บทที่ 185 จัดการ

บทที่ 185 จัดการ

“เสด็จอา เสด็จอาได้โปรดช่วยข้าด้วย ได้โปรดบอกกับฝ่าบาทว่าข้าไม่ได้เป็นคนทำ”

ในยามนี้ กระทั่งท่านย่ายังไม่เชื่อในตัวนาง หลี่หนานจูจึงได้แต่เพียงหันไปส่งสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือจากอี๋กุ้ยเฟย

เสด็จอาของนางเป็นถึงกุ้ยเฟย จะต้องสามารถช่วยเหลือนางได้อย่างแน่นอน

ใบหน้าของหลี่เซียงอี๋ถอดสี “จูเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้จริง ๆ หรือ?”

หลี่หนานจูส่ายหัว “ทั้งหมดเป็นนางสารเลวสองคนนี้ที่ใส่ความข้า ข้าไม่เคยพูดมาก่อนเลยว่าต้องการจะทำร้ายองค์หญิง!”

หลี่เซียงอี๋กำมือของตนเองแน่น แววตาที่มองหลี่หนานจูเต็มไปด้วยความซับซ้อนและละอายใจ

“แต่หงฉินก็เป็นคนของเจ้าจริง” นางมองไปทางฝ่าบาท ด้วยท่าทางที่ราวกับต้องการจะร้องขอความเมตตา ทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยออกไป

นางไม่มีความกล้าพอจะเอ่ยร้องขอความเมตตาจริง ๆ

“เป็นหงฉินที่ใส่ความข้า ท่านเองก็ไม่เชื่อข้า เสด็จอา ไหนท่านเคยกล่าวว่าข้าเป็นหลานสาวคนโปรดของท่าน!” หลี่หนานจูอ่อนล้าจนเสียงแหบแห้ง ยามนี้นางไม่รู้ตนเองว่าควรจะต้องทำเช่นไรดี ดูแล้วช่างน่าสมเพชเวทนานัก

“บ่าวเป็นคนของคุณหนูหลี่ เป็นเพียงทาสรับใช้ทั้งยังไม่มีบุญคุณความแค้นอันใดกับองค์หญิง ยกเว้นแต่จะมีคำสั่งจากนายที่บ่าวไม่กล้าต่อต้าน ไม่เช่นนั้น บ่าวจะเอาความหาญกล้าจากที่ใดมาลงมือกระทำการอุกอาจ ตอนนี้บ่าวยอมรับผิดแล้ว จึงขอใช้ความตายแทนคำขอโทษ”

หลังจากกล่าวจบ หงฉินก็หันไปมองทางเสี่ยวเป่าด้วยความรู้สึกเสียใจ จากนั้นแววตาก็ถูกแทนที่ด้วยความแน่วแน่ ก่อนจะพุ่งไปชนเข้ากับภูเขาหินจำลองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

แต่นางก็ถูกองครักษ์ที่หูตาไวหยุดยั้งเอาไว้ได้ ทว่าตัวนางเองก็สิ้นสติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หนานกงสือเยวียนตวาดออกมาด้วยเสียงเย็นชา “หยุดนางเอาไว้!”

เขาชี้ไปทางปี้หลันซึ่งเป็นน้องสาวของหงฉิน

ทว่าปี้หลันเองก็แน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าพี่สาวของนางยังไม่ตาย ก็รีบกัดลิ้นฆ่าตัวตายทันที

ฉากนองเลือดดังกล่าว ทำให้ผู้คนกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนกอย่างอดไม่ได้

ผู้ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสตรีในเรือนหลัง แม้ว่าพวกนางจะรู้ความลับมากมาย แต่ก็ไม่เคยประสบพบเจอฉากนองเลือดเช่นนี้ด้วยตาตนเอง โดยเฉพาะเหล่าแม่นางน้อยหลายคน กลับไปบ้านคราวนี้คงได้ฝันร้ายไปอีกนาน

เหล่าฮูหยินรีบกอดบุตรีของตนเองเอาไว้ บังไม่ให้พวกนางได้เห็นภาพเหล่านั้น

สีหน้าของหนานกงสือเยวียนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่ง “ช่างรีบตายเสียจริง”

ดวงตาเย็นยะเยือกของเขาจับจ้องไปทางองค์หญิงไท่จ่างและอี๋กุ้ยเฟย

ทั้งคู่หลุบตาลง ไม่กล้าสบสายตาเขา

“คุมตัวคุณหนูใหญ่จวนเซวียนผิงโหวเอาไว้ ส่วนอี๋กุ้ยเฟยให้กักบริเวณทบทวนความผิด หากปราศจากคำของข้า ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากตำหนักหย่งอันแม้เพียงครึ่งก้าว”

“ฝ่าบาท!”

อี๋กุ้ยเฟยที่เดิมทีกำลังก้มหน้าร่ำไห้กับ ‘ความผิด‘ ของหลานสาวตัวเองอยู่ เงยหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา

“ฝ่าบาท แม้เรื่องนี้จวนเซวียนผิงโหวของข้าจะมีความผิดที่ไม่ได้อบรมสั่งสอนหลานสาวเป็นอย่างดี แต่เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพระสนมแต่อย่างใดนะเพคะ!”

องค์หญิงไท่จ่างแสดงสีหน้าชวนสังเวชออกมา หญิงชราผมขาวขอร้องด้วยท่าทางน่าสงสาร ชวนให้คนมองไม่อาจทนดูได้ ทว่าก็ขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายของคำวิงวอนนั้นเป็นผู้ใด

หนานกงสือเยวียนแต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่คนที่จะสามารถนำสิ่งใดมาบังคับได้ จึงเพียงแค่มององค์หญิงไท่จ่างด้วยสายตาเย็นชา

เขาเพิกเฉยต่อคำอ้อนวอนขององค์หญิงไท่จ่างและอี๋กุ้ยเฟย ทำเพียงแค่อุ้มเสี่ยวเป่าและเดินออกไป ส่วนเซี่ยชิงหร่านก็ชำเลืองมองหลี่เซี่ยงอี๋ ก่อนจะเดินตามฮ่องเต้ไป

“พระสนมเชิญพ่ะย่ะค่ะ”

ฝูไห่จัดการสะสางตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างรวดเร็ว ทั้งส่งคนไปคอยจับตาดูนางด้านในตำหนัก และเปลี่ยนนางกำนัลรับใช้ของนางทั้งหมด การปล่อยให้สตรีผู้นี้ยื่นมือออกไปได้ไกลไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด

ใจของหลี่เซียงอี๋หนาวเหน็บและอดเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ในคราวเดียวกัน ฝ่าบาทจะคาดเดาสิ่งใดได้หรือไม่ เขาจะรู้เรื่องราวต่าง ๆ แล้วหรือไม่?

แต่ไม่ว่านางจะวิตกกังวลมากเพียงใด หลังจากที่นางถูกพาตัวกลับมายังตำหนักหย่งอันแล้ว คนรอบกายทั้งหมดก็ล้วนถูกเปลี่ยน แม้แต่หมัวมัวของนางก็ถูกแทนที่ด้วยคนที่ไม่รู้จัก นางไม่อาจรับรู้ข่าวคราวภายนอกได้อีกต่อไป ทำได้เพียงทุกทรมานกับความหวาดวิตกของตนเองเท่านั้น

แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่อาจจบลงเช่นนี้ แม้ปี้หลันจะสิ้นชีพไปแล้ว แต่ยังเหลือหงฉินอีกหนึ่งคนให้ไต่สวนต่อไป

ทว่าเรื่องหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อ เสี่ยวเป่าก็ไม่รับรู้แล้ว พอนางกลับมาถึงตำหนักฉินเจิ้งแล้วก็เล่าเรื่องราวตอนที่ตนเองตกน้ำให้ท่านพ่อฟัง

หนานกงสือเยวียน “เจ้าว่ายน้ำเป็น?”

เขามองร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่า เด็กคนนี้ตัวน้อยยิ่งกว่าแขนข้างหนึ่งของเขาเสียอีก คิดไม่ออกเลยว่า เจ้าตัวจะใช้แขนขาสั้น ๆ นี่ว่ายน้ำได้อย่างไร

เสี่ยวเป่าเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ใช่แล้ว ท่านพ่ออย่าได้ดูแคลนเสี่ยวเป่าเชียว!”

ยามที่ตกลงไปในน้ำ นางไม่อาจแยกแยะทิศทางใด ทำได้เพียงกลั้นหายใจแล้วใช้แขนขาสั้น ๆ ว่ายไปมา ไม่ได้ยินหรือไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนฝั่งแม้แต่น้อย ทำเพียงแค่กลั้นหายใจให้เหล่าปลาพาว่ายน้ำขึ้นไปเท่านั้น

หนานกงสือเยวียนหยิกใบหน้าของเด็กน้อย ขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกโชคดี โชคดีที่นางสามารถว่ายน้ำได้

แม้ว่าเสี่ยวเป่าของเขาจะไม่เป็นอันใด แต่เขาจะไม่มีทางปล่อยให้คนที่ทำร้ายนางรอดไปได้แม้แต่คนเดียว

ก่อนหน้านี้ หนานกงสือเยวียนไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทว่าตอนนี้เพื่อเสี่ยวเป่าแล้วเขาเต็มใจจะเชื่อ ถ้าหากนรกมีอยู่จริง เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาก้าวลงไปเพียงคนเดียวก็พอแล้ว

จวนเซวียนผิงโหว…

ดวงตาของหนานกงสือเยวียนเป็นประกายเย็นเยียบ หากหายไปหนึ่ง ต้าเซี่ยก็หาได้ขาดแคลนจวนโหวแต่อย่างใด

“ท่านพ่อ นางกำนัลอีกสองคนที่เหลือเป็นเช่นไร?” เสี่ยวเป่าถามเขาตาแป๋ว

หนานกงสือเยวียน “ข้าจะให้หมอหลวงไปดู”

แม้ตัวเขาจะแบกรับชีวิตมามากมาย แต่ก็ไม่ต้องการให้บุตรสาวที่แสนไร้เดียงสาต้องแบกรับชีวิตใด ๆ

ขณะเดียวกัน ทางด้านจวนเซวียนผิงโหวก็ไม่ได้สงบแต่อย่างใด เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเขาก็ราวกับเป็นแมลงวันหัวขาดบินว่อนไปมา ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำเช่นไร ส่วนเหล่าขุนนางคนอื่น ๆ ก็หลีกเลี่ยงจวนเซวียนผิงโหวราวกับเป็นอสรพิษร้าย

ผู้ใดจะคาดคิดกัน ว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนเซวียนผิงโหวจะมีความหาญกล้าถึงเพียงนี้

“แม้ยามปกติจะยโสวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่ก็ไม่คาดคิดเลยจริง ๆ ว่าจวนเซวียนผิงโหวจะถึงขั้นไม่เห็นองค์หญิงอยู่ในสายตา ช่างรนหาที่ตายโดยแท้”

“ใช่ ๆ มิหนำซ้ำครั้งนี้ยังเกือบจะลากพวกเราลงไปด้วยแล้ว เจ้าว่าคนของจวนเซวียนผิงโหวกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่”

“ฟังจากที่สาวใช้หงฉินกล่าวออกมาแล้ว หากหลี่หนานจูไม่ได้เอ่ยคำเหล่านั้นออกมาบ่อย ๆ สาวใช้เช่นนางจะกล้าเอ่ยวาจาเช่นนั้นได้อย่างไร”

แน่นอนว่าพวกนางสนทนากันโดยทำเป็นลืมไปว่า เมื่อครั้งที่เสี่ยวเป่าเพิ่งเข้าวัง พวกนางเองก็เคยดูถูกดูแคลนองค์หญิงน้อยเช่นกัน

ทว่าเรื่องเช่นนี้ผู้ที่มีสมองต่างก็ไม่คิดเอ่ยออกมาตามอำเภอใจ ดังเช่นหลี่หนานจูผู้โง่เขลา

อีกทั้งเรื่องนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีผู้ที่มองต่างออกไป

จวนเซี่ยกั๋วกง*[1] กั๋วกงผู้เฒ่าในฐานะขุนนางเก่าแก่ได้สละตำแหน่งของตนเองลงเมื่ออายุย่างเข้าเจ็ดสิบ จากนั้นก็ส่งมอบจวนกั๋วกงต่อให้กับบุตรชายคนโตของตนเองเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนบุตรชายคนที่สองของเขานั้นสืบทอดเจตนารมณ์ของกั๋วกงผู้เฒ่า ไปออกรบยังสมรภูมิชายแดน สุดท้ายก็กลับมาพร้อมกับตำแหน่งแม่ทัพที่ได้รับการแต่งตั้ง ยิ่งไปกว่านั้นบุตรีของเขาอย่างพระสนมเซี่ยยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหวงกุ้ยเฟยตามไปติด ๆ

คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าตระกูลเซี่ยนั้นมีอำนาจไม่เป็นรองผู้ใด

แต่ถึงตระกูลเซี่ยจะมีอำนาจมาก ทว่าพวกเขาก็ทำตัวต้อยต่ำเป็นอย่างยิ่ง แม้องค์ชายใหญ่และองค์ชายหกจะมีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยแทรกแซงหรือก้าวก่ายอำนาจของจักรพรรดิแต่อย่างใด

เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในพระราชวังย่อมมาถึงหูของพวกเขาเช่นเดียวกัน หลังจากที่เซี่ยหลานซูกลับมา ก็ได้เล่าเรื่องราวให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด

กั๋วกงผู้เฒ่าลูบเคราของตนเอง แม้เส้นผมบนศีรษะจะกลายเป็นสีขาวโพลน แต่แรงกดดันจากผู้ที่เคยผ่านสมรภูมิเป็นตายมานั้นยังคงอยู่

“ถึงคุณหนูจวนเซวียนผิงโหวจะมีความกล้ามากเพียงใด แต่ก็ไม่น่าจะกล้าพอทำเรื่องราวโง่งมไร้สมองเช่นนี้ภายในพระราชวัง”

เซี่ยหลานซูมองไปทางชายชราด้วยความประหลาดใจ “หมายความว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นฝีมือของหลี่หนานจูหรือเจ้าคะ?”

[1] กั๋วกง (国公) เป็นตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดของชั้นกง และเป็นตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางจะได้รับ อนึ่ง กั๋วกงผู้เฒ่าในเรื่องมีตำแหน่งเป็นพระสสุระหรือพ่อตาของฮ่องเต้ด้วย