ตอนที่ 60 จดหมายจากบ้าน

หลังจากสอบถามอยู่ชั่วครู่หนึ่ง หยางเย่ก็มาถึงยังยอดเขาสำนักนอกเพื่อตามหาเจียงหยวน หลังจากพบที่พักแล้ว เขาไม่ต้องการเสียเวลาให้มากพร้อมเดินเข้าไปถามหาดาบสีชาด

เวลานี้ท่าทีของเจียงหยวนดูกระวนกระวายนัก ดาบสีชาดคือของขวัญที่ปู่ให้ไว้ในวันที่บรรลุเป็นยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ได้ มันเป็นของวิเศษขั้นสีดำเพียงชิ้นเดียวที่มี นอกจากนี้เหตุผลที่เขากล้าใช้มันเดิมพัน เพราะว่ามั่นใจในฝีมือตนเองว่าจะชนะได้ในวันนั้น แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะมีคนสามารถทำลายสถิติของสำนักดาบราชันในร้อยปีนี้ได้!?

ขณะมองเจียงหยวน หยางเย่ขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “ยอมรับความพ่ายแพ้แล้วส่งมันมา ข้ายังต้องไปหาแม่นางคนนั้นต่อ”

“ไม่จำเป็นต้องตามหา ข้ามาที่นี่เพื่อมอบมันให้ด้วยตนเองแล้ว!” ทันใดนั้นเสียงของสตรีดังขึ้นจากด้านหลังของหยางเย่

มันไม่ใช่เสียงของใครอื่นนอกจากชิงเสวีย ผู้ที่ทำการเดิมพันกับหยางเย่และเจียงหยวนในวันนั้น นางเดินไปที่หยางเย่โดยไม่กล่าวคำใดเล็กน้อย จากนั้นกล่องเล็กจ้อยสวยงามได้ปรากฏขึ้นบนมือ นางส่งมันให้หยางเย่

หยางเย่รับกล่องก่อนจะมองดู กลิ่นหอมของมันกระทบเข้ากับใบหน้า หยางเย่เผยรอยยิ้มออกมาพร้อมพยักหน้าให้ชิงเสวีย จากนั้นเขาเก็บกล่องไว้ก่อนจะหันไปมองเจียงหยวน หยางเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ส่งดาบมา อย่าให้ข้าต้องมองเจ้าต่ำต้อยมากไปกว่านี้!”

เจียงหยวนลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยคำ “หยางเย่ ดาบสีชาดนี้เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลเจียง เป็นไปได้ไหม…”

หยางเย่มองไปที่เจียงหยวนอีกครั้ง “ข้าหาใช่คนไร้เหตุผลไม่ เอาแบบนี้ไหม? เจ้านำบางสิ่งที่มีค่าพอกับดาบสีชาดมาแลก!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงหยวนรีบนำบางอย่างออกมา มันคือวัตถุทมิฬ วิชา และสมุนไพรวิญญาณ แต่มูลค่าพวกมันก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเมื่อเทียบกับดาบสีชาดที่อยู่ขั้นสีดำ

ขณะที่มองของพวกนั้น รอยแสยะยิ้มอย่างเย็นเยือกปรากฏออกจากมุมปาก ‘คนผู้นี้กำลังกระทำการที่ไร้อย่างอายงั้นหรือ?’

ทันใดนั้นชิงเสวียที่แสดงอาการชิงชังอยู่ด้านข้างกล่าว “เจียงหยวน หากเจ้าคิดจะกลับคำพูดก็จงทำมันเสีย! ยังจะกล้านำเศษขยะพวกนี้ออกมาอีกหรือ? เจ้าคิดว่าหยางเย่เป็นเด็กอายุสามปีหรือไง?”

นางไม่มีทัศนคตีที่ดีต่อเจียงหยวนเท่าไหร่นัก หรือกล่าวได้ว่าไม่มีความชื่นชมต่อคนที่หยิ่งผยองอย่างเช่นเจียงหยวนอยู่แล้ว!

เจียงหยวนมองไปที่ชิงเสวียด้วยท่าทีดำมืด จากนั้นเขามองกลับไปที่หยางเย่พร้อมกล่าว “หยางเย่ ถึงแม้มันจะไม่มีค่าทัดเทียมได้กับดาบสีชาด พวกมันก็มีประโยชน์สำหรับเจ้าตอนนี้ เอาแบบนี้ไหม? เก็บพวกมันไว้ จากนั้นพวกเรามาสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่ดีกว่าหรือ?”

หยางเย่ส่ายหัวพร้อมกล่าว “ข้าไม่ต้องการผูกสัมพันธ์ใดกับเจ้า ลืมมันไปเสีย ตอนนี้ข้าต้องการเพียงแค่ดาบสีชาดเท่านั้น ยอมรับความพ่ายแพ้และส่งมันมา”

ประกายแห่งความเย็นเยือกปรากฏผ่านดวงตาเจียงหยวน จากนั้นเขากล่าวด้วยเสียงเบา “หยางเย่เจ้าอย่าได้ใจให้มากนัก!”

หยางเย่ส่ายหัวกลับ เขาไม่เสียเวลาอีกต่อไปพร้อมใช้ก้าววายุพุ่งไปหาเจียงหยวน จากนั้นได้ปล่อยหมัดเข้าที่หน้าอกอย่างแรง

หยางเย่หาได้ใช่คนที่จะมาเสียเวลากับเรื่องเช่นนี้ไม่ คนผู้นี้ เจียงหยวน เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการส่งดาบสีชาดอย่างที่กล่าว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเปลืองลมหายใจอีก เมื่อเป็นเช่นนั้น การใช้กำลังบังคับเจียงหยวนคงจะเป็นการดีกว่ามานั่งสนทนากัน

เจียงหยวนและชิงเสวียไม่คาดคิดว่าหยางเย่จะโจมตีโดยตรง เมื่อไม่ทันนึกคิดสิ่งใด เขาทำได้เพียงปล่อยหมัดโต้กลับกำปั้นของหยางเย่

กร็อบ!

เสียงกระดูกหักดังชัดเจน เจียงหยวนร้องโหยหวนออกมาในทันที เขาทำท่าจะถอยหนีและเว้นระยะห่างจากหยางเย่ แต่หยางเย่ได้จับกำปั้นที่แตกละเอียดของเขาไว้ก่อนจะดึงเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า หยางเย่กำลังบีบคอเจียงหยวนอยู่ในตอนนี้!

“ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้าไม่ส่งดาบสีชาดมา เช่นนั้นข้าจะดับลมหายใจเจ้าเสีย!” หยางเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่บีบคอเจียงหยวน “หนึ่ง!”

ใบหน้าเจียงหยวนซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหยางเย่จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีความเร็วที่น่ากลัวเช่นกัน เจียงหยวนไม่มีเวลาจะกระทำสิ่งใดก่อนจะถูกหยางเย่จับคอ

“สอง!” ดวงตาหยางเย่หรี่ลงขณะกล่าวด้วยจิตสังหารที่รุนแรง

สีหน้าเจียงหยวนซีดลงกว่าเดิมขณะที่เห็นดวงตาของหยางเย่ ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นทั่วร่างกายเขา ขณะที่หยางเย่กำลังจะนับ ‘สาม’ เจียงหยวนนำดาบสีชาดออกมาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้า ข้ายอมแล้ว!”

เมื่อมองไปที่ดาบสีชาดในมือ หยางเย่จึงได้ปล่อยคอเจียงหยวนในที่สุด จากนั้นไม่สบตาเขาอีกต่อไปภายหลังจากเก็บดาบเข้าไปยังแหวนมิติ หยางเย่เดินจากไปได้สองถึงสามก้าวก่อนจะหันไปมองเจียงหยวนพร้อมกล่าว “อันที่จริงแล้วนอกจากลานประลองเป็นตาย การสังหารกันเองเป็นสิ่งที่ผิดกฎของสำนักดาบราชัน อืม เจ้าเพิ่งเข้ามาใหม่ ดังนั้นเป็นเรื่องปกติที่จะไม่ทราบถึงเรื่องนี้”

ทันทีที่กล่าวจบเขาเดินจากไปอย่างไร้ไมตรี หยางเย่ไม่สนใจเจียงหยวนที่ยังอยู่ในอาการผวาอีกต่อไป

อีกด้านหนึ่งเมื่อหายจากอาการตกตะลึง ชิงเสวียมองไปที่เจียงหยวนอย่างรังเกียจก่อนจะวิ่งตามหยางเย่ไป

เจียงหยวนทำได้เพียงกำหมัดแน่นขณะความกลัวยังครอบงำอยู่ ดวงตาเขาเหมือนจะร้อนระอุขึ้นมา! ตั้งแต่ยังเด็ก เขาไม่เคยต้องเจอกับความอัปยศถึงเพียงนี้ ไม่สิ กล่าวได้ว่ามันเป็นความเสื่อมเสียของเขาโดยแท้จริง!

“หยางเย่ รอก่อนเถอะ!” เจียงหยวนสบถออกมาขณะจ้องเขม็งในทางที่หยางเย่หายไป

……

ณ ลานฝึกยุทธ์ หยางเย่มองไปยังสตรีนามชิงเสวียที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขากล่าว “แม่นางชิงเสวีย หากมีสิ่งใดในใจก็จงบอกมาเถอะ!”

ชิงเสวียมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าว “พวกคนมีชาติตระกูลมักจะมีความภาคภูมิใจในตนเอง ทั้งยังมีจิตใจคับแคบ ตั้งแต่ที่เจ้ากระทำกับเจียงหยวนเช่นนั้น หากมีโอกาสในอนาคต เขาจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไปเป็นแน่!”

หยางเย่ยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น “อย่างแรกข้าต้องขอบคุณเจ้า กล่าวได้ถูกต้องว่าเจียงหยวนมีความภาคภูมิใจในตนเอง เขาจะไม่มีวันลืมเรื่องที่เกิดขึ้น งั้นควรจะทำยังไงล่ะ? ควรจะยอมแพ้เรื่องนี้เพียงเพราะกลัวเขาจะกลับมาแก้แค้นงั้นหรือ? เมื่อมันเป็นของข้าแล้ว หากต้องใช้กำลังข้าก็จะไม่ลังเลที่จะทำ!”

“เจ้าช่างโอหังและหยิ่งยโสเสียจริง!” ชิงเสวียมองไปที่หยางเย่ขณะกล่าว

หยางเย่ส่ายหัวปฏิเสธ “ข้าไม่ได้ยโสโอหัง แม่นางชิงเสวีย เจ้าไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดกับพวกเขา เพราะหากเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะคิดว่าเจ้าเกรงกลัว ยิ่งกว่านั้นมันยังจะกระทำเรื่องไร้ยางอายเพิ่มขึ้น มีเพียงกำปั้นเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขามีเหตุผล!”

ชิงเสวียคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นนางเผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยคำ “ขอบคุณที่ให้คำแนะนำ ข้าคิดว่ามันมีประโยชน์มาก! งั้นขอถามเจ้าสักอย่าง เจ้าบรรลุขั้นปราณสวรรค์แล้วงั้นหรือ?”

หยางเย่ส่ายหัว

“เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าถึงสามารถจัดการเจียงหยวน ผู้ที่อยู่ขั้นปราณสวรรค์ได้เพียงกระบวนท่าเดียวล่ะ?”

“ขั้นปราณสวรรค์?” หยางเย่ยิ้ม “แม่นางชิงเสวีย เจ้าคิดว่าเจียงหยวนสามารถบรรลุขั้นปราณสวรรค์ด้วยวิธีปกติงั้นหรือ? ข้าคิดว่าเขาใช้บางอย่างกระตุ้นตนเองมากกว่า แล้วเจ้าคิดว่าคนที่ใช้สิ่งกระตุ้นตนเองเพื่อบรรลุขั้นปราณสวรรค์จะมีพลังที่แท้จริงงั้นหรือ? ยิ่งกว่านั้นข้ายังโจมตีเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งยังจับตัวเขาไว้จนไม่สามารถทำอะไรได้อีก!”

“มันเป็นเช่นนี้เอง!” ชิงเสวียพยักหน้าพร้อมกล่าว “เวลานี้บรรดาศิษย์นอกที่เข้ามาใหม่เริ่มสร้างกลุ่มกันแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มนี้ชั่วคราว เจ้าอยากจะเข้าร่วมกับพวกเราหรือไม่? เจียงหยวนเองก็เริ่มสร้างกลุ่มของตนเองกับศิษย์นอกคนอื่นแล้วเช่นกัน!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหยางเย่ลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนเขาส่ายหัว “ข้าคงจะไม่เข้าร่วม”

ขณะที่นึกบางอย่างได้จึงกล่าวต่อ “แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะข้าภูมิใจในตนเองหรืออะไรเช่นนั้น ประเด็นหลักข้าคือมีปัญหาบางอย่างกับคนในเทียบอันดับสำนักนอก และเขาก็มีกลุ่มของตนเองเช่นกัน หากข้าเข้าร่วมกลุ่มกับเจ้าตอนนี้ มันจะเป็นผลร้ายแก่พวกเจ้าทุกคน”

ชิงเสวียเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “กลุ่มนี้เพิ่งสร้างขึ้นได้ไม่นาน ถึงแม้ข้าจะเป็นผู้นำ แต่ก็ยังไม่ได้มีอำนาจอะไรมากนัก หากคนผู้นั้นเล็งเป้ามาที่กลุ่มของเรา มันคงจะทำให้กลุ่มนี้พังแน่นอน เอาแบบนี้ไหม? ข้าจะชวนเจ้าอีกครั้งหลังจากกลุ่มนี้กล้าแข็งขึ้น เจ้าคิดเห็นเช่นไร? อีกอย่างข้าไม่ได้เกรงกลัวศัตรูของเจ้าแม้แต่น้อย!”

หยางเย่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เหตุผลที่เขาสนทนากับสตรีผู้นี้ เพราะต้องการที่จะเพิ่มมิตรสหายมากกว่าศัตรู ตอนนี้หลังจากสนทนากับนางอยู่นาน เขารู้สึกว่าคุ้มค่าพอจะเป็นสหายกับสตรีผู้นี้

เมื่อนึกได้เช่นนั้น หยางเย่เผยรอยยิ้มออกมา “ให้ข้าแนะนำตนเองอีกครั้ง ข้าหยางเย่จากเมืองทักษิณภิรมณ์”

ชิงเสวียชะงักเมื่อได้ยินหยางเย่ จากนั้นนางยิ้มกลับ “ซงชิงเสวีย จากเมืองนักรบสวรรค์!”

นางได้เห็นทั้งพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของหยางเย่ ทั้งยังไม่ได้ชิงชังในตัวตนหรือท่าทีของเขา ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกรังเกียจที่จะเป็นสหายกับคนเช่นนี้!

หยางเย่ได้สหายเพิ่มขึ้นอีกคนในสำนักดาบราชัน

“หากเจียงหยวนคิดจะทำร้ายสิ่งใด ข้าจะรีบมาแจ้งให้เจ้าทราบเป็นคนแรก!” ทันทีที่กล่าวจบ ชิงเสวียหันหลังจากไป

ขณะที่ชิงเสวียได้จากไป ศิษย์แรงงานคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาหยางเย่ เขาส่งบางอย่างให้พร้อมกล่าว “ศิษย์พี่หยาง นี่คือจดหมายจากทางบ้านท่าน!”

หยางเย่หยิบเหรียญทองส่งให้ศิษย์แรงงานก่อนจะจากไป ไม่นานหยางเย่เปิดซองจดหมายออกมาดู ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปทันทีที่อ่าน!”