ตอนที่ 169 เหลือทางรอดไว้ให้พวกนางแม่ลูก

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 169 เหลือทางรอดไว้ให้พวกนางแม่ลูก

บางเรื่องมันก็ยากจะหลีกเลี่ยงได้ ภรรยาเอกจากโลกไปโดยทิ้งบุตรชายหญิงไว้หนึ่งคู่ อนุที่ยังอยู่มีบุตรชายสองคน นางย่อมเอนเอียงเข้าข้างบุตรชายของตนเป็นธรรมดา ก่อให้เกิดความขัดแย้งบางอย่างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ทุกคนล้วนเป็นบุตรธิดาของเขา แล้วจะให้เขาเอนเอียงไปทางไหนได้เล่า? บางเรื่องก็รู้แจ้งอยู่แก่ใจดี แต่เขาก็ทำได้เพียงแสร้งทำเลอะเลือนไป

แต่เขารู้จักนิสัยของบุตรชายคนโตผู้นี้ดี โลกนี้ไม่มีใครรู้จักลูกชายดีเท่ากับผู้เป็นพ่ออีกแล้ว ตอนเขามีชีวิตอยู่ยังพอจะปรามเอาไว้ได้ แต่หากเขาไม่อยู่แล้ว ทางแม่ลูกสามคนนั้นจะมีจุดจบเป็นอย่างไร เขาไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆ เขาทราบชัดเจนดี สามแม่ลูกนั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของบุตรชายคนนี้เลย แต่กลับไม่รู้จักประมาณตัว เป็นเพราะอะไรก็พอจะเข้าใจได้

ดังนั้นเขาจึงนึกเสียใจ หากปีนั้นไม่แต่ง มีบุตรชายหญิงแค่เพียงคู่เดียว หลายๆ เรื่องคงจะจัดการได้ง่ายขึ้น

เซ่าผิงปอที่ขึ้นมาด้านบนหอเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังเซ่าเติงอวิ๋น ประสานมือคำนับต่อแผ่นหลังกำยำของบิดา “ท่านพ่อ!”

เซ่าเติงอวิ๋นเอ่ยทั้งที่หันหลังอยู่ “ไปขอเสบียงจากเมืองหลวงครานี้ ลำบากเจ้าแล้ว”

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “ทางเมืองหลวงจับจ้องพื้นที่ของมณฑลเป่ยโจวตาเป็นมัน จะมีคนสร้างความลำบากให้ก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด โชคดีที่ลูกปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จลุล่วง เสบียงน่าจะถูกส่งข้ามแม่น้ำมาภายในไม่กี่วันนี้ เรื่องจัดสรรแจกจ่ายลูกจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”

เซ่าเติงอวิ๋นถอนใจเบาๆ “ภัยพิบัติมาต่อเนื่องหลายปี ไม่รู้ว่าสวรรค์กำลังลงโทษข้าอยู่หรือไม่”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “ท่านพ่อกล่าวหนักเกินไปแล้ว ภัยธรรมชาติไม่แน่นอน ไม่มีผู้ใดควบคุมได้ ทว่าการจัดการหลังภัยพิบัติผ่านพ้นไปสามารถพยายามทำอย่างเต็มที่ได้ พยายามลดความเสียหายให้น้อยที่สุด ตอนนี้แถบพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย น้ำค่อยๆ ลดลงแล้ว เรื่องบางอย่างสมควรดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว ลูกขอแนะนำให้ใช้วิธีทำงานแลกค่าตอบแทน ใช้เสบียงบรรเทาทุกข์จูงใจชาวบ้านให้ทำงาน เร่งขุดลอกคูคลองที่เสียหายและถูกปิดกั้นโดยเร็ว เช่นนี้ไม่เพียงแต่จะมั่นใจได้ว่าชาวบ้านที่ประสบภัยจะมีข้าวกิน แต่ยังมั่นใจได้ด้วยว่าจะสามารถทำการเพาะปลูกในช่วงครึ่งหลังของปีได้ ทำให้มณฑลเป่ยโจวฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วขอรับ”

เซ่าเติงอวิ๋นตอบ “ดีมาก จัดการได้เลย!”

เซ่าผิงปอประสานมือรับคำ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “อุทกภัยในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความบกพร่องด้านระบบชลประทานของมณฑลเป่ยโจว ลูกขอเสนอให้เร่งส่งคนไปสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างเร่งด่วน จัดทำแผนโดยรวม จากนั้นก็ระดมกำลังก่อสร้างระบบชลประทานขึ้นในมณฑลเป่ยโจว สร้างเส้นทางสำหรับเก็บน้ำและทดน้ำขึ้นมา ฤดูแล้งสามารถทดน้ำจากแม่น้ำใหญ่เข้ามาได้ หน้าน้ำหลากก็สามารถระบายน้ำได้ทันท่วงที อย่างน้อยเมื่อถึงยามที่เกิดภัยพิบัติขึ้นมาอีกก็สามารถทำให้ภัยพิบัติผ่านพ้นไปได้เร็วขึ้น จะได้ไม่เหมือนกับยามนี้ที่บางแห่งมีน้ำท่วมขังเจิ่งนองจนกลายเป็นทะเลสาบ แล้วก็ไม่ลดระดับลงเสียทีจนส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูก ซึ่งมันจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติได้อย่างมาก ขอเพียงโครงการนี้ดำเนินการสำเร็จลุล่วง ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี เป่ยโจวจะรุ่งเรืองกลายเป็นคนละเรื่องกับในตอนนี้ไปเลยขอรับ!”

เซ่าเติงอวิ๋นกล่าว “พูดน่ะง่าย แต่โครงการใหญ่ขนาดนี้ ต้องใช้กำลังทรัพย์และทรัพยากรจำนวนมหาศาล เราจะไปหาคนงานมากมายขนาดนั้นมาจากที่ไหน?”

เซ่าผิงปอตอบว่า “ไม่สามารถดำเนินการทั้งหมดพร้อมกันได้อยู่แล้วขอรับ พวกเราเองก็รับภาระไม่ไหวเช่นกัน แต่เราสามารถดำเนินการไปทีละขั้นได้ อย่างแรกคือต้องมั่นใจว่าจะมีพื้นที่สำหรับผลิตเสบียงก่อน กระตุ้นให้ครอบครัวที่ร่ำรวยสมทบเงินทองและเสบียง ระดมชาวบ้านที่ประสบภัยมาทำงาน ผู้ใดทำงานในพื้นที่ไหนจนเสร็จเรียบร้อย ไร่นาในพื้นที่นั้นก็จะกลายเป็นของคนผู้นั้น นี่จะต้องกระตุ้นให้ตระกูลร่ำรวยจำนวนมากเข้าร่วมได้แน่นอน เช่นนี้พวกเราก็ไม่ต้องเปลืองกำลังทรัพย์มาก หรือเราอาจจะอนุญาตให้ตระกูลร่ำรวยนอกพื้นที่มาเข้าร่วมก็ได้ ขอเพียงพวกเขาสามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามเกณฑ์ที่พวกเรากำหนดเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะใช่คนเป่ยโจวหรือไม่ ยกไร่นาให้พวกเขาไปเปล่าๆ แล้วจะเป็นอย่างไรล่ะขอรับ? ไร่นาหนีออกไปจากเป่ยโจวไม่ได้อยู่แล้ว เสบียงเองก็ถูกผลิตขึ้นในเป่ยโจวก็ย่อมต้องส่งให้เป่ยโจวก่อนอยู่ดี”

สองมือของเซ่าเติงอวิ๋นวางลงบนราวกั้น ยังคงเอ่ยทั้งที่หันหลังอยู่ “เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่? การที่เจ้าทำเช่นนี้ ชาวบ้านทั่วไปไหนเลยจะสู้ตระกูลร่ำรวยเหล่านั้นได้ เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าคงมีที่ดินของชาวบ้านไม่รู้มากน้อยเท่าไรที่ถูกยึดครองเปลี่ยนมือ”

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “ความเจ็บปวดนี้ต้องทนรับให้ได้ เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องเสียสละกันบ้าง ชาวบ้านธรรมดาเหล่านั้นสนใจแต่เพียงครอบครัวของตน จะหวังให้พวกเขามีจิตสำนึกออกมาทำงานด้วยตัวเองคงเป็นไปไม่ได้ ต่างคนต่างทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น ทรายที่แตกกระจายกองหนึ่งไม่มีทางทำงานใหญ่เช่นนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้ จำเป็นต้องมีคนมารวบรวมพวกมันขึ้นมา หากไม่มีผลประโยชน์ ตระกูลร่ำรวยเหล่านั้นจะยอมออกเงินออกเสบียงเพื่อจัดการเรื่องนี้หรือขอรับ? ขอเพียงแสดงผลประโยชน์ที่สามารถเห็นได้ง่ายให้ทุกคนได้เห็น เช่นนั้นจะต้องดึงดูดตระกูลร่ำรวยนอกมณฑลเป่ยโจวมาได้แน่ขอรับ ขอเพียงเงินทองและเสบียงที่รวบรวมมาเหล่านั้นสามารถทำให้ผู้คนอิ่มท้องได้ ชาวบ้านมากมายในมณฑลอื่นนอกเป่ยโจวที่ได้ยินข่าวนี้จะต้องแห่กันมาทำงานที่นี่แน่นอน แล้วเราก็จะสามารถหยิบยืมกำลังคนและกำลังทรัพย์จากนอกมณฑลเข้ามาช่วยทำให้โครงการสร้างระบบชลประทานนอกเขตพื้นที่เพาะปลูกสำเร็จได้อย่างรวดเร็วด้วยขอรับ”

“ยิ่งโครงการผันน้ำมีความสมบูรณ์แบบ เราก็จะยิ่งมั่นใจว่าจะมีผลผลิตส่งให้กับทางมณฑลเป่ยโจวแน่นอน คนที่มารวมตัวกันจากทั่วทุกสารทิศจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคที่ใต้หล้าโกลาหล เมื่อชาวบ้านจากนอกมณฑลมาอยู่เป่ยโจวแล้วมีข้าวกินอิ่มท้อง พวกเขาก็จะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ กลายเป็นชาวมณฑลเป่ยโจวไปโดยปริยาย และขอเพียงประชากรรุ่งเรืองพรั่งพร้อม เป่ยโจวก็จะมีกำลังทหารพรั่งพร้อมไปด้วย ขอเพียงประชากรมั่งคั่ง เศรษฐกิจย่อมเฟื่องฟู เศรษฐีคหบดีย่อมมารวมตัวกันที่นี่ อีกหลายปีหลังจากนี้ เป่ยโจวจะกลายเป็นพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรือง และนี่ก็จะกลายเป็นรากฐานอันยั่งยืนในระยะยาวของตระกูลเซ่าของเราขอรับ!”

“แต่แน่นอน การเพาะปลูกหลังภัยพิบัติในปีนี้คือเรื่องที่เราจำเป็นต้องทำก่อน ต้องผ่านความยากลำบากที่อยู่ตรงหน้าไปให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นจะเกิดเป็นความวุ่นวายได้ขอรับ”

เซ่าเติงอวิ๋นกล่าว “เรื่องนี้ เจ้าไปเขียนแผนการอย่างละเอียดมาก่อน”

“ขอรับ!” เซ่าผิงปอตอบรับ จากนั้นดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ประคองส่งให้ด้วยสองมืออย่างนอบน้อม “ท่านพ่อขอรับ”

เซ่าเติงอวิ๋นหันกลับมามองเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวกลับมา รับกระดาษไป ก้มอ่านเล็กน้อย ปากท่องพึมพำ “ราชันเป่ยโจว ราชันเป่ยโจว ลูกกวาดหนึ่งลูก…สิ่งนี้ข้าเคยอ่านแล้ว ทราบหรือไม่ว่าเป็นฝีมือผู้ใด?”

“หนิวโหย่วเต้าขอรับ! ระหว่างเดินทางกลับจากเมืองหลวงข้าบังเอิญพบเขา…” เซ่าผิงปอเล่าสถานการณ์โดยรวมออกมา

เซ่าเติงอวิ๋นสะบัดกระดาษในมือ “ชั่วช้านัก คิดจะยุแยงพวกเราสองพ่อลูกให้แตกคอกัน”

เซ่าผิงปอเอ่ยรับ “ท่านพ่อปราดเปรื่องนัก”

“หากเจ้ารับสืบทอดเป่ยโจวแล้ว เจ้าเตรียมจะจัดการกับพวกนางสามแม่ลูกอย่างไร?”

จู่ๆ เซ่าเติงอวิ๋นพลันกล่าวเช่นนี้ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

เซ่าผิงปอผงะไป มองเขาด้วยความตกตะลึง แม้นจะคาดเดาได้อย่างรวดเร็วว่าหมายความเช่นใด แต่ก็ยังตะลึงงันจนไม่กล้ารับคำ

ท่านพ่อสามารถไต่เต้าจากทหารตัวเล็กๆ ขึ้นมาสู่ตำแหน่งแม่ทัพคุมอำนาจทางการทหารได้ แม้นภายนอกจะดูคล้ายว่าหยาบกระจ้าง แต่ภายในกลับละเอียดอ่อน อำนาจทางการทหารของมณฑลเป่ยโจวล้วนอยู่ในมือท่านพ่อทั้งหมด แม่ทัพน้อยใหญ่ล้วนเป็นคนของท่านพ่อ คนอื่นยากจะเข้ามาแทรกแซงได้ ผู้ใดกุมอำนาจทางการทหารของเป่ยโจวปกครองเป่ยโจว สำนักบำเพ็ญเพียรอย่างสำนักเขามหาญาณย่อมให้การสนับสนุนคนผู้นั้น

“วาจานี้ของท่านพ่อทำให้ลูกหวาดกลัว” เซ่าผิงปอก้มหน้าตอบกลับไป

เซ่าเติงอวิ๋นชูกระดาษในมือ “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไรอยู่ เจ้าวางใจเถอะ ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้ข้าไม่มีทางปล่อยให้เขาสมใจหรอก วันนี้ข้าจะบอกเจ้าไว้ให้ชัดเจน เจ้าคือทายาทคนโตของตระกูลเซ่า ไม่ว่าจะเป็นในแง่ความสามารถ หรือลำดับทายาท สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลเซ่าล้วนจะถูกสืบทอดต่อให้เจ้า คิดจะอาศัยเพียงเพลงกล่อมเด็กมายุแยงพวกเราสองพ่อลูกให้แตกคอกัน น่าจะประเมินตัวข้าเซ่าเติงอวิ๋นต่ำไปแล้ว นับแต่นี้ข้าจะให้การสนับสนุนเจ้ามากขึ้น เรื่องที่สมควรทำเจ้าลงมือทำได้เต็มที่ ไม่ต้องคอยหวาดระแวงอันใด”

“ขอบคุณท่านพ่อที่ไว้วางใจ” เซ่าผิงปอตอบกลับไปตามเหมาะสม

เซ่าเติงอวิ๋นเอ่ยว่า “แต่ข้าอยากรู้ว่าในอนาคตเจ้าจะจัดการกับพวกนางสามแม่ลูกอย่างไร”

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “แม่รองก็นับเป็นมารดาข้าเช่นกัน อู๋ปอและฝูปอก็เป็นน้องชายของข้า ข้าย่อม…”

เซ่าเติงอวิ๋นเอ่ยขัด “ข้าไม่ได้มีจิตใจซับซ้อนเช่นเจ้า อย่ามาใช้คำพูดวกวนไร้ประโยชน์พวกนั้นกับข้า!”

ภายในบริเวณนั้นพลันเงียบสงัด วาจานี้ทำให้เซ่าผิงปอยากจะตอบได้ เขาไม่ทราบเช่นกันว่าท่านพ่อกำลังหยั่งเชิงตนอยู่หรือไม่

กระทั่งพ่อบ้านหยางซวงที่อยู่ด้านข้างก็ยังไม่กล้าหายใจแรง คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เซ่าเติงอวิ๋นจะโยนคำถามเช่นนี้ออกมา แม้แต่พ่อบ้านอย่างเขาฟังแล้วก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนเช่นกัน ค่อยๆ เดินถอยหลัง เตรียมจะเลี่ยงออกไป

เซ่าเติงอวิ๋นเหลือบมองเล็กน้อย “ข้าบอกให้เจ้าไปอย่างนั้นหรือ?”

สองเท้าของหยางซวงพลันแข็งทื่อ ก้มหน้านิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน

เซ่าผิงปอยังจะว่าอย่างไรได้อีกเล่า? เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ให้ความเคารพกตัญญูเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิด ส่วนน้องชายทั้งสอง…”

“ข้าอยากฟังความจริง!” เซ่าเติงอวิ๋นเอ่ยขัดเขาอีกครั้ง

เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทีอันแข็งกร้าวของผู้เป็นบิดา เซ่าผิงปอลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง จะให้เขาว่าอย่างไรเล่า? พูดดีไปท่านก็ไม่เชื่อ ถ้าพูดไม่ดีท่านจะรับได้หรือ?

“เฮ้อ!” เซ่าเติงอวิ๋นพลันถอนใจเบาๆ “รับปากข้ามา ว่าจะเหลือทางรอดให้พวกนางสามแม่ลูก!”

พูดกันมาถึงขนาดนี้ เซ่าผิงปอเข้าใจแล้ว ท่านพ่อน่าจะกำลังเปิดใจอยู่ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ท่านพ่ออยากฟังความในใจของลูกจริงๆ หรือขอรับ? เกรงว่าพูดออกมาแล้วคงไม่น่าฟัง!”

เซ่าเติงอวิ๋นมองเขา รอให้เขาพูดต่อ

เซ่าผิงปอรวบรวมความกล้า กัดฟันเอ่ยออกไปว่า “ปัญหากวนใจบางอย่างไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ มิใช่ว่าลูกไร้เยื่อใย แต่เกรงว่าคงมีคนบางคนที่อาจจะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ หากเกิดความวุ่นวายขึ้นล้วนไม่เป็นผลดีต่อผู้ใดทั้งสิ้น! หากลูกได้กุมอำนาจของมณฑลเป่ยโจว ลูกจะริบอำนาจทั้งหมดของพวกนางสามแม่ลูก ให้พวกนางใช้ชีวิตเป็นเศรษฐีอยู่ในบ้านเฉยๆ ขอรับ”

“หวังว่านี่จะเป็นความจริงจากใจเจ้า!” เซ่าเติงอวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง โบกมือด้วยความรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย “ไปจัดการงานของเจ้าเถอะ”

เมื่อลงจากหอมา เซ่าผิงปอมายังโถงว่าราชการ

คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในภายห้องโถงพากันลุกขึ้นทำความเคารพ “คุณชายใหญ่!”

น้องชายทั้งสองอย่างเซ่าอู๋ปอและเซ่าฝูปอเอ่ยเรียกพี่ใหญ่อย่างเคารพนอบน้อม

“แม่รองสบายดีหรือ?” เซ่าผิงปอเอ่ยถามเสียงเรียบ

เซ่าอู๋ปอตอบว่า “ท่านแม่สบายดีขอรับ”

“พวกเจ้าจัดการเรื่องของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะไปทักทายแม่รองสักหน่อย!” เซ่าผิงปอเอ่ยทิ้งท้ายแล้วจากไป

เขาออกมาจากห้องโถงว่าราชการ มุ่งหน้ามาถึงเรือนหลักส่วนใน สั่งให้คนใช้เข้าไปรายงาน ส่วนตัวเองคอยอยู่ในลานเรือน

ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงวัยกลางคนในชุดอาภรณ์ที่ดูงดงามประณีตนางหนึ่งเร่งเดินเข้ามา เป็นอนุหร่วนผู้เป็นภรรยารองของเซ่าเติงอวิ๋น เมื่อได้ยินว่าเซ่าผิงปอมาหา นางก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ลูกใหญ่มาแล้วหรือ”

“คารวะแม่รอง!” เซ่าผิงปอทำความเคารพอย่างนอบน้อม “แม่รองสบายดีหรือขอรับ?”

“สบายดี ไม่พบกันเสียนาน ได้ยินว่าเจ้าไปเมืองหลวงมา เดินทางครานี้คงเหน็ดเหนื่อยกระมัง?” อนุหร่วนผายมือเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น “รีบเข้าไปนั่งด้านในเถอะ”

เซ่าผิงปอตอบรับพลางเดินเข้าไปในห้องโถง เขาทราบแก่ใจดีว่าในความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายมีความจริงใจอยู่กี่ส่วน ตนเองยังมิได้แต่งงานก็ถูกท่านพ่อจัดให้แยกบ้านออกไปแล้ว แม่รองคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว พูดกันตรงๆ แล้วก็คือไม่อยากให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดท่านพ่อ

อนุหร่วนออกไปจัดแจงอะไรอยู่พักหนึ่ง ให้คนยกชามน้ำแกงเข้ามา “นี่คือน้ำแกงที่ข้าเพิ่งตุ๋นเสร็จ”

“เพิ่งกินมาขอรับ” เซ่าผิงปอปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ความจริงคือไม่กล้ากินอาหารของนาง

นางทราบดีว่าหาเรื่องให้ตัวเองขายหน้าเสียแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาคนผู้นี้ไม่เคยกินอาหารของตนเลย จึงโบกมือให้คนยกออกไป อนุหร่วนเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ลูกใหญ่ เจ้าอายุสามสิบกว่าแล้ว อายุไม่น้อยแล้ว ขนาดน้องชายที่ไม่เอาไหนสองคนนั้นของเจ้าก็ยังมีบุตรธิดาวิ่งเล่นเต็มไปหมด เจ้าเองก็ควรคิดถึงเรื่องชีวิตคู่ได้แล้วนะ ช่วงนี้ข้าดูๆ คุณหนูตระกูลใหญ่ไว้สองสามคน วันหลังจะพาเจ้าไปทำความรู้จักหน่อยเป็นอย่างไร?”

“ได้ขอรับ!” เซ่าผิงปอพยักหน้ารับ จากนั้นเปลี่ยนประเด็นขึ้นมาว่า “แม่รอง ท่านไม่ควรปล่อยปละตามใจหลิ่วเอ๋อร์ วันหน้าให้นางออกไปข้างนอกน้อยๆ หน่อยจะดีกว่านะขอรับ”

อนุหร่วนเอ่ยยิ้มๆ “ก็มิได้ตามใจอันใดเลย นางเพียงออกไปเรียนรู้พวกกาพย์กลอนอะไรเท่านั้นเอง นี่นับเป็นเรื่องดี”

เซ่าผิงปอกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า “แม่รอง ที่ข้ามาครั้งนี้เพราะอยากให้ท่านนำข้อความไปถ่ายทอดให้ใครบางคน ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียว หากมีเรื่องใดก็ให้มาหาข้า อย่าได้คิดเล่นเล่ห์อันใดกับหลิ่วเอ๋อร์จะดีที่สุด หลิวเอ๋อร์คือสมบัติล้ำค่าของข้า ข้ารับปากท่านแม่ของข้าเอาไว้ว่าจะดูแลนางอย่างดี หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง คร่าชีวิตคนสักสองคนหาได้เป็นปัญหาไม่! แม่รอง ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ ขอตัวลาก่อนขอรับ!” กล่าวจบก็ลุกขึ้น ประสานมือคำนับแล้วหันหลังเดินอาดๆ จากไป

……………………………………………………..