด หลี่หนานจูผู้ไร้สมองไม่มีทางเสแสร้งแสดงให้คนมองไม่ออก หากเป็นนางจริง เกรงว่าจะต้องมีท่าทางพิรุธให้เห็นแล้ว

ฮ่องเต้มองนางกำนัลผู้นั้นด้วยสายพระเนตรดุดัน “กล้าหลอกลวงข้าอย่างนั้นหรือ?”

นางกำนัลผู้นั้นตัวสั่นสะท้านพร้อมส่ายหัว “บ่าวมิกล้า สะ..สาวใช้ข้างกายคุณหนูหลี่คือน้องสาวของบ่าว เมื่อห้าวันที่แล้วบ่าวได้รับการติดต่อจากน้องสาว บะ…บอกให้บ่าวหาโอกาสลงมือจัดการองค์หญิงน้อย”

“ให้คนไปพาตัวสาวใช้ของคุณหนูใหญ่จวนเซวียนผิงโหวมา”

“เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร…”

เมื่อได้ยินคำพูดของนางกำนัลผู้นั้น หลี่หนานจูก็เกิดความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อขึ้นมา ตัวนางเองยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า สาวใช้ข้างกายตนมีความสัมพันธ์กับคนในพระราชวัง

ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสอย่างองค์หญิงไท่จ่างก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาภายในใจ เกรงว่าเรื่องราวในวันนี้จะไม่ได้เรียบง่ายเพียงนั้นเสียแล้ว

“อี๋กุ้ยเฟยเล่า?”

เสียงของหนานกงสือเยวียนนิ่งสงบ ทว่านี่กลับทำให้หัวใจขององค์หญิงไท่จ่างเต้นไม่เป็นส่ำ

เซี่ยชิงหร่านเป็นผู้เอ่ยขึ้นแทนว่า “อี๋กุ้ยเฟยกล่าวว่าช่วงนี้นางรู้สึกไม่สบาย จึงไม่ได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้”

“ไปเรียกตัวคนมา”

“ฝ่าบาท เรื่องนี้…” องค์หญิงไท่จ่างบังคับให้ตนเองสงบจิตสงบใจลง จากนั้นก็ต้องการจะเอ่ยออกมาว่า นี่อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่หนานกงสือเยวียนกลับยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของนางไว้

“เสด็จอา เรื่องทั้งหมดจะเป็นเช่นไรก็ล้วนแล้วแต่เป็นข้าที่ตัดสิน”

องค์หญิงไท่จ่างมองเห็นแววตาขององค์จักรพรรดิได้อย่างชัดเจน มันสงบนิ่งล้ำลึกราวกับห้วงน้ำโบราณ มองไม่เห็นความผูกพันทางสายเลือดที่มีให้กับเสด็จอาของตนเองแม้แต่น้อย

องค์หญิงไท่จ่างหลุบตา นั่งลงอีกครั้งด้วยความอ่อนเเรงเเละหวาดหวั่น

ตอนนั้นเอง หลี่หนานจูวิ่งไปหานาง แล้วร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความคับข้องใจ

นางไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้จริง ๆ

ฝ่ามือขององค์หญิงไท่จ่างกำที่วางแขนเอาไว้แน่น นางรู้นิสัยและความประพฤติของหลานสาวตนเองดี

แม้จะกำเริบเสิบสาน ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่และยิ่งยโสไม่เห็นหัวผู้ใด แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะฉวยโอกาสทำร้ายองค์หญิงเช่นนี้

ดังนั้น เรื่องนี้อาจเป็นฝีมือของบุตรีนาง หรือก็คือฝีมือของอี๋กุ้ยเฟย

ทว่า…

องค์หญิงไท่จ่างกำลังชั่งใจ ขบคิดว่าต้องเสียสละหลานสาวหรือบุตรี แม้ไม่เต็มใจ แต่นางก็จำเป็นต้องเลือก

หลังจากนั้นไม่นานอี๋กุ้ยเฟยก็มาถึง

นางยังคงงดงามชวนให้ผู้คนหวั่นไหวเช่นเดิม ทว่าความอ่อนระโหยโรยแรงบนใบหน้าก็ไม่อาจปกปิดได้ด้วยการประทินโฉม

“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”

หนานกงสือเยวียนชี้ไปยังบริเวณแห่งหนึ่งอย่างไม่ได้ใส่ใจอันใดนัก เป็นเชิงบอกให้ไปนั่งดูเสียก่อน

รอจนสาวใช้จากจวนเซวียนผิงโหวถูกพาตัวเข้ามา การไต่สวนจึงเริ่มต้นขึ้น

หลี่หนานจูจ้องมองสาวใช้ที่อยู่ข้างกายตนมาหลายปีด้วยดวงตาแดงก่ำ

“หงฉิน นางกำนัลผู้นี้กล่าวว่าเจ้าบอกให้นางลอบทำร้ายองค์หญิง เป็นเรื่องจริงหรือไม่?” หลินเจิ้งชิงถามออกมา

ร่างกายของหงฉินอ่อนแรง เมื่อมองไปทางนางกำนัลที่มีสภาพน่าเวทนาก็ยิ่งหวาดกลัวมากกว่าเดิม

“ชะ ใช่แล้ว…”

“ผู้ใดเป็นคนสั่งเจ้า บอกความจริงมาเสีย!”

หงฉินมองไปทางหลี่หนานจูด้วยเนื้อตัวสั่นสะท้าน เพียงแค่นี้ในสายตาผู้อื่นก็มองว่าหลี่หนานจูเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรียบร้อยแล้ว

หลี่หนานจูราวกับจะเป็นบ้าไปแล้ว “นางแพศยา ข้าสั่งให้เจ้าลอบไปลอบทำร้ายองค์หญิงตั้งแต่เมื่อใดกัน เจ้ามันนางสารเลว!”

ในยามนี้ หลี่หนานจูได้สูญเสียซึ่งสง่าราศีของการเป็นคุณหนูจวนเซวียนผิงโหวไปโดยสิ้นเชิง ราวกับกลายเป็นภูตผีที่คลานออกมาจากขุมนรก ต้องการจะไปกัดกินพวกสารเลวสองตัวที่รุมใส่ความนางเสีย

“เป็น…เป็นคุณหนูหลี่”

หงฉินกำมือของตนเองแน่น ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ก่อนหน้านี้ ในงานเลี้ยงที่ทางพระราชวังจัดเตรียมให้องค์หญิงน้อย คุณหนูและคุณหนูท่านอื่นเคยหัวเราะเยาะเย้ยว่าองค์หญิงอ้วนท้วม เป็นเพียงผู้ที่ถูกพามาจากสถานที่ห่างไกล ไม่คู่ควรกับฐานะองค์หญิง แต่โชคร้ายที่ถูกองค์หญิงและนางกำนัลข้างกายได้ยินเข้า อีกทั้งเหล่าองค์ชายก็ล้วนออกหน้าปกป้ององค์หญิง กระทั่งองค์ชายรองก็ไม่เว้น คุณหนูจึงอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังถูกองค์ชายรองตบหน้า จึงนึกแค้นองค์หญิงมาโดยตลอด ถึงกับกล่าวออกมาหลายครั้งว่าจะทำให้องค์หญิงไม่ตายดี ทั้งยัง ทั้งยัง…”

หลินเจิ้งชิง “พูดต่อ!”

หงฉินเอ่ยต่อ “ทั้งยังกล่าวอีกว่าแม้เป็นองค์หญิงแล้วอย่างไร ไม่รู้ไปสุ่มหาเอาเด็กไร้หัวนอนปลายเท้าจากที่ไหนมา ไม่ช้าก็เร็ว… ไม่ช้าก็เร็วฝ่าบาทจะต้องค้นพบตัวตนของนางก่อนจะลงโทษประหารทิ้ง”

“นางสารเลว! ข้าไม่ได้พูด ข้าไม่ได้พูดคำเหล่านั้นออกมา!”

หลี่หนานจูแผดเสียงร้องออกมาอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ ทว่าครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งก่อนหน้า นางมีความกินปูนร้อนท้องให้เห็นอยู่

ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนมืดครึ้มลงในบัดดล

เพียะ

ในตอนนั้นเอง องค์หญิงไท่จ่างก็พลันลุกขึ้นมาตบหน้าหลานสาวของตนเอง

แววตาของนางเต็มไปด้วยความผิดหวังและความเจ็บปวด “เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร นางเป็นถึงองค์หญิง เจ้ายังกล้าลงมือลอบทำร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร!”

คำพูดขององค์หญิงไท่จ่างผลักให้เรื่องของเสี่ยวเป่ากลายเป็นความผิดของหลี่หนานจูอย่างสมบูรณ์

หลี่หนานจูปิดปากของตนเอง มองไปทางท่านย่าอย่างไม่เชื่อสายตา

“ท่านย่า ไม่ใช่ข้านะ ไม่ใช่ข้าจริง ๆ เหตุใดกระทั่งท่านยังไม่เชื่อข้า ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ…”

“หุบปากไปเสีย จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่ยอมรับอีก เจ้าต้องการจะเนรคุณโดยการดึงให้จวนเซวียนผิงอ๋องทั้งหมดล่มจมไปกับเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

นางเอ่ยออกมาอย่างแฝงความนัย หากหลี่หนานจูฉลาดเพียงพอและคำนึงถึงส่วนรวมมากกว่า นางก็คงยอมแบกรับเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้เอง แม้นางจะไม่ได้เป็นคนทำก็ตาม

แต่หลี่หนานจูนั้นไร้ซึ่งสมองและหุนหันพลันแล่น

นางไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจ ทว่ายังจับจ้องไปทางอี๋กุ้ยเฟยอีกด้วย